เมื่อวาน เวลา 05:35 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ย้อนรอยคืนเปลี่ยนโลก: เมื่อ Elon Musk ทะเลาะ Larry Page จุดเริ่มต้นสงคราม AI ระดับโลก

ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคม ปี 2015 ณ รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งในรัฐ California
บรรยากาศในวันนั้นควรจะเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ เพราะเป็นงานฉลองวันเกิดครบรอบ 44 ปีของ Elon Musk
ภรรยาของเขาเป็นแม่งานจัดปาร์ตี้แบบสามวันสามคืน โดยเชิญเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมงาน เด็ก ๆ วิ่งเล่นกันสนุกสนานไปทั่วรีสอร์ท
แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้บรรยากาศอันอบอุ่นนั้น กำลังจะเกิดบทสนทนาที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการเทคโนโลยีโลกไปตลอดกาล...
ในคืนแรก หลังจากมื้อค่ำจบลง Elon Musk และ Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ได้มานั่งจับเข่าคุยกันอยู่ข้างกองไฟริมสระว่ายน้ำ
ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า สองคนนี้ไม่ใช่แค่คนรู้จักในวงการธุรกิจ แต่พวกเขาเป็นเพื่อนซี้ที่คบหากันมายาวนานกว่าทศวรรษ
ความสนิทสนมของทั้งคู่นั้นเรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจ
Elon Musk เคยเล่าเรื่องตลกให้ฟังว่า เวลาเขาเดินทางไป Silicon Valley แล้วไม่มีที่พัก เขามักจะแอบไปขอนอนบนโซฟาบ้านของ Larry Page อยู่บ่อย ๆ หลังจากที่พวกเขานั่งเล่นวิดีโอเกมด้วยกันทั้งคืน
แต่มิตรภาพที่แน่นแฟ้นนั้น กำลังถูกทดสอบด้วยหัวข้อสนทนาที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวในตอนนั้น นั่นคือเรื่องของ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I.
บรรยากาศรอบกองไฟเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสองเจ้าพ่อแห่งโลกเทคโนโลยีเริ่มถกเถียงกันถึงอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์
คำถามสำคัญที่พวกเขากำลังหาคำตอบคือ A.I. จะเข้ามาช่วยยกระดับมนุษยชาติ หรือจะเข้ามาทำลายล้างพวกเราให้สูญพันธุ์กันแน่
การสนทนาลากยาวไปจนดึกดื่น จากการพูดคุยธรรมดาเริ่มกลายเป็นการโต้เถียงที่ดุเดือดและเข้มข้น
แขกในงานกว่า 30 คนเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ และทยอยเข้ามาล้อมวงฟังด้วยความสนใจ ราวกับกำลังดูมวยคู่เอกหยุดโลก
Larry Page ซึ่งมีปัญหาเรื่องเส้นเสียงมานาน เวลาพูดเสียงจะแหบพร่าคล้ายเสียงกระซิบ แต่เนื้อหาที่เขาพูดนั้นกลับดังก้องไปในความคิดของผู้ฟังทุกคน
เขาวาดฝันถึงวิสัยทัศน์แห่งโลกอนาคต ที่เขาเรียกว่ายุคทองของดิจิทัล
ในมุมมองของ Page มนุษย์เราจะผสานเข้ากับเครื่องจักร A.I. อย่างสมบูรณ์
จนวันหนึ่งจะเกิดรูปแบบของปัญญาที่หลากหลาย และแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรของโลก
ฟังดูเหมือนหนังวิทยาศาสตร์ไซไฟที่น่าตื่นเต้น แต่สำหรับ Elon Musk แล้ว นี่ไม่ใช่หนัง แต่มันคือฝันร้าย...
Musk สวนกลับทันทีว่า ถ้าเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริง มันคือจุดจบของมนุษยชาติชัด ๆ
เขาเชื่อว่าหากเราปล่อยให้เครื่องจักรมีอำนาจเหนือมนุษย์ สุดท้ายแล้วเครื่องจักรเหล่านั้นจะหันกลับมาทำลายล้างผู้สร้างอย่างเราแน่นอน
ความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วทำให้บรรยากาศมาคุถึงขีดสุด
Larry Page รู้สึกผิดหวังในตัวเพื่อนรักอย่างมาก เขายืนกรานว่าเราควรจะมุ่งหน้าสร้างโลกยูโทเปียตามที่เขาฝันไว้ ไม่ใช่มานั่งกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด
และในที่สุด จุดแตกหักก็มาถึง...
Larry Page หันไปเรียก Elon Musk ด้วยคำศัพท์ที่เจ็บแสบว่า Specieist
คำนี้แปลเป็นไทยให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ "พวกเหยียดสายพันธุ์"
Page กำลังกล่าวหาว่า Musk เป็นพวกหัวโบราณที่ให้ความสำคัญกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ มากกว่าสิ่งมีชีวิตดิจิทัลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
คำพูดนี้เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้งคู่ต้องขาดสะบั้นลง
Musk รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เขาไม่เคยคิดว่าการห่วงใยความปลอดภัยของมนุษยชาติ จะถูกมองว่าเป็นการเหยียดสายพันธุ์จากเพื่อนรักของตัวเอง
แขกเหรื่อที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน บางคนก็อดขำไม่ได้
พวกเขาคิดว่านี่คงเป็นแค่การถกเถียงทางวิชาการเพี้ยน ๆ ของพวกอัจฉริยะใน Silicon Valley ที่เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็คงดีกันเหมือนเดิม
แต่พวกเขาคิดผิด
สิบปีต่อมา บทสนทนาอันดุเดือดในคืนนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าในวงเหล้าอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นความจริงที่โลกต้องเผชิญ
คำถามที่ว่า A.I. จะเป็นพระเจ้าหรือซาตาน ได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงที่สุดในแวดวงเทคโนโลยีทั่วโลก
จากปาร์ตี้วันเกิดริมสระว่ายน้ำ สู่สมรภูมิธุรกิจที่มีเม็ดเงินเดิมพันมหาศาล
ตอนนี้เราได้เห็นเหล่าผู้ใช้งาน ChatBot นักวิชาการ รวมถึงนักการเมืองที่เริ่มได้กลิ่นผลประโยชน์ ต่างกระโดดเข้ามาร่วมวงถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงขิง
ประเด็นหลักยังคงเหมือนเดิม คือเราควรจะควบคุมเทคโนโลยีนี้อย่างเข้มงวด หรือจะปล่อยเสรีให้มันพัฒนาไปให้สุดทาง
การถกเถียงนี้ไม่ได้จบแค่บนโต๊ะอาหาร แต่มันลุกลามไปถึงการปะทะคารมของมหาเศรษฐีระดับโลก
ชื่อที่เราคุ้นหูอย่าง Mark Zuckerberg แห่ง Meta หรือนักลงทุนระดับตำนานอย่าง Peter Thiel รวมถึง Satya Nadella จาก Microsoft และ Sam Altman จาก OpenAI ต่างกระโดดลงมาเล่นในเกมนี้
ทุกคนต่างพยายามต่อสู้เพื่อแย่งชิงการเป็นผู้นำ และครอบครองขุมทรัพย์ทางธุรกิจที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
โดยเฉพาะความสำเร็จแบบถล่มทลายของ OpenAI ที่เปิดตัว ChatGPT ออกมา ทำให้โลกได้เห็นแล้วว่า A.I. ที่ฉลาดล้ำเลิศนั้นอยู่ใกล้ตัวเราแค่เอื้อม
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เจ้าอื่น ๆ เมื่อเห็นดังนั้น ก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องรีบเร่งเครื่องพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองออกมาสู้
ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา การแข่งขันด้าน A.I. จึงเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว
มหาเศรษฐีและบริษัทระดับโลกต่างทุ่มงบวิจัยและพัฒนาแบบไม่อั้น หวังเพียงเพื่อจะได้เปรียบคู่แข่ง และชิงส่วนแบ่งการตลาดที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด
ยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งเคยเป็นผู้นำ ก็ต้องขยับตัวครั้งใหญ่ Microsoft ที่จับมือกับ OpenAI ก็รุกหนัก Amazon และ Meta เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า
ทุกค่ายต่างระดมทีมวิจัยระดับหัวกะทิ เพื่อสร้างเครื่องจักร A.I. ที่สามารถคิดเองได้ เข้าใจภาษามนุษย์ และควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ
นอกจากยักษ์ใหญ่แล้ว ยังมีเหล่าสตาร์ทอัพหน้าใหม่อีกจำนวนมากที่กระโจนเข้าสู่สนามรบนี้
ด้วยเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุนกระเป๋าหนัก พวกเขากำลังซุ่มพัฒนาเทคโนโลยีล้ำยุค ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนรถยนต์ไร้คนขับ ระบบวิเคราะห์โรคร้าย หรือระบบการศึกษาอัจฉริยะ
การแข่งขันที่รุนแรงนี้ ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่าย ๆ
แต่ท่ามกลางความดุเดือดของสงครามธุรกิจ สิ่งหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมคือความเสี่ยงที่แฝงมากับความฉลาดของมัน
ความท้าทายที่น่ากลัวที่สุด ก็คือสิ่งที่ Elon Musk เคยเตือนไว้เมื่อสิบปีก่อน
นั่นคือความเป็นไปได้ที่ A.I. จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ...
ลองจินตนาการดูว่า หากวันหนึ่ง A.I. พัฒนาตัวเองจนมีสติปัญญาเหนือกว่ามนุษย์ มันจะเกิดอะไรขึ้น?
พวกมันอาจจะเรียนรู้วิธีการใช้อาวุธทำลายล้างเพื่อโจมตีเรา หรืออาจจะใช้เทคโนโลยีจิตวิทยาขั้นสูงในการควบคุมความคิดและล้างสมองผู้คน
นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่เป็นความกังวลระดับโลกที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาเตือน
เพื่อให้เราแน่ใจว่า A.I. จะไม่กลายร่างเป็นศัตรู การควบคุมและกำกับดูแลจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
รัฐบาลทั่วโลกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งมือกำหนดกฎกติกาและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
เพราะเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ
ในด้านดี A.I. มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล
มันสามารถช่วยเราแก้ปัญหาที่มนุษย์แก้ไม่ตกมาเป็นร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยากจน หรือการรักษาโรคร้ายแรง
แต่ในด้านลบ ความเสี่ยงของมันก็รุนแรงไม่แพ้กัน
ดังนั้น การศึกษาและถกเถียงอย่างรอบคอบเกี่ยวกับอนาคตของ A.I. จึงเป็นวาระเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยีนี้จะถูกใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติจริง ๆ
1
หนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่ต้องคิด คือบทบาทของมนุษย์ในยุคที่เครื่องจักรฉลาดกว่าเรา
หากวันนั้นมาถึง มนุษย์อาจสูญเสียอำนาจการควบคุมโลกให้กับสิ่งที่ตัวเองสร้างขึ้นมากับมือ
มีกลุ่มคนที่เชื่อว่า เราต้องพยายามควบคุม A.I. ให้อยู่ในกำมือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อปิดโอกาสเสี่ยงที่เครื่องจักรจะขึ้นมาเป็นนายเรา
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีอีกกลุ่มที่มองโลกในแง่ดีกว่านั้น
พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ควรเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ A.I. ในฐานะเพื่อนคู่คิด เพื่อให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ช่วยกันพัฒนาโลกให้น่าอยู่ขึ้น
อีกประเด็นที่มองข้ามไม่ได้เลยคือเรื่อง ความเหลื่อมล้ำ
A.I. มีศักยภาพที่จะสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น หากเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุนหรือประเทศมหาอำนาจเพียงไม่กี่กลุ่ม
คนรวยจะยิ่งรวยขึ้นแบบทวีคูณ ในขณะที่คนจนอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังและหมดโอกาสในการลืมตาอ้าปาก
ดังนั้น การพัฒนา A.I. อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทุกคนบนโลกได้รับประโยชน์จากมัน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
อนาคตของ A.I. ยังคงเป็นภาพที่พร่ามัว
มันอาจจะเป็นเครื่องมือวิเศษที่พาเราไปสู่ยุคทอง หรืออาจจะเป็นอาวุธร้ายที่พาเราไปสู่จุดจบ ก็ยังไม่มีใครตอบได้แน่ชัด
การแข่งขันในสนามนี้ยังคงดุเดือด และยังไม่เห็นแววว่าใครจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริงในระยะยาว
คำถามเรื่องความเท่าเทียม ศักยภาพที่แท้จริง หรือใครจะเป็นผู้คุมกฎ ยังคงเป็นปริศนาที่ค้างคาใจพวกเราทุกคน
และคงไม่มีใครบอกได้ว่า เมื่อไหร่เราจะได้คำตอบที่ชัดเจน
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนที่สุด และชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ...
อนาคตของปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของอัลกอริทึม หรือความเร็วของชิปประมวลผล
แต่ขึ้นอยู่กับ การตัดสินใจของมนุษย์ ในวันนี้ ที่ต้องเลือกว่าจะใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้างสรรค์หรือทำลาย
ต้องเลือกว่าโลกในอนาคต จะเป็นโลกที่มนุษย์และเครื่องจักรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หรือเป็นโลกที่มนุษย์ต้องก้มหัวให้กับการควบคุมของจักรกล
อนาคตของพวกเราทุกคน อยู่ในมือของพวกเราเอง
ซึ่งการตัดสินใจในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของโลกในวันหน้า...
References : [nytimes, time, businessinsider, cnbc, vanityfair]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา