26 ธ.ค. เวลา 08:10 • ประวัติศาสตร์

ช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ที่ขาดหาย

ประวัติศาสตร์ของโลกเราถูกจารึกไว้ในหิน ผืนทราย และธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นคลังข้อมูลอันน่าทึ่งของชีวิตและหายนะที่ครอบคลุมระยะเวลานานหลายล้านปี และนักธรณีวิทยาก็กำลังใช้หลักฐานใหม่ๆ เพื่อศึกษาเรื่องวิวัฒนาการ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการแยกตัวของทวีป
อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีและงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมายเพียงใด แต่ยังคงมี "หน้ากระดาษที่ว่างเปล่า" อยู่ในความรู้โบราณนี้ มันคือช่องว่างที่ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกจนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์
แม้เราจะทราบถึงสาเหตุของหายนะและผลลัพธ์ที่ตามมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในการฟื้นคืนของสรรพชีวิตในช่วงหลายปีหลังภัยพิบัตินั้นยังคงเป็นปริศนา สิ่งนี้ทิ้งช่องว่างในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถอธิบายได้
ยุคครีเทเชียสตอนปลาย (Late Cretaceous) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีความหลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดของยุคนั้น เป็นที่รู้จักกันดีจากหายนะครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน เมื่อดาวเคราะห์น้อยขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 ไมล์ (ประมาณ 10 กิโลเมตร) พุ่งเข้าชนโลกด้วยความเร็วสูง
พลังงานที่อุกกาบาตปล่อยออกมานั้นเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูที่ทิ้งลงเมืองฮิโรชิม่าเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 1,000 ล้านลูก แผดเผาสิ่งมีชีวิตในรัศมีหลายร้อยไมล์อย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกที่รู้สึกไปทั่วทั้งโลก
“หลุมอุกกาบาตชิกซูลูบ (Chicxulub crater)” ที่อยู่ใต้คาบสมุทรยูคาทานในเม็กซิโก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 93 ไมล์และลึก 12 ไมล์ อย่างไรก็ตาม ตัวดาวเคราะห์น้อยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของผลกระทบเป็นลูกโซ่อันยาวนานที่ตามมาเท่านั้น
การพุ่งชนได้ส่งฝุ่นหินและสารระเหยประมาณ 25 ล้านล้านเมตริกตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และเศษซากเหล่านี้ก็สะสมอยู่ทั่วโลก ทำให้ชั้นบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล สภาวะดังกล่าวเปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นเตาหลอมที่แผ่รังสีความร้อนสูงจนเกิดไฟไหม้ไปทั่วโลก
สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณจุดปะทะต้องเผชิญกับความร้อนสูงโดยตรง ตามมาด้วยความมืดมิดอันยาวนาน อนุภาคฝุ่นและละอองลอยได้บดบังแสงอาทิตย์เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีตามข้อสันนิษฐานของนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่ม และผลลัพธ์ที่ได้คือสิ่งที่เรียกว่า "ฤดูหนาวจากการพุ่งชน (Impact Winter)” ซึ่งทำให้อุณหภูมิโลกลดฮวบลงอย่างน้อย 50 องศาฟาเรนไฮต์ (ประมาณ 10 องศาเซลเซียส) ภายในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
เหตุการณ์ที่ตามมา นั่นคือโครงข่ายอาหารล่มสลาย พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้และตายลงเป็นจำนวนมาก บันทึกเกี่ยวกับละอองเรณูฟอสซิลก็แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในชั้นหินหลังการพุ่งชน โดยมี "เฟิร์นสไปค์ (Fern Spike)” หรือการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของเฟิร์นที่เข้ามาแทนที่พืชพรรณเดิมที่หลากหลาย
เมื่อพืชที่เป็นอาหารหมดไป สัตว์กินพืชขนาดใหญ่ เช่น ไตรเซอราทอปส์ (Triceratops) และฮาโดรซอร์ (duck-billed hadrosaurs) ก็ต้องพบกับการขาดแคลนอาหาร
สัตว์เหล่านี้ต้องการพลังงานสูงแต่สภาพแวดล้อมในตอนนั้นไม่สามารถตอบสนองได้ ส่งผลกระทบต่อเนื่องจนนำไปสู่การสูญพันธุ์ของสัตว์กินเนื้อทั้งหมดในที่สุด
ระบบนิเวศเสื่อมสลายลง และสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตประมาณ 75% ต้องตายไป รอยต่อที่บางเฉียบระหว่างยุคครีเทเชียสและพาลีโอจีน หรือที่เรียกว่า “K-Pg Boundary” ที่มีลักษณะเด่นคือชั้นดินเหนียวหนาไม่กี่เซนติเมตรที่อุดมไปด้วย ”อิริเดียม (Iridium)“
อิริเดียม เป็นธาตุที่หายากมากบนโลกแต่พบได้ทั่วไปในดาวเคราะห์น้อย มันคือหลักฐานทางธรณีวิทยาของการพุ่งชนของอุกกาบาต โดยฟอสซิลไดโนเสาร์ทั้งหมดจะถูกพบอยู่ใต้ชั้นดินนี้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ขุดรูอยู่ ซึ่งเป็นสัตว์ขนาดเล็ก สามารถรอดชีวิตได้ในที่อยู่อาศัยใต้ดินและกินแมลงหรือเมล็ดพืชเป็นอาหาร นกบางกลุ่ม โดยเฉพาะนกบกขนาดเล็กที่กินเมล็ดพืช ก็รอดชีวิตมาได้เช่นกัน ส่วนจระเข้และเต่าก็อาจรอดมาได้เพราะมีอัตราการเผาผลาญต่ำและสามารถทนต่อการอดอาหารได้นาน ขณะที่สิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากรอดพ้นมาได้เพราะอุณหภูมิในน้ำมีความเสถียรมากกว่า อีกทั้งท้องทะเลนั้นก็กว้างใหญ่
แต่สิ่งที่กวนใจนักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันและยังคงเป็นที่สงสัยนั้น ไม่ใช่เรื่องการสูญพันธุ์ แต่เป็น "ความลับของการฟื้นตัว"
บันทึกหรือหลักฐาน ฟอสซิลต่างๆ ในช่วงเวลาหลายพันปีแรกหลังจากดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนนั้นมีน้อยมาก แทบไม่มีเลย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าสายพันธุ์ที่เหลือรอดนั้นรับมือกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างไร? และเริ่มปรับโครงสร้างระบบนิเวศใหม่ได้อย่างไร?
ประการแรก การเกิดฟอสซิลต้องอาศัยการถูกฝังกลบอย่างรวดเร็วและสภาพแวดล้อมที่เฉพาะตัว ซึ่งสภาวะเหล่านี้หาได้ยากยิ่งในสภาพแวดล้อมหลังการพุ่งชน
ประการที่สอง มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่น้อยเกินกว่าจะเกิดเป็นฟอสซิลได้ เมื่อกลุ่มสิ่งมีชีวิตกระจัดกระจายและอยู่อย่างจำกัด โอกาสที่จะเกิดฟอสซิลจึงลดน้อยลงอย่างมาก
ผลที่ตามมาคือ ในปัจจุบันเรามีบันทึกที่สมบูรณ์เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมก่อนการพุ่งชน มีหลักฐานของเหตุการณ์หายนะจากชั้นอิริเดียม และมีบันทึกระบบนิเวศหลังการชนในอีกหลายล้านปีต่อมาในยุคพาลีโอจีน แต่เรากลับหลงทางในช่วงเวลาไม่กี่พันปีหลังจากนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ชีวิตเริ่มก่อตัวขึ้นใหม่
อาจจะสรุปได้ว่า ช่วงเวลาในยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ไม่ใช่เพียงแค่ประเด็นที่น่าสนใจทางวิชาการเท่านั้น แต่มันคือ "ช่วงเวลาแห่งชีวิตที่ขาดหายไป" ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการสืบเสาะและวิจัยอย่างจริงจัง
การอธิบายได้ว่าสิ่งมีชีวิตสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ได้อย่างไรหลังจากเกือบจะสูญสิ้นไปทั้งหมดนั้น มีความสำคัญอย่างมาก มันช่วยให้เราเข้าใจถึงการก้าวขึ้นมาเรืองอำนาจของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และแสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศมีการตอบสนองต่อสภาวะกดดันที่รุนแรงอย่างไร
ประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาที่ว่างเปล่านี้ยังคงเป็นความท้าทาย โดยบ่งชี้ว่าคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางประการของโลกเรานั้น อาจไม่ได้อยู่ในสิ่งที่ "เหลือรอดอยู่" แต่อยู่ในสิ่งที่ "สาบสูญไป" ต่างหาก
โฆษณา