29 ธ.ค. เวลา 06:03 • ประวัติศาสตร์

ยุคสำริดกานซู่ กระจายสู่ชาวซานซิงเจียงหนาน ราชวงศ์ซาง ประเทศจีนและวัฒนธรรมอันโดรโนโว คาซัสถาน

10,000 ปีที่แล้ว ภาคกลางของมณฑลกานซู
ต้นแม่น้ำเหลือง ดินแดนแม่น้ำสองสี [เขียวและเหลือง]
ได้เข้าสู่ยุคหินใหม่
การใช้สำริด (Bronze): ทองแดง (Cu) + ดีบุก (Sn)
การใช้สำริดเก่าสุดในจีน หลักฐานการใช้สำริด โบราณคดีเหลียงจู่ (Liangzhu) ในจีนยุคหินใหม่ตอนปลาย (ประมาณ 3300-2300 ปีก่อนคริสตกาล) หรือ 5,300 - 4,300 ปีก่อน
#Naruepon Pengon Translate and compile
มีหลักฐานการใช้สำริดการใช้สำริด โบราณคดีเหลียงจู่ (Liangzhu) คือ วัตถุพิธีกรรมและเครื่องประดับ: การค้นพบเครื่องประดับสำริด เช่น กำไล แหวน รวมถึงวัตถุที่มีลวดลายเทพเจ้าและสัตว์วิเศษ (เช่น มังกร เสือ) แสดงถึงความสำคัญทางศาสนาและความเชื่อที่ซับซ้อน.
เครื่องมือ: แม้จะยังเป็นยุคหินใหม่ตอนปลาย แต่สำริดเริ่มถูกนำมาใช้ในเครื่องมือบางประเภท ซึ่งบ่งชี้ถึงการพัฒนาเทคโนโลยีโลหะวิทยา.
#Naruepon Pengon Translate and compile
แสดงถึงชนชั้น: การมีอยู่ของวัตถุสำริดที่ประณีตในสุสาน แสดงถึงลำดับชั้นทางสังคมที่ชัดเจนและความมั่งคั่งของชนชั้นปกครอง.
การผสมผสาน: วัฒนธรรมเหลียงจู่ผสมผสานการใช้หยกและสำริดได้อย่างลงตัว เป็นเอกลักษณ์ของอารยธรรมยุคแรกในลุ่มแม่น้ำแยงซี.
#Naruepon Pengon Translate and compile
วัฒนธรรม​หม่าเจียเหยา​ ค้นพบ​มีดสำริดมีสนิมสีเทาเข้ม
ที่เก่าสุดในจีน​ 5,305​ - 4,765 ปีก่อน​ ในมณฑล​กาน​ซู่​ ยาว​ 12.5​ cm กว้าง​ 2.4 cm พบคราบตะกรันประกอบด้วย​ ทองแดง​ 36.5% ดีบุก 6.47%​ ตะกั่ว​ 3.49% และเหล็ก​ 0.41%
สิ่งประดิษ​ฐ์วัฒนธรรม​หม่าเจียเหยาพบภาชนะ​ดินเผาที่มีลวดลายสีดำ​ เขียนด้วยลายมือ​บนภาชนะ​ เช่น​ เส้นฟัน​เลื่อย​ แผงน้ำเต้าเกลียว​ รูปคน​ รูปสัตว์
หัวลูกศร​สำริด​อายุ​ 4,500​ ปีก่อน​ ยาว​ 3.66​ cm และวัตถุ​รูปทรงกระบอกสำริดมีรูพรุน​ ยาว​ 6.45 cm เขตซีฉวน​ มณฑล​เหอหนาน​ ประเทศจีน​
มีดสัมฤทธิ์จีน​ วัฒนธรรมหม่าเจียเหยา​ อายุ 5,305 ปี ถึง 4,765 ปีก่อนในมณฑลกานซู่ ประเทศ​จีน​ เมื่อ​5,305 ปี ถึง 4,765 ปีก่อน​ ค้นพบมีดสัมฤทธิ์และพิสูจน์​การหาอายุด้วยคาร์บอน-14 ระบุว่า​ ชั้นวัฒนธรรมหม่าเจียเหยาค้นพบมีดนี้อยู่ในช่วงประมาณ 5,305 ปี ถึง 4,765 ปีก่อน หรือ
[3,280 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 2,740 ปีก่อนคริสตกาล]
มีดสัมฤทธิ์อายุห้าพันปี เล่มนี้มีความยาว 12.5 ซม. กว้าง 2.4 ซม. และถูกขุดพบ ณ มณฑลกานซู่ ในปี พ.ศ. 2521
มีดหล่อจากแม่พิมพ์สองแบบ รูปทรงได้สัดส่วน ใบมีดบางสม่ำเสมอ ผิวเรียบ และ
มีสนิมสีเขียวเทาเข้มหนา ด้ามสั้น ใบมีดยาวโค้งเล็กน้อย ใบมีดผ่านการตีขึ้นรูปเย็นหรือเจียรเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความคม ปลายใบมีดค่อนข้างทื่อและหงายขึ้นเล็กน้อย ส่วนหลังโค้ง ด้านหน้าของใบมีดเว้าเนื่องจากการสึกหรอ ด้ามจับแคบลงทั้งสองด้านและมีร่องรอยของด้ามจับไม้ฝัง
#Naruepon Pengon Translate and compile
มีดสัมฤทธิ์จีน วัฒนธรรมหม่าเจียเหยา อายุ 5,305 ปี ถึง 4,765 ปีก่อนในมณฑลกานซู่ มีสนิมสีเขียวเทาเข้มหนา
#วัฒนธรรมหม่าเจียเหยาครอบคลุมดินแดน ตอนบน ของแม่น้ำเหลือง ในมณฑล กานซู่ ตะวันออก มณฑล ชิงไห่ ตะวันออก และ มณฑลเสฉวน ตอนเหนือของประเทศจีนเป็นหลัก
ดังนั้น มณฑลกานซู่​ ในช่วงเวลาดังกล่าว​ จึงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรร​มหม่าเจียเหยา
เป็นเส้นแบ่งระหว่างเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง โดยมีเทือกเขาอู่เส้าหลิงเป็นเส้นแบ่งเขต
ผลการวิเคราะห์มีดสัมฤทธิ์มณฑล​กาน​ซู่​ โดยการกระตุ้นนิวตรอนของเศษตะกรันทองแดงพบว่ามีทองแดง 36.50% ดีบุก 6.47% ตะกั่ว 3.49% และเหล็ก 0.41%การพิสูจน์​มีดสัมฤทธิ์มณฑล​กาน​ซู่​ โดยการหาอายุด้วยคาร์บอน-14 ระบุว่า
ชั้นวัฒนธรรมหม่าเจียเหยาที่ฝังมีดนี้ อยู่ในช่วงประมาณ 5,305 ปี ถึง 4,765 ปีก่อน หรือ
3,280 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 2,740 ปีก่อนคริสตกาล
ที่มา สำนักงานความมั่นคงสาธารณะปักกิ่ง​
วัตถุสำริดเก่าแก่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง 4,500 ปี ในเมืองซีฉวน มณฑลเหอหนาน​ จีน
การค้นพบโบราณวัตถุสำริดที่เก่าแก่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งมีอายุย้อนกลับไปประมาณ 4,500 ปี ในเมืองซีฉวน มณฑลเหอหนาน
เทือกเขาจงเถียว หมายถึงเทือกเขาที่ตั้งอยู่ในมณฑลซานซีทางตอนใต้ของจีน และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาไท่หาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทือกเขาจงเถียวในต้นฉบับหมายถึงพื้นที่ทำเหมืองทองแดงที่สำคัญในภูมิภาค
กิจกรรมการถลุงแร่ทองแดงได้เริ่มต้นขึ้นในภูมิภาคนี้ตั้งแต่เมื่อ 4,500 ปีก่อน
โลหะวิทยายุคแรกในตอนกลางของแม่น้ำแยงซีเกียงไปเป็น 4,500 ปีก่อน
โบราณวัตถุสัมฤทธิ์ในลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง หัวลูกศรสัมฤทธิ์และวัตถุรูปแท่งสัมฤทธิ์ที่ขุดพบ ณ แหล่งโบราณคดีโกวหว่าน ในเขตซีฉวน มณฑลเหอหนาน เป็นงานหล่อสัมฤทธิ์ที่มีอายุราว 4,500 ปี
หัวลูกศรสัมฤทธิ์ที่ขุดพบ ณ แหล่งโบราณคดีโกวหว่าน ในเขตซีฉวน มณฑลเหอหนาน มีรูปร่างสอดคล้องกับหัวลูกศรหินในยุคปัจจุบัน โดยมีความยาวที่เหลืออยู่ 3.66 เซนติเมตร และมีหน้าตัดแบนราบ แสดงให้เห็นรอยหล่อ โบราณวัตถุรูปทรงแท่งสำริดเป็นชิ้นส่วนทรงกระบอกใต้ผิวดิน ยาว 6.45 เซนติเมตร มีรูพรุนที่เห็นได้ชัดบนตัววัตถุ โบราณวัตถุทั้งสองชิ้นมีรอยตะเข็บแม่พิมพ์ที่เห็นได้ชัดบนพื้นผิวภายนอก
การวิเคราะห์ธาตุ หัวลูกศรสัมฤทธิ์และวัตถุรูปแท่งสัมฤทธิ์ที่ขุดพบ ณ แหล่งโบราณคดีโกวหว่าน ในเขตซีฉวน มณฑลเหอหนาน
ผลปรากฎว่าโบราณวัตถุทั้งสองชิ้นหล่อขึ้นจากโลหะผสมสามธาตุ ได้แก่
ทองแดง -ดีบุก-ตะกั่ว
ที่มา : วารสารวิชาการนานาชาติ *Archaeological Research in Asia*
#นฤพนธ์เพ็งอ้น
แปลเรียบเรียงและตีความ
แหล่งโบราณคดีซานซิงชุนมีอายุราวช่วงกลางและปลายของวัฒนธรรมหม่าเจียปัง ประชากรชายที่ขุดพบในแหล่งโบราณคดีซานซิงชุนมีมากกว่าประชากรหญิงอย่างมีนัยสำคัญ ความสูงเฉลี่ยของประชากรสูงกว่า 1.6 เมตร
โบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่แหล่งซานซิงตุ่ยมีอายุย้อนไปประมาณ 4,500 ถึง 3,600 ปี (ปลายยุคหินใหม่ถึงราชวงศ์เซี่ย) เช่น หยกและเครื่องปั้นดินเผา ทรงกรวยและรูปทรงเกลียวอ่าง เหยือก และหม้อที่มีก้นแบนหรือฐานวงแหวนเล็กๆ เครื่องปั้นดินเผาบางส่วนมีขอบเป็นลายลูกไม้
หน้ากากทองคำและเครื่องประดับทองคำรูปนก ที่ขุดพบจากบริเวณบูชายัญ ผลการหาอายุด้วยคาร์บอน-14 ทำให้สามารถสรุปเบื้องต้นได้ว่า K3, K4, K7 และ K8 มีอายุย้อนไปประมาณ 3200 ถึง 3000 ปีที่แล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับช่วงปลายราชวงศ์ชาง
ยุคสำริดของซานซิงตุ้ย เมื่อ 3600-3300 ปี (ราวต้นราชวงศ์ชาง) การค้นพบ เช่น หน้ากากสำริดตาโปน เครื่องประดับสำริดและระฆังสำริด ภายในซากสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่และซากพิธีกรรมบูชายัญอ่าวมูนและภูเขาชิงกวน มีกำแพงเมืองล้อมรอบพระราชวังเจิ้นหวู่ ค้นพบรูปปั้นมนุษย์หยก คทาหยก โดยเฉพาะอารยธรรมหยกซึ่งพบเฉพาะในอารยธรรมจีนและมายา
#Naruepon Pengon Author, Translate and compile
3300-3100 ปีที่แล้ว (ราวปลายราชวงศ์ชาง) ค้นพบเครื่องสำริด เครื่องทอง เครื่องหยก และเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสำริดที่พบในยุคนี้ ได้แก่ จุน เล่ย รูปปั้นคนยืนขนาดใหญ่ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หัวคน หน้ากาก และแท่นบูชา เครื่องทอง ได้แก่ หน้ากากและไม้เท้าทองคำ
เครื่องหยก ได้แก่ จาง เกอ ปี่ และฉง
เครื่องปั้นดินเผา ได้แก่ หม้อปรุงอาหารสามขา [ซี่งมีการค้นพบในอาเซียน เช่นกัน] โถคอสูง ภาชนะรูปกู โถทรงสูง โถปากกว้างขอบหนา โถคอต่ำ ภาชนะมีหูจับรูปหัวนก เหอ และโถก้นแบน
เทคโนโลยีสำริดของ Sanxingdui มาจากราชวงศ์ชางและมีระดับต่ำกว่าเล็กน้อย
แต่มีสุนทรียภาพที่เป็นเอกลักษณ์
ช่วงต้นของวัฒนธรรมซ่งเจ๋อ
ค้นพบ เคียวที่ทำจากเปลือกหอย ขวานหินเจาะรู มีดหินเจาะรู และเครื่องมือบด เครื่องมือจับปลา เช่น ลูกตุ้มถ่วงแหที่ทำจากดินเผา และหอกจับปลาที่ทำจากกระดูก โครงกระดูกหมู วัว สุนัข แกะ และไก่
แหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมหม่าเจียปัง ค้นพบ แผ่นกระดูกแกะสลัก หม้อดินเผา (ภาชนะใส่อาหารชนิดหนึ่ง) ที่มีลวดลายเมฆและฟ้าร้อง คทา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและสถานะพิเศษของผู้เป็นเจ้าของสุสาน ขวานกระดูกที่ตกแต่งด้วยกระดองเต่า และปลอกด้ามงาช้างลวดลายบนขวานกระดูกที่ตกแต่งด้วยกระดองเต่านั้นเชื่อกันว่าเป็นรูปจระเข้ ห่าน ปลา หนอนไหม ลวดลายบนเครื่องประดับกระดูกและกระดองเต่าของคทา บางคนเชื่อว่ามันเป็นรูปจระเข้ ในขณะที่บางคนเสนอว่าเป็นห่าน ปลา หรือหนอนไหม
ที่มา : พิพิธภัณฑ์หนานจิง
วัฒนธรรมหม่าเจียปัง ค้นพบ เข็มกระดูกสิบกว่าเล่มที่มีความยาวแตกต่างกัน บรรจุอยู่ในหลอดกระดูกที่ประณีต แต่ละเล่มมีรูเล็กๆ ที่ปลาย
แต่รูเข็มที่ละเอียดเช่นนี้ไม่สามารถใช้ด้ายป่านร้อยได้ มีเพียงด้ายไหมเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านได้
ชาวหมู่บ้านซานซิงใช้เครื่องมือหินในการทำเกษตรกรรม ใช้แหจับปลา เก็บเกี่ยวผลไม้ ปลูกข้าว หุงข้าวในหม้อดินเผา และล่ากวางด้วยธนู พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านยกพื้นสูง สวมเสื้อผ้าไหมและป่าน ประดับประดาตนเองด้วยเครื่องประดับหยกและเปลือกหอย เลี้ยงหมู ทั่วบริเวณตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซีในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงมณฑลเจียงซู เจ้อเจียง และอานฮุย
วัฒนธรรมหม่าเจียปังมีห้าชั้น
ชั้นที่ห้าเป็นฐานรากบ้านและหลุมเถ้าถ่าน ฐานรากบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นหลุมเสาที่อัดแน่น คาดว่าเป็นบ้านยกพื้นสูง หลุมเถ้าถ่านส่วนใหญ่ประกอบด้วยเมล็ดข้าวที่ไหม้เกรียม กระจายอยู่ใกล้กับฐานรากบ้าน
ชั้นที่สามและสี่ของวัฒนธรรมหม่าเจียปัง มีหลุมฝังศพที่กระจายตัวอย่างหนาแน่น และพบขวานหินที่ใช้ในพิธีกรรม ชั้นที่สองมีหลุมฝังศพน้อยกว่า และชั้นแรกเป็นชั้นดินที่ทำการเพาะปลูกบริเวณลุ่มแม่น้ำแยงซีตอนล่าง
5,000 ปีที่แล้ว กานซู่ เกิดวัฒนธรรมหม่าเจียเหยา ค้นพบการใช้ทองแดงธรรมชาติที่มีแมงกานีสและดีบุก และเริ่มผลิตเครื่องสำริดอย่างง่าย รวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาที่วาดลวดลาย
และประดิษฐ์เครื่องสำริด
การค้นพบอาคารพระราชวังขนาดใหญ่ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ไว้ดีที่สุดในประเทศจีน ซึ่งมีอายุย้อนหลังไปถึง 5,000 ปี อาคารหลัก (F1) มีความยาว 34.8 เมตร (เหนือ-ใต้) และกว้าง 20.6 เมตร (ตะวันออก-ตะวันตก) มีพื้นที่อาคารประมาณ 720 ตารางเมตร และพื้นที่ภายในประมาณ 580 ตารางเมตร ผนังดินอัดมีความกว้างประมาณ 1.5 เมตร และสูง 2 เมตร (ส่วนที่เหลืออยู่)
อาคารหลักประกอบด้วย "ห้องโถงด้านหน้า" และ "ห้องโถงหลัก" โดยมีแท่นระบายน้ำอยู่ด้านนอกของผนังด้านตะวันออกและตะวันตก "ห้องโถงด้านหน้า" มีเสาเรียงกันสามแถว ในขณะที่ "ห้องโถงหลัก" มีเสาสำหรับคานหลักสองเสา แต่ละเสามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.7 เมตร และแท่นบูชาไฟขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.2 เมตร มีประตูสามบานอยู่บนผนังระหว่าง "ห้องโถงด้านหน้า" และ "ห้องโถงหลัก" ในตอนแรก พื้นและผนังถูกเคลือบด้วยส่วนผสมของหญ้าและโคลน จากนั้นจึงทาสีขาวทับ
เครื่องปั้นดินเผาคุณภาพสูงจำนวนมากที่มีฝีมือประณีตภายใน "เมืองพระราชวัง" พื้นที่ประกอบพิธีกรรม F2 ทางด้านตะวันออกของห้องพบไหขนาดเล็กหลายร้อยใบที่มีขนาดแตกต่างกัน มีแถบสีขาวและลวดลายตกแต่ง ไหดินเผาสีขาว
พื้นที่ประกอบพิธีกรรม F2 ทางด้านตะวันออกของห้อง พบไหขนาดเล็กหลายร้อยใบที่มีขนาดแตกต่างกัน มีแถบสีขาวและลวดลายตกแต่ง ไหดินเผาสีขาว
ไหดินเผาเคลือบสีขาว ไหก้นกลม อ่างสองชั้น ช้อนดินเผา เครื่องปั้นดินเผาทาสีแดง และเครื่องปั้นดินเผาสีดำ ยังพบหัวลูกศรหินและกระดูกเคลือบสีแดงจำนวนมาก รวมถึงรูปปั้นดินเผาและหินเทอร์ควอยซ์ด้วย
พบอิฐดินเหนียวและอิฐดินเผาที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่รู้จัก ภาชนะดินเผาสำหรับประกอบพิธีกรรมที่ขุดพบจากชั้นดิน F2
พบข้าวก้นหม้อที่ผ่านการหุงเป็นจำนวนมาก เมล็ดข้าวที่ไหม้เกรียมหลายล้านเมล็ดถูกพบในพื้นที่บูชายัญทางด้านตะวันออกของ F1
ตัวอย่างข้าวที่นำมาหาอายุด้วยวิธีคาร์บอน-14 ส่วนใหญ่เป็นเมล็ดพืช (ข้าวและข้าวฟ่าง) มีกระดูกสัตว์และถ่านจำนวนเล็กน้อย ข้อมูลการหาอายุ 53 ตัวอย่างโดยพื้นฐานแล้วมีอายุระหว่าง 5100 ถึง 4700 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงปลายวัฒนธรรมหยางเสา
พืชหลักในบริเวณพระราชวังหนานจั่วคือข้าว รองลงมาคือข้าวฟ่าง มีการระบุเมล็ดข้าวได้แล้วประมาณ 600,000 เมล็ด
ข้าว ข้าวฟ่าง และหญ้าหางสุนัข บ่งชี้ว่าพืชเหล่านี้อาจไม่ได้มาจากภูมิภาคเดียวกัน ผลการระบุถ่านแสดงให้เห็นว่าสกุลไม้ที่เด่นคือ ต้นโอ๊ก ต้นเอล์ม ต้นสน และต้นไผ่
หัวลูกศรที่ทำจากหินและกระดูกที่ขุดพบ  จากการวิเคราะห์เศษเครื่องปั้นดินเผา พบว่าขวดดินเผาก้นแบนที่ทาสีอาจบรรจุเหล้าข้าวหมัก และไหดินเผาสีขาวที่ตกแต่งลวดลายอาจบรรจุหรือเคยใช้สำหรับปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ส่วนการวิเคราะห์เครื่องปั้นดินเผาที่ทาสีด้วยสีแดงชาด พบว่าเม็ดสีแดงคือสีแดงชาด และตรวจพบกรดไขมันในส่วนประกอบของการเผาไหม้ของเศษซาก แสดงให้เห็นว่ามีการใช้สารยึดเกาะไขมันในกระบวนการเคลือบสี
หินเคลือบอาจมีต้นกำเนิดมาจากทางใต้ การเคลือบผลึกจากทะเลบนเครื่องปั้นดินเผาสีขาวบางชิ้นอาจมาจากภูมิภาคไห่ไต้ อุณหภูมิในการเผาเครื่องปั้นดินเผาโดยทั่วไปสูงกว่า 1000 องศาเซลเซียส โดยสูงสุดถึง 1116 องศาเซลเซียส หินเทอร์ควอยซ์และหินชาดน่าจะมีต้นกำเนิดมาจากตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำแยงซี แม้ว่าการปลูกข้าวในปริมาณมากจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าข้าวได้มาจากการค้าทางไกลจากบริเวณตอนกลางของแม่น้ำแยงซี ซึ่งบ่งชี้ว่า "อาณาจักรโบราณ" หนานจั่ว
บ้านเรือน ในแหล่งโบราณสถานวัฒนธรรมหยางเสาตอนปลาย อาณาจักรหนานจั่วมีพื้นที่อย่างน้อย 6 ล้านตารางเมตรประกอบด้วย "แท่นเก้าแห่ง" และคูเมืองโดยรอบ มีพื้นที่ประมาณ 300,000 ตารางเมตร
แหล่งโบราณสถานหนานจั่ว พื้นที่อยู่อาศัย มีสิ่งก่อสร้างจากดินอัด และคลองชลประทานอีกมากมาย ชาวบ้านอยู่ตามถ้ำ ตั้งอยู่นอก "แท่นเก้าแห่ง" เป็นส่วนใหญ่ คาดการณ์ว่าพื้นที่หลัก 300,000 ตารางเมตรที่ล้อมรอบ "แท่นเก้าแห่ง" อาจเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม หรือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของขุนนาง นี่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ผสานอำนาจศักดิ์สิทธิ์และระบอบกษัตริย์ระดับภูมิภาคเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา โดยมีระบอบกษัตริย์เป็นแก่นหลัก
ผังเมืองของเมืองหลวงหนานจั่วและ "เมืองพระราชวัง" ณ แหล่งโบราณสถานหนานจั่ว แสดงให้เห็นถึงความสมมาตรแบบศูนย์กลางและแกนกลางที่ชัดเจน บริเวณแกนกลางของ "แท่นเก้าชั้น" ตั้งอยู่ใจกลางชุมชน โดยมี "เมืองพระราชวัง" ตั้งอยู่ใจกลาง "แท่นเก้าชั้น"
หอหลักของแหล่งโบราณสถานหนานจั่ว ตั้งอยู่ใจกลาง "เมืองพระราชวัง" และแท่นบูชาไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางหอหลัก
หอหลักแหล่งโบราณสถานหนานจั่ว หันหน้าไปทางทิศใต้ และจากเสาค้ำสองต้นที่ด้านหลังของหอหลักไปทางทิศใต้ถึงประตูกลางของหอหลักและประตูทิศใต้ของ "เมืองพระราชวัง" จะเกิดเป็นแกนกลางแนวเหนือ-ใต้โดยประมาณ ห้องข้าง (หอข้าง) และคูเมืองกระจายตัวอย่างสมมาตรทางด้านตะวันออกและตะวันตก
ผังเมืองพระราชวังแหล่งโบราณสถานหนานจั่ว แบบปิดล้อมโดยรวมที่มีลำดับชั้นที่ชัดเจน ความสมมาตรตามแกน และชั้นต่างๆ ที่ก้าวหน้า แท่นทางทิศเหนือของ "แท่นทั้งเก้า" ตั้งอยู่ทางเหนือสุดของแกนกลางนี้ โดยมีแท่นสี่แท่นอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเรียงกันอย่างสมมาตร
นอกกำแพงด้านใต้ของ "เมืองพระราชวัง" แหล่งโบราณสถานหนานจั่ว มีกำแพงอีกแห่งขนานอยู่ คล้ายกับกำแพงกั้นหรือกำแพงแบ่งเขตในยุคต่อมา ประตูของกำแพงด้านนอกเยื้องไปจากประตูทางทิศใต้ของ "เมืองพระราชวัง" ไม่กี่เมตร และพื้นที่ระหว่างกำแพงทั้งสองยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการ ช่วยเสริมการปิดล้อมและการป้องกัน "เมืองพระราชวัง" การตั้งถิ่นฐานหนานจั่ว ด้วยโครงสร้างหลายชั้นที่จัดระเบียบอย่างดี ควรถูกมองว่าเป็นพิธีกรรมที่แสดงออกถึงลำดับชั้นทางสังคม
แหล่งโบราณสถานหนานจั่ว ค้นพบเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีแดง เครื่องปั้นดินเผาที่ทาสีขาว และเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายบนดินเหนียวสีขาว รวมถึงหัวลูกศรที่ทำจากหินและกระดูกเคลือบด้วยสีแดง และเศษข้าวที่ไหม้เกรียมจำนวนมาก
ดังนั้น การกำเนิดและการก่อตัวของอารยธรรมจีน ประมาณ 5,000 ปีที่แล้ว ณ แหล่งโบราณสถานหนานจั่ว ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำเหลืองทางภาคเหนือของจีน ภูมิภาคหลงตงได้เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของรัฐหรือสังคมอารยธรรมแล้ว
ที่มา เครือข่ายสังคมศาสตร์แห่งประเทศจีน
4,000 ปีที่แล้ว ราชวงศ์เซี่ยได้รวมเผ่าต่าง ๆ บนที่ราบภาคกลางเข้าด้วยกัน บรรพบุรุษของชาวกานซูได้ผสมผสานวัฒนธรรมของที่ราบภาคกลางราชวงศ์เซี่ยและชนกลุ่มน้อยต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 56 ชนเผ่าในกานซู่ ก่อให้เกิดวัฒนธรรมท้องถิ่นมากมาย และวัฒนธรรมสำริดของกานซู
ส้อมที่พบในแหล่งโบราณคดี แหล่งวัฒนธรรมชีเจีย (齐家文化遗址) ในประเทศจีน ทำจากกระดูกสัตว์เมื่อประมาณ 4,000 ปีที่แล้ว
เครื่องสำริดหมายถึง วัตถุโลหะผสมที่ทำจากทองแดงเป็นหลัก ร่วมกับดีบุก ตะกั่ว และวัสดุอื่นๆ หล่อขึ้นโดยใช้กรรมวิธี "การหล่อแบบแม่พิมพ์" และ "การหล่อแบบขี้ผึ้งหาย"
ผู้คนในมณฑลกานซูใช้แร่ทองแดงที่หาได้ในท้องถิ่นมาสร้างอาวุธ เครื่องมือ และเครื่องประดับสำริดอย่างง่ายๆ
ทิศตะวันออก : ประสบการณ์นับพันปีในการใช้สำริดของชาวกานซู่ได้แพร่เทคโนโลยีการหล่อสำริด
และพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ได้แก่
ราชวงศ์ชาง3,600 - 3,100 ปีก่อน และ แหล่งโบราณคดีไห่เหมินโข่ว ยุคสำริดที่หนึ่ง พื้นที่เจียนหู มณฑลยูนนานตะวันตกเฉียงเหนือ 3400–3100 ปีที่แล้ว
2. ราชวงศ์โจว 3,100 ปีก่อน และแหล่งโบราณคดีไห่เหมินโข่ว ยุคสำริดที่สอง
พื้นที่เจียนหูมณฑลยูนนานตะวันตกเฉียงเหนือ 3000–2500 ปี
การแลกเปลี่ยนสินค้าทางวัฒนธรรมและการอพยพของชนเผ่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตตะวันออก ค้นพบบ้านไม้ยกพื้นริมน้ำขนาดใหญ่ การปลูกข้าว ข้าวฟ่าง และข้าวสาลี โดยเฉพาะเกษตรกรรมข้าวฟ่างที่มีต้นกำเนิดจากลุ่มแม่น้ำเหลืองได้ขยายไปยังยูนนานตะวันตก โดยเป็นโบราณคดีในยุคสำริดที่เก่าแก่ที่สุดบนที่ราบสูงยูนนาน-กุ้ยโจว และยูนนานตะวันตก
ทิศตะวันตก : ประสบการณ์นับพันปีในการใช้สำริดของชาวกานซู่ ประเทศจีน
ได้แพร่เทคโนโลยีการหล่อสำริด ไปสู่ วัฒนธรรมอันโดรโนโว ประเทศคาซัคสถาน
ในศตวรรษที่ 16 -15 ก่อนคริสตกาล หรือ 3,600 ปีก่อน
มีการค้นพบสร้อยคอลูกปัด เครื่องประดับศีรษะสำริด และกำไลความรู้ด้านการทำเครื่องประดับสำริด
#Naruepon Pengon Translate and compile
วัฒนธรรมอันโดรโนโว ประเทศคาซัคสถาน ครอบคลุมเทือกเขาอูราลตอนใต้ไปจนถึงไซบีเรียตอนกลาง และซินเจียงตะวันตก ค้นพบ เครื่องปั้นดินเผาลายเรขาคณิต (สามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) มีแรงบันดาลใจจากยุคหินใหม่ในประเทศจีน ชาวอันโดรโนโวนิยมเลี้ยงวัว, แกะ, ม้า และการใช้รถม้า
เครื่องปั้นดินเผาลายเรขาคณิต (สามเหลี่ยม, สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน) วัฒนธรรมอันโดรโนโว เป็นต้นกำเนิดภาษาและวัฒนธรรม อินโด-อิหร่านในภายหลัง และพัฒนาไปยังอิหร่านและอนุทวีปอินเดีย
วัฒนธรรมซินทาชตา-อันโดรโนโวมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชนชาติอินโด-อิหร่านยุคแรก
วัฒนธรรมซินทาชตา-อันโดรโนโวเป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมทุ่งหญ้าสเตปป์ยุคก่อนหน้าหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมยัมนา (3300–2600 ปีก่อนคริสตกาล)
ซึ่งเลี้ยงสัตว์และการเพาะพันธุ์ม้า
วัฒนธรรมอาฟานาซิโว (3500-2500 ปีก่อนคริสตกาล)
เลี้ยงสัตว์และการเพาะพันธุ์ม้า
วัฒนธรรมโพลทาฟกา (2100-2700 ปีก่อนคริสตกาล) ขนบธรรมเนียมการฝังศพและระบบเศรษฐกิจแบบเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง
ยุคสำริดเริ่มในวัฒนธรรมอาบาเชโว เมื่อ 3,600 - 3,500 ปีก่อน สันนิษฐานว่ารับอารยธรรมการหล่อสำริดมาจากกานซู่ และอัลไต ซินเจียง ประเทศจีน วัฒนธรรมอาบาเชโว ครอบคลุมเขตป่าสเตปป์ทางตอนใต้ของเทือกเขาอูราล และชาวอาบาเชโวเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของวัฒนธรรมซินทาชตา วัฒนธรรมโบราณยุคสำริดทางตอนใต้ของเทือกเขาอูral (ปัจจุบันคือรัสเซียและคาซัคสถาน) ที่โดดเด่นด้วยการประดิษฐ์และใช้รถศึกสองล้อ (chariots) เป็นครั้งแรกของโลก พบในเขตเชลยาบินสค์
ในปัจจุบันประเทศรัสเซียมีอายุราว 1950 –1880 ปีก่อนคริสตกาล
กระจายของรถม้าศึก 2 ล้อ ในช่วง 4,000 ปี -2,500 ปีก่อน #Naruepon Pengon Translate and compile
การแพร่กระจายอารยธรรมล้อรถม้า ช่วยขนส่งอารยธรรมสำริดจากเขตเชลยาบินสค์ ในรัสเซีย
ไปราชวงศ์เซี่ยของจีน, เปอร์เซีย, เมโสโปเตเมีย อียิปต์ อินเดีย และยุโรป
#Naruepon Pengon Author, Translate and compile
700 ปีก่อนคริสตกาลถึงต้นศตวรรษที่ 1 หลังคริสตกาล
ชนเผ่าซากา และต่อมาเป็นชนเผ่าวูซุน ซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนทางเหนือของเทือกเขาเทียนซาน
เมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน
ค้นพบมนุษย์ทองคำแห่งอิสซิก คูร์กัน ศิลปะสำริดเจทิซู มนุษย์ทองคำอยู่ที่ คาซัคสถาน
โต้แย้งข้อว่ามนุษย์ทองคำมิใช่มาจาก อินเดียตามความเชื่อของชาวฮั่น สมัยราชวงศ์ฮั่น แต่อย่างใด
#Naruepon Pengon Translate and compile
กานซู่ คือ สะพานเชื่อมระหว่างจีนและเอเชียกลาง
"เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางระเบียงฉางอาน-เทียนซาน" ซึ่งได้รับการอนุมัติจากยูเนสโกในปี 2015 นั้นรวมถึงภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำด้วย ผ่านระเบียงนี้ การเชื่อมต่อโดยตรงและระยะยาวได้ถูกสร้างขึ้นระหว่างภูมิภาคเกษตรกรรมที่ราบภาคกลางและภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงศตวรรษที่ 16 หลังคริสต์ศักราช
"สะพานโอเอซิสแห่งกานซู" ในฐานะทางผ่าน "สะพานโอเอซิส" เชื่อมต่อเมืองสำคัญของจีน เช่น ฉางอานและลั่วหยาง
ภูมิภาคทรานส์ออกเซียนา เช่น รัฐซอกเดียนทางอีกด้านหนึ่ง และเมืองต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำ (เซมิริเยจเย)
"เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางระเบียงฉางอาน-เทียนซาน" ซึ่งได้รับการอนุมัติจากยูเนสโกในปี 2015 นั้นรวมถึงภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำด้วย ผ่านระเบียงนี้ การเชื่อมต่อโดยตรงและระยะยาวได้ถูกสร้างขึ้นระหว่างภูมิภาคเกษตรกรรมที่ราบภาคกลางและภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงศตวรรษที่ 16 หลังคริสต์ศักราช
"สะพานโอเอซิสแห่งกานซู" ในฐานะทางผ่าน "สะพานโอเอซิส" เชื่อมต่อเมืองสำคัญของจีน เช่น ฉางอานและลั่วหยาง
ภูมิภาคทรานส์ออกเซียนา เช่น รัฐซอกเดียนทางอีกด้านหนึ่ง และเมืองต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไปในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ภูมิภาคเจ็ดแม่น้ำ (เซมิริเยจเย)
"ประวัติศาสตร์เอเชียกลางอาจกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์จีนครึ่งหนึ่งและประวัติศาสตร์ต่างชาติครึ่งหนึ่ง
ประวัติศาสตร์ของจีนตะวันตกเฉียงเหนือครึ่งหนึ่งและประวัติศาสตร์ของเอเชียกลางครึ่งหนึ่ง"
ราชวงศ์ชาง (ประมาณ 1600 ปีก่อนคริสตกาล – 1046 ปีก่อนคริสตกาล[50] ) เป็นราชวงศ์ที่สองในประวัติศาสตร์จีน การค้นพบจารึกกระดูกทำนาย และ โบราณวัตถุ สำริด ที่มีจารึก จำนวนมาก ทำให้ประวัติศาสตร์จีนเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ราชวงศ์นี้ดำรงอยู่ยาวนานกว่า 500 ปี และ สืบทอดยุคสำริดถึงราชวงศ์โจว
ชาวชางมีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าตงอี้ในบริเวณตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ำเหลือง
#แหล่งโบราณคดี Semiyarka ประเทศคาซัคสถาน
เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเชอร์คาสกุล (1600–1250 ปีก่อนคริสตกาล) และวัฒนธรรมอเล็กเซเยฟกา-ซาร์การี (1500–1100 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของวัฒนธรรมอันโดรโนโว ประเทศคาซัคสถาน แหล่งโบราณคดีนี้ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่
หลักฐานการทำเครื่องปั้นดินเผา รวมถึงการผลิตสำริดดีบุก แร่ทองแดงและดีบุกที่ใช้ในการผลิตสิ่งประดิษฐ์เซมิยาร์กาอาจมีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาอัลไตในคาซัคสถานตะวันออก
เซมิยาร์กาเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในยุคสำริดตอนปลายในเขตอาไบ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของคาซัคสถาน ซึ่งมีผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่ประมาณ 1600 ปีก่อนคริสตกาล
บรรพบุรุษของชาวซาง นามว่า ฉี
ได้ช่วยเหลือ
หยูต้าในการควบคุมอุทกภัย
จึงได้รับพระราชทานที่ดินในซ่างอี้ (ปัจจุบันคือเมืองซ่างฉิว มณฑลเหอหนาน )
ดังนั้น เมื่อชาวช
ซาง
ตั้งราชวงศ์ใหม่ จึงใช้คำว่า ราชวงศ์ซาง มาจากเมืองซ่างฉิว
จากกำแพงเมืองจีนทางเหนือไปจนถึง แม่น้ำ แยงซีทางใต้
อาณาเขตขยายจากเหลียวหนิงทางเหนือไปจนถึงลุ่มแม่น้ำแยงซี ทางใต้ จากฉานซี ทางตะวันตก ไปจนถึงชายฝั่งทางตะวันออก และควบคุมพื้นที่กว้างใหญ่ผ่านป้อมปราการของรัฐต่างๆ
ราชวงศ์ชาง มี รัฐมากกว่าร้อยรัฐ รวมทั้ง กุ้ยฟางและโจวฟาง ซึ่งรวมตัวกันเป็นพันธมิตรโดยมีราชวงศ์ชางเป็นศูนย์กลาง
รัฐปรากฏขึ้นในช่วง ยุค วัฒนธรรมหลงซาน (ประมาณ 2500 ปีก่อนคริสตกาล)
แหล่งโบราณสถานและโบราณวัตถุสำริดที่แหล่งโบราณสถานเถาซี ยืนยันถึงการมีอยู่ของโครงสร้างอำนาจแบบบังคับ วัฒนธรรมเซี่ยเจียเตียนตอนล่างเป็นตัวอย่างหนึ่งของยุครัฐ มีอายุตั้งแต่ประมาณ 2000 ถึง 1500 ปีก่อนคริสตกาล ครอบคลุมเทือกเขาหยานซาน ทางตะวันตกของเหลียวหนิง และทางตะวันออกเฉียงใต้ของมองโกเลียใน โดยทั่วไปแล้วชุมชนจะมีกำแพงเมืองและคูเมืองเพื่อป้องกัน สุสานแสดงให้เห็นถึงการแบ่งชั้นทางสังคม เทคโนโลยีการหล่อสำริด
วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture) คือ อารยธรรมยุคหินใหม่ที่สำคัญของจีน (ประมาณ 5,000-3,000 ปีก่อนคริสตกาล) บริเวณลุ่มแม่น้ำหวงเหอตอนกลาง มีลักษณะเด่นคือ เครื่องปั้นดินเผาเขียนสี ลายเรขาคณิต พืช นก และใบหน้ามนุษย์ด้วยสีดำ/ม่วงเข้ม รวมถึงการเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ และการทอผ้าไหม
แหล่งโบราณคดีสำคัญที่ ปั้นโพ (Banpo) และ เจียงไจ้ (Jiangzhai)
มณฑลเหอหนาน, ส่านซี, ซานซี (ตอนกลางแม่น้ำหวงเหอ)
การเขียนลายสีดำหรือม่วง
เป็นลายเรขาคณิต สัตว์ นก ใบหน้าคนทำการเกษตร (ปลูกข้าวฟ่าง) เลี้ยงสัตว์ และทอผ้า (ป่านและไหม).
ปั้นโพ (Banpo): มีการค้นพบชุมชนและเครื่องปั้นดินเผาที่โดดเด่น.
เจียงไจ้ (Jiangzhai): แสดงถึงการวางผังชุมชนที่ซับซ้อน.
ต้าเหอ (Dahe): แหล่งสำคัญอีกแห่งที่ช่วยเผยให้เห็นพัฒนาการของวัฒนธรรม
วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture)
ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางรวมถึงมณฑล กานซู (Gansu)
บ้านเรือน (ห้องใต้ดิน)
วัฒนธรรมหม่าเจียเหยา (Majiayao) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมต่อเนื่องทางตะวันตกของหยางเชาในกานซูและบริเวณใกล้เคียง
วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture)
มณฑลเหอหนาน มีการวางผังเมืองที่ดี
มีบ้านทรงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่ขุดลงไปในดิน (ห้องใต้ดิน) วัฒนธรรมหยางเชา (Yangshao Culture) ครอบคลุมพื้นที่กานซู
ต่อมา
พื้นที่กานซู
ได้ให้กำเนิดวัฒนธรรมหม่าเจียเหยา (Majiayao Culture)
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กานซูและชิงไห่
วัฒนธรรมหม่าเจียเหยา (Majiayao Culture) เป็นวัฒนธรรมยุคหินใหม่ตอนปลายในมณฑลกานซู มีอายุระหว่าง 5300 ถึง 4050 ปีก่อน โดยตั้งชื่อตามหมู่บ้านหม่าเจียเหยาในอำเภอหลินเถา ซึ่งเป็นสถานที่ค้นพบครั้งแรก
วัฒนธรรมหม่าเจียเหยา (Majiayao Culture) มีชื่อเสียงในด้านเครื่องปั้นดินเผาลงสีที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ และมีดสำริดที่เก่าแก่ที่สุดของจีน ถูกขุดพบที่แหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมหม่าเจียเหยาในหมู่บ้านหลินเจีย อำเภอตงเซียง จังหวัดหลินเซีย
วัฒนธรรมฉีเจีย (Qijia Culture) ซึ่งมีต้นกำเนิดในภาคกลางและภาคตะวันออกของมณฑลกานซู ได้พัฒนาเทคโนโลยีการหล่อสำริดจากวิธีการหล่อแบบแม่พิมพ์เดี่ยวแบบดั้งเดิมไปสู่วิธีการหล่อแบบแม่พิมพ์ผสม
การหล่อสำริดแบบแม่พิมพ์ผสม วัฒนธรรมฉีเจีย (Qijia Culture) ค้นพบเครื่องมือ อาวุธ และเครื่องประดับสำริด เช่น มีด เหล็กแหลม ขวานหัวกลวง สิ่ว กำไล และต่างหู ถูกค้นพบอย่างกว้างขวางในแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรมฉีเจีย เช่น หวงเนียงเนียงไท่ (Huangniangniangtai) ในเมืองอู๋เหวย (Wuwei) และต้าเหอจวง (Dahezhuang) ในเมืองหย่งจิง (Yongjing) กระจกสัมฤทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุด ค้นพบในฉีเจียผิงในมณฑลกวางเหอ
ยุคน้ำแข็งใหม่ในจีน เมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ทำให้มณฑลกานซูเย็นลงอย่างรวดเร็ว ทำลายฐานการเกษตร และสภาพความเป็นอยู่ของชาวกานซู เกิดการอพยพและการลดลงของประชากรอย่างมาก
ความหนาวเย็นยาวนาน ทำให้วัฒนธรรกานซู
เกิดการเกษตรแบบเร่ร่อน และการล่าสัตว์ และเกิดวัฒนธรรมยุคสำริดขนาดเล็กเฉพาะกลุ่ม เช่น ซีบา ซีวา ซินเตียน และซาจิง ค้นพบลวดลายสัตว์เป็นองค์ประกอบตกแต่งหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้แก่ เครื่องมือต่างๆ เช่น ขวาน จอบ เคียว เหล็กแหลม เข็ม และค้อน; อาวุธ เช่น มีด ดาบสั้น หอก และหัวลูกศร; และสิ่งของตกแต่ง เช่น กำไล หัวคทา กระจก และแผ่นโลหะ
ในขณะที่ราชวงศ์เซี่ย และซางบนที่ราบภาคกลางได้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ก่อตั้งขึ้นอย่างถาวร
เมื่อ 3800 ปี ถึง 3500 ปี เทียบเท่ากับราชวงศ์เซี่ยถึงต้นราชวงศ์ชาง ในมณฑลกานซู เกิดวัฒนธรรมซีปา ตั้งอยู่ ณ ภูมิภาคระเบียงเหอซี ตั้งแต่เมืองอู๋เหวยในปัจจุบันไปจนถึงเมืองจิ่วฉวน
พบว่ามีการใช้อาวุธที่มีเบ้าและหัวคทา ขวาน จอบ เคียว เหล็กแหลม เข็ม และค้อน; อาวุธ เช่น มีด ดาบสั้น หอก และหัวลูกศร; และสิ่งของตกแต่ง เช่น กำไล หัวคทา กระจก และแผ่นโลหะ
อาวุธที่มีเบ้าและหัวคทา ค้นพบในวัฒนธรรมออร์ดอสและเอเชียตะวันตก ด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ดาบสั้นสำริด วัฒนธรรมซีวา กานซู่ นั้น มีรูปร่างคล้ายกับที่ขุดพบที่เอ๋อลี่โถว ราชวงศ์เซี่ย ประเทศจีน เช่นกัน
วัฒนธรรมซีวา เมืองหลานโจว (Siwa Culture)
ได้รับการตั้งชื่อตามภูเขาซีวา (Siwa Mountain) ในอำเภอหลินเถา (Lintao County) ประเทศจีน 3300 ถึง 2500 ปี ตรงกับ ราชวงศ์ชาง (Shang) และโจว ของจีน
มีดสั้นด้ามฉลุลายของวัฒนธรรมซีวา เมื่อ 3300 ถึง 2500 ปี ได้แรงบันดาลใจมาจาก วัฒนธรรมซินเตียน (Xindian Culture)หมู่บ้านซินเตียน (Xindian Village) ในอำเภอหลินเถา (Lintao County) ซึ่งเป็นสถานที่ค้นพบครั้งแรก มีอายุย้อนหลังไป 3700 ถึง 2700 ปี
กานซู ภูมิภาคตะวันตกของจีน เป็นถิ่นฐานเดิมของชาวฉิน ณ อำเภอเทียนสุ่ยและหลี่เซียน ต่อมาเป็นที่ตั้งของรัฐฉินดั้งเดิม
และก่อตั้งโดยบรรพบุรุษของตระกูลอิง บรรพบุรุษของชาวโจวก็ได้อพยพมายังภูมิภาคชิงหยางถึงสองครั้ง เนื่องจากการก่อตั้งรัฐศักดินาของราชวงศ์ชางและโจว รวมถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ เช่น หรง ตี้ และฉาง ทำให้กานซูตอนกลางและตะวันออกกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่แรกๆ ที่ซึมซับวัฒนธรรมจากที่ราบภาคกลาง ปัจจุบัน กานซู ประเทศจีน มี 56 ชนเผ่า
ในมณฑลกานซูค้นพบโบราณวัตถุสำริดส่วนใหญ่ของราชวงศ์ชางและโจว และพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบูชายัญ งานศพ พิธีทางทหาร การเยือนทางการทูต และงานเลี้ยงแบบสมัยราชวงศ์ชางและโจว เช่น ภาชนะประกอบพิธีกรรมที่มีหน้าที่ทางพิธีการ เช่น ติง กุย หยาน ปาน อี้ หลี่ จู จุน เหอ เจีย และเจียว ภาชนะประกอบพิธีกรรมสำริดและรถม้าและม้าที่ใช้ในพิธีศพที่ขุดพบในมณฑลกานซู
สุสานสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกตอนต้นและหลุมฝังศพรถม้าที่ไป่เฉาโปในหลิงไท่ได้ค้นพบภาชนะประกอบพิธีกรรมสำริดหลายสิบชิ้นซึ่งมีอายุตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชางถึงต้นราชวงศ์โจวตะวันตก ได้แก่ ยู่ (ภาชนะใส่ไวน์) สำริด เย่ว์ (ขวาน) สำริดลายเสือ หอกขอเกี่ยวรูปหัวคนสำริด และดาบสำริดแบบมีฝักฉลุ
กษัตริย์ผิงแห่งราชวงศ์โจวย้ายเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออก ชาวฉินก็สืบทอดประเพณีของราชวงศ์โจว เครื่องสำริดที่ผลิตในมณฑลกานซูส่วนใหญ่มีความสอดคล้องกับเครื่องสำริดจากที่ราบภาคกลางในแง่ของเทคนิคการหล่อ รูปทรง การตกแต่ง และจารึก เครื่องสำริดทั่วไป
การพัฒนาภาชนะสำริดของชาวฉิน เช่น ติง กุย หยาน หลี่ และตู้๋ ภาชนะใส่น้ำ เช่น ปาน อี้ หู และเหอ อาวุธ เช่น เกอ จี ดาบ หอก และกลไกหน้าไม้ และเครื่องดนตรี เช่น ระฆังและโป
ชาวฉินมีซึ่งครอบครองพื้นที่กานซู่ มีเทคโนโลยีการหล่ออาวุธที่เหนือกว่ารัฐอื่นๆ ในที่ราบภาคกลาง และเมื่อ 2,300 ปีก่อนชาวฉิน ได้รวบรวมชนเผ่าหรงและตี้ หลอมรวมดป็นชาวฉิน จึงได้พัฒนาอาวุธเหล็กหล่อขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ดาบยาวแบบฉินและดาบเหล็กด้ามสำริด และดาบเหล็กชุบโครเมียมไร้สนิม
ภาชนะสำริด เช่น หม้อหัวกระเทียม แก้ว และฟู่ รวมถึงลวดลายฉลุ รูปหน้าสัตว์ และลวดลายมังกรขดบนด้ามและที่จับดาบของราชวงศ์ฉิน
ในขณะเดียวกัน ชาวเย่วและอู่ ก็ได้หล่อดาบไร้สนิมเช่นกัน
เครื่องสำริดของชนเผ่าหรง เจียหยวนในอำเภอชิงสุ่ย เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์สำหรับรถม้าจำนวนมาก
รูปปั้นสำริดรูปทรงคล้ายกับที่พบในที่ราบภาคกลาง
221 ก่อนคริสต์ศักราช ฉินซีฮวงได้สถาปนารัฐรวมศูนย์แห่งแรกในประวัติศาสตร์จีน
การบูชาฟ้าดินค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นการเคารพในอำนาจจักรพรรดิ
เครื่องมือเหล็กถูกนำมาใช้แทนสำริด
สมัยราชวงศ์ฮั่น ได้เปลิ่ยนการเขียนบนภาชนะทองสัมฤทธิ์และไม้ไผ่ไปเป็นกระดาษ
มาตรวัดและน้ำหนักถูกค้นพบจากสุสานฉินซางหยวนเจียในอำเภอฉินอัน ได้แก่ ตุ้มน้ำหนักทองสัมฤทธิ์จากพระราชโองการฉินสองฉบับ ภาชนะใส่เครื่องดื่มหมักผลไม้ ทองสัมฤทธิ์ปิดทอง ถ้วยใส่หูทองสัมฤทธิ์ ส้อมทองสัมฤทธิ์ โต๊ะทองสัมฤทธิ์ และกระจกทองสัมฤทธิ์ที่ขุดพบจากสุสานฮั่นเล่ยไท่ในเมืองอู๋เหวย
วัฒนธรรมฉีเจีย ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่มณฑลกานซู อำเภอกว่างเหอ มณฑลกานซู มีต้นกำเนิดมาจากวัฒนธรรมหม่าเจียเหยา และเป็น วัฒนธรรมฉีเจียเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรม
ซีว่า วัฒนธรรมยุคสำริดที่ตั้งชื่อตามภูเขาซีวาในเมืองหลินเถา มณฑลกานซู กระจายตัวอยู่ทั่วลุ่มแม่น้ำเถาเหอและจิงเหอในมณฑลกานซู มีอายุราว 1400-700 ปีก่อนคริสตกาล
วัฒนธรรม
ซีว่า กลุ่มชาติพันธุ์ฉางและตี้ฉาง เป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าซีหรง เป็นบรรพบุรุษของกลุ่มชาติพันธุ์อี๋และนาซี
จัดเป็นกลุ่มภาษาธิเบต-พม่า เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการถลุงเหล็กแบบดั้งเดิมในช่วงกลางราชวงศ์ชาง แท่งเหล็กที่ขุดพบจากสุสานวัฒนธรรมซีวาในเมืองโมโกวเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการถลุงเหล็กด้วยมือในประเทศจีน
เครื่องปั้นดินเผาวัฒนธรรม
ซีว่า ได้แก่ ไหทรงอานม้าที่มีหูสองข้าง อาวุธสำริด
ที่มา : พิพิธภัณฑ์มณฑลกานซู
#Naruepon Pengon Author and compile
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่...
#Naruepon Pengon Author, Translate and compile
โฆษณา