24 ธ.ค. เวลา 09:48 • ประวัติศาสตร์

F-5 โบยบินก่อนถอดหัวโขน

สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน ก่อนที่จะเข้าสู่บทความ ผู้เขียนมาเรื่องเล่าสู่กันฟังให้ทุกท่าน เรื่องเล่านี้อาจเชื่อมโยงกับบทความได้ไม่มากก็น้อยถ้าพร้อมแล้วขอเชิญทุกท่านอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ครับ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ไม่เพียงเป็นพระที่รอบรู้ในทาง ปริยัติธรรมเท่านั้น หากยังเชี่ยวชาญด้านวิปัสสนาธุระ จนเชื่อกันว่า ท่านทรงคุณวิเศษทางวิทยาคม
คุณวิเศษของท่านมักถูกกล่าวถึงในแง่อภินิหาร แต่ อภินิหารนั้นยังเป็นเรื่องโลกิยะ ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นคือโลกุตตระ ได้แก่การอยู่เหนือโลก อันโลกธรรมทั้งหลายไม่อาจฉาบย้อมได้ องค์คุณประการหลังนี้ท่านได้บำเพ็ญและแสดงให้เห็นตลอดชีวิต ตัวอย่างหนึ่งได้แก่การไม่ใส่ใจกับสมณศักดิ์พัดยศซึ่งท่านเห็นว่า เป็นแค่ “หัวโขน” เท่านั้นเอง
ตามธรรมเนียมพระที่ทรงสมณศักดิ์อย่างสมเด็จโตย่อมมีศิษย์ วัดแจวเรือให้เวลาเดินทาง แต่เนื่องจากท่านชอบประพฤติตนอย่าง พระอนุจรหรือพระลูกวัด ดังนั้นเมื่อใดที่เห็นศิษย์แจวเรือเหนื่อย ท่านก็จะให้นั่งพักเสีย แล้วท่านก็แจวแทน
สมเด็จโต วัดระฆัง
มีคราวหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ไปในงานที่จังหวัดนนทบุรี ขากลับเจ้าภาพได้ให้บ่าวสองคนผัวเมียแจวเรือมาส่ง ระหว่างทางผัวเมียคู่นี้เกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง ท่านเห็นเช่นนั้นจึงขอให้ ทั้งสองเลิกวิวาทกันและให้เข้ามานั่งพักในประทุน แล้วท่านก็แจวเรือมาเองจนถึงวัดระฆัง
แต่ที่กล่าวขานกันมากก็คือตอนที่ท่านสมเด็จไปสวดมนต์ในสวนแห่งหนึ่ง เขตราษฎร์บูรณะ ฝั่งธนบุรี สวนแห่งนี้ต้องเข้าทางคลองเล็ก ท่านไปด้วยเรือสำปั้นกับศิษย์ โดยเอาพัดยศไปด้วย บังเอิญเวลานั้นน้ำแห้ง เรือเข้าคลองไม่ได้ ท่านจึงลงเข็นเรือกับศิษย์ ชาวบ้านก็ร้องบอกกันว่า "สมเด็จเข็นเรือโว้ย"
ท่านได้ยินก็ตอบไปว่า “ฉันไม่ใช่สมเด็จดอกจ่ะ ฉันชื่อขรัวโตจ่ะ สมเด็จท่านอยู่ในเรือน่ะจ๊ะ” ว่าแล้วท่านก็ชี้มือไปที่พัดยศ สักพักชาวบ้านก็ลงมาช่วยกันเข็นเรือไปจนถึงบ้านงาน
เรื่องเล่านี้สอนว่าหัวโขนนั้นพึงถอดวางเมื่อลงจากเวที ฉันใด สมณศักดิ์ก็มิใช่สิ่งซึ่งพึงยึดถือเป็น “ตัวกู ของกู” ฉันนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องเล่าของสมเด็จโตจึงสอดคล้องกับเรื่องเล่าของ F-5TH Super Tigris ที่กำลังไปใช้ทำสงครามอยู่ในขณะนี้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะปลดประจำการอีกไม่กี่ปี เปรียบได้กับหัวโขนที่จะต้องปล่อยวางเมื่อถึงเวลาที่ควรรู้จักปลง
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)
ไม่ว่าสมณศักดิ์หรือยศใดๆเมื่อสิ้นลมหายใจก็ไม่มีความหมาย แม้แต่การเป็นพระมหากษัตริย์ก็ไม่สามารถที่จะรักษาพระราชอิสริยยศไว้ได้ สิ่งที่ควรรักษาไว้สำหรับคนทุกชนชั้นนั่นคือบุญกุศล ยิ่งทำยิ่งปล่อยวางไม่ต้องไปประสบกับกองทุกข์ใดๆอีกเลย บัดนี้ผู้เขียนขอนำทุกท่านเข้าสู่เรื่องราวของ F-5TH Super Tigris กันครับ
เสียง F-16 ทำท้องฟ้าอุบลฯไม่เงียบสงบอีกต่อไปในวันที่กัมพูชาเข้ารุกราน แม้จะไม่เห็นตัวเครื่องแต่เสียงก็ยังคงดังจนความคุ้นชินของคนชายแดนแม้แต่ลานบินกองบิน 21 อุบลราชธานีอันเป็นบ้านเกิดของ F-5TH Super Tigris เครื่องบินขับไล่ยุคที่ 3 ที่กองทัพอากาศไทยมีประจำการก็รับรู้ได้ถึงเสียงไอพ่นจาก F-16 เช่นกัน
เจ้าบ้านอย่าง F-5 ไม่ได้จอดสงบนิ่ง เพราะภารกิจใหญ่ได้เริ่มขึ้นแล้ว นักบินก้าวไปนั่งในห้องนักบินแคบๆ ช่างเครื่องตรวจเช็คเรียบร้อยก่อนขึ้นบิน ขณะนี้เจ้าหน้าภาคพื้นได้ให้สัญญาณแก่ F-5 ที่กำลังจะบินขึ้นไปโจมตีเป้าหมายนั่นคือทหารกัมพูชาที่กำลังเป็นภัยคุกคามในสงครามครั้งนี้ บนแท็กซี่เวย์ของฐานบินอุบลฯ F-5 กำลังเคลื่อนที่ไปช้าๆ โดยมีธงชาติไทยที่แพนหางดิ่งสื่อถึงแผ่นเกิดที่ต้องปกป้องจากผู้รุกรานที่ยิงจรวด BM-21 โจมตีประชาชนอย่างมั่วซั่ว
"ฟ้าวววววววววว!" และแล้ว F-5 ก็เชิดหัวขึ้น 45 องศาหลังล้อพ้นพื้นจากรันเวย์กองบิน 21 เสียงไอพ่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าหน้าภาคพื้นและนักบินกองบิน 21 ภาคภูมิใจ มันเป็นเสียงสวรรค์ที่ทหารแนวหน้ารอคอย จากที่เห็น F-5 ติดระเบิดบินขึ้นขณะนี้เครื่องบินแบบดังกล่าวได้บินไปไกลจนหายลับตาไปจากสนามบินแล้ว
F-5TH ที่กองบิน 1 โคราช
ตัดภาพไปที่ประเทศไทยเมื่อทศวรรษ 1960 ฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มเเต่ขยายอิทธิพลเข้ามาเยือน ทั้ง 3 เหล่าทัพจึงต้องหาวิธีการระงับภัยคุกคามดังกล่าว เพื่อไม่ให้ไทยล้มตามทฤษฎีโดมิโน
ผู้บัญชาการทหารอากาศในสมัยนั้นจึงได้จัดหาเครื่องบินรบน้ำหนักเบา และมีความคล่องตัวสูงขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ประเทศไทยที่มีงบประมาณจำกัดประกอบกับเพื่อสเสริมกำลังเครื่องบินขับไล่ F-86 ที่มีประจำการแต่เป็นแบบมือสองทั้งนั้นและอาจไม่คุ้มในระยะยาว จนทำให้การจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่กลายเป็นที่มาของ F-5 Freedom Fighter ในกองทัพอากาศไทย
F-5 ถูกออกแบบมาให้บำรุงรักษาง่าย โดยใช้โครงสร้างอลูมิเนียมอัลลอยที่แข็งแรงแต่เบา, จุดเด่นทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งคือเครื่องยนต์ General Electric J-85 ขนาดเล็ก 2 เครื่อง ซึ่งทีมช่างเพียง 3 คนสามารถถอดเปลี่ยนได้ภายในเวลาเพียง 20 นาที แม้จะเน้นความประหยัด แต่ F-5 สามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้ประมาณ Mach 1.4 ในรุ่นแรก และ Mach 1.6 ในรุ่น Tiger II พร้อมติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 20 มม. และรองรับอาวุธหลากหลายชนิด
F-5 มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และคล่องตัวสูง มันถูกออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวสูงในการ ต่อสู้ทางอากาศระยะประชิด (Dogfight) และสามารถตอบสนองต่อการควบคุมของนักบินได้อย่างฉับไว แต่เนื่องจากในขณะนั้นไม่มีการรบทางอากาศกับเครื่องบินมิกประเทศเพื่อนบ้าน F-5 จึงเน้นไปที่การโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายภาคพื้นเสียมากกว่า
อีกทั้งยังมีความน่าเชื่อถือสูงและการบำรุงรักษาง่าย นี่คือหัวใจสำคัญของ F-5
เครื่องบิน F-5 ถูกออกแบบให้มีความทนทานและเรียบง่าย สามารถปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาวะที่ขาดแคลนสิ่งอำนวยความสะดวก
F-5TH รับใช้ชาติมาหลายปี ถึงเวลาแล้วที่จะต้องถอดหัวโขนในเร็ววัน
โครงสร้างแข็งแกร่งสำหรับการปฏิบัติการภาคพื้นดิน เช่น ปีกถูกสร้างเป็นชิ้นเดียวเพื่อความแข็งแรงสูงสุด และมีฐานล้อที่ทนทาน ดังนั้นจึงทำให้สามารถปฏิบัติการจาก สนามบินที่ขรุขระหรือสนามบินที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกจำกัดได้อย่างปลอดภัย
หากท่านใดที่ยังสับสนว่า F-5 มีปืนทุกแบบหรือไม่ ถ้าเป็น F-5A มีปืนกลอากาศติดที่ส่วนจมูก ในขณะที่ F-5B รุ่นสองที่นั่งสำหรับฝึกนักบินเพื่อนเปลี่ยนแบบจะไม่มีปืนปืนกลอากาศ F-5 สามารถบรรทุกอาวุธได้หลากหลาย เช่น ระเบิด นาปาล์ม และจรวด มีน้ำหนักบรรทุกสูงสุดถึง 6,200 ปอนด์ ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนน้ำหนักบรรทุกต่อตัวเครื่องที่สูงที่สุดในบรรดาเครื่องบินรบความเร็วเหนือเสียง
แม้จะใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็ก แต่การออกแบบหลักอากาศพลศาสตร์ที่โดดเด่น เช่น การออกแบบลำตัวให้มีส่วนคอดสะโพกเพรียว (เพื่อลดแรงต้านอากาศ) ทำให้สามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้ถึงประมาณ มัค 1.3 อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรัชญาการออกแบบ F-5 ที่เน้นความคุ้มค่า ความเรียบง่าย และความน่าเชื่อถือ ได้พิสูจน์คุณค่าในสงครามเวียดนาม โดยมีอัตราความพร้อมรบที่สูงมาก
กองทัพอากาศไทยเริ่มประจำการ F-5 มานานกว่า 59 ปี โดยเริ่มต้นจากรุ่น F-5A/B (เครื่องบินขับไล่แบบที่ 18 : บ.ข.18) ในปี ค.ศ.1967 ภายใต้โครงการความช่วยเหลือทางทหารและต่อมาในปีค.ศ.1978 กองทัพอากาศไทยจึงได้รับรุ่นที่สมัยกว่าอย่าง F-5E/F Tiger II เข้าประจำการ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครื่องบินไอพ่นที่เร็วที่สุดของไทยในยุคนั้น F-5 ของไทยมีประวัติการรบที่โชกโชน โดยเฉพาะการปกป้องอธิปไตยตามแนวชายแดน
เช่น การโจมตีฐานที่มั่นของเขมรแดง การปะทะกับกองทัพเวียดนามตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการยับยั้งการรุกรานในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ง F-5 จากฝูงบิน 211 หรือฉายา "พญาอินทรีย์แห่งอุบล" ยังคงทำหน้าที่ลาดตระเวนและร่วมรบในสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียดในปัจจุบัน
สงครามไทย-กัมพูชาคือศึกสุดท้ายของ F-5TH
F-5TH Super Tigris แม้จะมีอายุการใช้งานนาน แต่กองทัพอากาศไทยได้เลือกอัปเกรดโครงสร้างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับบริษัท Elbit System จากอิสราเอล จนกลายเป็น F-5TH Super Tigris ซึ่งมีขีดความสามารถเทียบเท่าเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 การอัปเกรดนี้ประกอบด้วย ระบบเรดาร์ ELM-2032 ตรวจจับเป้าหมายได้ไกลถึง 150 กม. รองรับขีปนาวุธระยะกลาง Python 5 และ Derby รวมถึงระเบิดร่อน KGGB จากเกาหลีใต้
มีระบบ Data Link คือ Link T ที่พัฒนาโดยไทยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลยุทธวิธีกับเครื่องบินขับไล่ยุคใหม่ F-16 และ Gripen ห้องนักบินเปลี่ยนจากระบบเครื่องวัดอะนาล็อกสู่การติดตั้งจอ MFD สีเต็มรูปแบบ และเพิ่มหมวกติดศูนย์เล็ง Dash IV ที่ช่วยให้นักบินล็อคเป้าได้เพียงแค่หันมองไปที่เครื่องบินข้าศึก
แม้ F-5 จะได้รับการปรับปรุงจนทันสมัยและสามารถใช้งานได้ต่อไปจนถึงไม่เกินปีค.ศ. 2035 แต่ด้วยข้อจำกัดด้านโครงสร้างที่เก่าแก่และพิสัยการบินที่จำกัด ทำให้มันถึงเวลาที่ต้องเตรียมส่งไม้ต่อให้กับเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ทันสมัยกว่าอย่าง Gripen เข้ามาทดแทน ตลอดประวัติศาสตร์การบินของ F-5 ในไทยทุกท่านจะเห็นว่าเป็นเครื่องบินที่มีสถิติอุบัติเหตุมากที่สุดเนื่องจากชั่วโมงบินที่สูงและการใช้งานที่สมบุกสมบัน
ในสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา F-5 ได้นำมาใช้โจมตีเป้าหมายเพียงแต่ว่าไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของภารกิจและอาวุธที่ใช้ การปฏิบัติการนี้สื่อถึงความสามารถในการรบจริงครั้งสุดท้ายก่อนถอดหัวโขน เพราะหากใช้บินต่อไปหลังจบสงครามไม่ถึง 10 ปีอาจเกิดความสูญเสีย ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่ปีนับจากนี้ F-5 จะต้องทำการบินต่อไปพร้อมกับโครงสร้างที่ใกล้ถึงคราวเสื่อมสภาพ
แม้การร่วมรบในสงครามไทย-กัมพูชาจะเป็นครั้งสุดท้ายของ F-5TH แแต่นักบินก็ยังนำไปรบเพื่อนำสันติภาพกลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง
เมื่อถึงวันถอดหัวโขน F-5 เดิมทีเคยเป็นเครื่องบินรบหลักของกองทัพอากาศไทย แต่เมื่อไม่มีโอกาสขึ้นบินอีกครั้ง F-5 จึงทำหน้าที่เป็นคุณปู่ใจดีที่พร้อมจะเล่าเรื่องให้คนรุ่นหลายฟังจากการจอดตั้งแสดงที่กองบิน ที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ หรืออาจกลายเป็นเรื่องเล่าที่ควรค่าการจดจำโดยอดีตนักบิน F-5 ผู้พร้อมแบ่งปันประสบการณ์แก่คน new gen เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นเยี่ยมสืบไป
⏩ข้อมูลจำเพาะ F-5TH กองทัพอากาศไทย
ผู้สร้าง บริษัท นอร์ธรอป แอร์คราฟท์ (สหรัฐอเมริกา)
ประเภท : เครื่องบินขับไล่ไอพ่นทางยุทธวิธี
เครื่องยนต์ : เทอร์โบเจ๊ต เจเนอรัล อีเล็กตริค เจ 85-ยีอี-21 ให้แรงขับเครื่องละ 1,588 กิโลกรัม และ 2,268 กิโลกรัม เมื่อสันดาปท้าย 2 เครื่อง
กางปีก : 8.13 เมตร
ยาว : 14.68 เมตร
สูง : 4.06 เมตร
พื้นที่ปีก : 17.29 เมตร
น้ำหนักเปล่า : 4,346 กิโลกรัม
น้ำหนักวิ่งขึ้นสูงสุด : 11,192 กิโลกรัม
อัตราเร็วสูงสุด : ไม่เกิน 1,314 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อมีน้ำหนักปฏิบัติการรบ 6,010 กิโลกรัม
อัตราเร็วขั้นสูง : 1.63 มัค ที่ระยะสูง 10,975 เมตร เมื่อเครื่องบินหนัก 10,975 กิโลกรัม
เพดานบินใช้งาน : 15,800 เมตร
รัศมีทำการรบ : 917 กิโลเมตร
พิสัยบิน : 2,943 กิโลเมตร เมื่อติดตั้งถังเชื้อเพลิงชนิดปลดทิ้งได้
อาวุธ : ปืนใหญ่อากาศขนาด 20 มม. M-39 ติดตั้งที่ลำตัวส่วนหัว 2 กระบอกพร้อมกระสุนกระบอกละ 280 นัด
ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ เอไอเอ็ม-9 ไซด์ไวน์เดอร์ หรือขีปนาวุธอากาศสู่อากาศดาร์บี้ติดตั้งที่ปลายปีกข้างละ 1 แห่ง
ระเบิดนำวิถีและระเบิดไม่นำวิถี
จรวดขนาด 2.95 นิ้ว
สามารถติดตั้งอาวุธที่ใต้ปีกได้ข้างละ 2 แห่ง และ ใต้ลำตัว 1 แห่ง รวมเป็นน้ำหนักสูงสุด 3,175 กิโลกรัม
จากท้องฟ้าที่เคยโบยบินปกป้องอธิปไตยสู่วัยเกษียณอย่างเต็มภาคภูมิ อีกไม่กี่ปีเครื่องบินแบบนี้จะเป็นเรื่องเล่าตาม F-86 ที่เคยปลดประจำการไปแล้ว เมื่อเปรียบกับเรื่องเล่าสมเด็จโตที่นำมาเล่าตอนต้นบทความจะเห็นว่าสมณศักดิ์ไม่ได้ความสำคัญเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อท่านมรณภาพ ท่านก็ไม่ได้นำสมณศักดิ์ติดตัวไปด้วย ท่านนำแต่คุณงามความดีติดตัวไปเท่านั้น
อย่าง F-5TH ก็ไม่ได้บินไปจนครบรอบ 100 ปี เครื่องบินรบโครงสร้างมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลานั้นนกเหล็กวัยเก๋าก็มีเพียงแต่ตำนานแทนที่จะเป็นเสียงเครื่องยนต์ให้ใครๆได้สัมผัสทางโสตประสาท ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าการปลดประจำการของ F-5TH ไม่ต่างกับลาภ ยศ สรรเสริญ หรือสังขารของมนุษย์เรา
สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
sh_hollow
mamboccv
Military Weapons อาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร
วอร์โซน เรื่องราวสงคราม
Thai Weapon Channel
หนังสือ "ลำธารริมลานธรรม" พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ธรรมะมหัศจรรย์ ตามรอยธรรมสมเด็จโต สถานปฏิบัติธรรมพรหมรังสี
เรียบเรียงโดย : จ่าหวาน เกรียงไกร
โฆษณา