หลังจากขึ้นบินได้ไม่นานสมรรถนะของ Super Tucano ก็ดึงดูดความสนใจจากประเทศอื่นๆ อย่างรวดเร็ว และบางประเทศที่เคยใช้งาน Tucano ก็สนใจจัดหาเช่นกัน สำหรับลูกค้ารายแรกของเครื่องบินแบบนี้คือโคลอมเบียในปีค.ศ.2006 ตามมาด้วยชิลีในอีกสองปีต่อมา
สำหรับเครื่องบินโจมตีเบาใบพัด A-29N Super Tucano ที่กองทัพอากาศโปรตุเกสพึ่งได้รับเข้าประจำการ มีการปรับปรุงระยะและเวลาการปฏิบัติการ เช่นเดียวกับระบบตรวจการณ์ electro-optical, การมอบขีดความสามารถการใช้กระเปาะจรวดอากาศสู่พื้น และอาวุธความแม่นยำสูง
ปืนกลอากาศ M3P ขนาด 12.7x99 mm สองกระบอกถูกติดตั้งเป็นมาตรฐานในตัวเครื่อง และชุดระบบป้องกันตนเอง อุปกรณ์สื่อสารต่างๆและระบบนำร่องมาตรฐาน NATO ที่จะได้รับการติดตั้งอย่างเช่น
วิทยุความถี่ VHF/UHF(Very-High-Frequency/Ultra-High-Frequency), ระบบสื่อสารดาวเทียม(SATCOM: Satellite Communication), ระบบช่วยการสนับสนุนทางอากาศใกล้ชิด digital(DACAS: Digitally Aided Close Air Support), ระบบข้อความทางยุทธวิธี VMF(Variable Message Format)
เครือข่าย Link 16 datalink, ระบบ video downlink ที่เข้ากันได้กับวิทยาการตัวรับวีดิทัศน์ควบคุมระยะไกล ROVER(Remote Operated Video Enhanced Receiver), อุปกรณ์ส่งสัญญาณระบบพิสูจน์ฝ่าย(IFF: Identification Friend-or-Foe) Mod 5 และระบบดาวเทียม GPS ทางทหาร
ในภูมิภาคอาเซียนกองทัพอากาศไทยไม่เคยมีประจำการด้วย Super Tucano แต่มี 2 ประเทศที่ประจำการได้แก่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ขอเริ่มจากกองทัพอากาศฟิลิปปินส์เป็นรายแรก กองทัพอากาศแห่งนี้ได้จัดหาเครื่องบินฝึกโจมตีเบา A-29 Super Tucano รวม 6 เครื่อง เป็นเงิน 99 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.2017 สาเหตุมาจากห้วงเกิดการรบที่เมืองมาราวี (Battle of Marawi) ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม – วันที่ 23 ตุลาคมปีเดียวกัน
กองทัพอากาศฟิลิปปินส์ไม่มีเครื่องบินโจมตีที่แท้จริงและพร้อมรบประจำการในขณะนั้น ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเรียกว่า สนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด (CAS : Close Air Support)
แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงไม่สามารถที่จะลดขีดความสามารถในการรบของกองกำลังติดอาวุธกลุ่มมาอูเต้ (Maute) และกลุ่มอาบูซายัฟ (Abu Sayyaf) ที่ได้เข้ายึดเมืองมาราวี (Marawi) ไว้ได้ให้หมดสภาพอย่างรวดเร็วจึง เป็นการรบที่ยืดเยื้อ