10 พ.ย. 2019 เวลา 12:19 • บันเทิง
เรื่องสั้น : jetlag
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นในท้อง บวกกับสัมผัสที่รู้สึกเหมือนเปลือกโลกกำลังเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลาขณะที่ฉันเริ่มหยุดอยู่นิ่ง จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเพื่อนที่นั่งใกล้ ๆ ว่า
"แก..แผ่นดินไหวรึเปล่าว่ะ"
แน่นอน คำตอบที่ได้คืนมาคือ
"มึงอ่ะเจ็ทแลค แผ่นดินไหวบ้าอะไรมึง"
ใช่สิ เจ็ทแลคเป็นปัญหาสำหรับฉันเสมอเวลาต้องบินมาไกลเกือบครึ่งโลกแบบนี้ นอกจากผลพวงจากเจ็ทแลคแล้ว เวลาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วก็ทำให้มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ เพราะจริง ๆ เวลานี้ฉันควรตื่นแล้วลุกออกจากเตียง ช่วยแม่ทำอาหารเช้า แล้วนั่งจิบกาแฟยามเช้าพร้อมคุยเรื่องสัพเพเหระกับคุณพ่อที่กำลังนั่งส่งดอกไม้ยามเช้าให้เพื่อนนับพันในกลุ่มโซเชียล แต่ที่นี่ในอิตาลีมันเป็นเวลาตีหนึ่งสามสิบนาที และฉันยังนอนไม่หลับ
ไม่แน่ใจว่าเพราะการหลั่งเมลาโทนินในสมองฉันมันเพี้ยน หรือเพราะลืมเขาคนนั้นไม่ได้กันแน่ ทั้งที่มันก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้วแท้ ๆ
"บ้าเอ้ย ง่วงทีเหอะ ขอร้อง" ฉันเอาหน้ากดลงบนหมอนพร้อมคราบน้ำตาจาง ๆ
ฉันแค่หวังเล็ก ๆ ว่าการหลบมาเรียนที่ฟลอเรนซ์ในอิตาลี คงพอจะทำให้ลืมเรื่องของเขาไปได้บ้าง เพราะการอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ และมีเพื่อนของเราทั้งคู่คอยถามถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นลง นั่นยิ่งเหมือนการตอกลิ่มแห่งความเจ็บปวดลงบนหัวใจฉันทุกครั้งตลอดสามปีที่ผ่านมา
เช้าแล้ว ฉันยังนอนมองเพดานหลังจากข่มตาหลับได้สองชั่วโมงแค่นั้น เสียงกุกกักของห้องเช่าข้าง ๆ กับเสียงแตรรถที่ขับผ่านถนนหินเล็ก ๆ หน้าแมนชั่นที่ฉันเช่าอยู่ มันเหมือนาฬิกาปลุกชั้นดีที่ต่อให้กินยาสลบช้างไป ก็คงหลับไม่ลงอยู่ดี
ฉันจึงตัดสินใจลากสังขารที่ยังมึน ๆ กับใต้ตาที่คล้ำเป็นแพนด้า พาตัวเองไปห้องน้ำ ยืนมองสภาพที่น่าหดหู่ในกระจก แล้วบอกกับตัวเองว่า
"วันนี้ฉันต้องบำบัด ฉันจะไปพิพิธภัณฑ์"
เพราะนี่คือการบำบัดหัวใจชั้นยอดในแบบของฉัน
ฉันเดินผ่านเข้าออกห้องจัดแสดงที่งดงามในวังปิตตี ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีคือบ้านของนายธนาคารผู้มั่งคั่ง แต่จะดูยังไงก็ตาม ฉันก็คิดว่ามันคู่ควรกับการเป็นวังมากกว่าจริง ๆ แค่เพดานกับรูปวาดอันวิจิตร พร้อมรูปปั้นที่ประดับประดาอยู่ที่หัวเสาและซุ้มประตู นี้คือความหรูหราที่เรียกว่าบ้านคงไม่เหมาะเท่าไหร่
https://commons.m.wikimedia.org/wiki/File:Saturn_Hall_ceiling_in_Palazzo_Pitti_(Florence).jpg
ฉันเดินเข้ามาถึงห้อง Room of Saturn เดินไปหยุดดูที่รูปที่โด่งดังภาพหนึ่งของศิลปินนามกระเดื่อง ราฟาเอล นั่นคือภาพ Madonna della seggiola หรือเรียกอีกชื่อว่า Madonna of the chair เป็นรูปวาดของราฟาเอลที่ขึ้นชื่อว่าถูกวาดเลียนแบบมากที่สุดรูปหนึ่งเลย
รูปของพระแม่มารีย์ในชุดที่ดูแปลกตากับพระบุตรในอ้อมอก และนักบุญยอห์น บัปติสต์ยามเยาว์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ดูผิดแปลกไปจากภาพทางศาสนาอื่น ๆ ที่เคยเห็นมากทีเดียว ฉันจึงยืนเอียงคอไปมาพิจารณาอยู่นาน
"เชา" เสียงเรียกของผู้ชายดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ฉันตกใจ จึงหันกลับไปจนเซเกือบล้ม
"อุ้ย ตายแล้ว" ฉันเผลอตกใจจนอุทานออกไป
"อ้าว" เขารีบคว้าแขนประคองฉันพร้อมอุทานขึ้นเช่นกัน
"อ้าว คุณ!"
"คนไทยเหรอครับ/คะ" เราสองคนประสานเสียงพร้อมกัน
ฉันรีบผละออก แล้วพร่ำขอโทษ เขาได้แต่ยืนยิ้มพร้อมหัวเราะเบา ๆ
"พอแล้วคุณ ไม่เป็นไรหรอก ผมแค่จะขอชมภาพบ้างนิดนึงเอง" เขาเอ่ยแล้วหันไปมองภาพพร้อมตาเป็นประกาย
"ดูเพลินไปนิดนึง ขอโทษนะค่ะ" ฉันอดอายกับความเปิ่นของฉันไม่ได้จริง ๆ
"ไม่คิดว่าจะเจอคนไทยที่นี่เลยครับ แปลกจัง"
"นักท่องเที่ยวคนไทยออกจะเยอะไปนะคะ เดินสวนกันก็มีอยู่" ฉันทำทีหันดูซ้ายที ขวาที
"ผมหมายถึงคนไทยที่ตั้งอกตั้งใจดูงานศิลปะพวกนี้ต่างหากครับ ไม่ค่อยมีใครยืนพิจารณานาน ๆ แบบคุณหรอกนะครับ อ่อ ขอโทษด้วย ผมชื่อ ทศพล เรียก ทศ ก็ได้ครับ เอ่อ….คุณ.." เขายื่นมือมาแล้วหยุดค้างไว้ข้างหน้าฉัน
"อ่อ อธิษฐาน ค่ะ เรียก สไมล์ ก็ได้ค่ะ ง่ายดี" ฉันเผลอยื่นมือไปจับมือเขาด้วยความเคยชิน เหมือนที่เพื่อนที่นี่ทักทายกัน แต่คงแปลกสำหรับคนไทยอย่างเขาและฉัน จนอดคิดไม่ได้ว่าเขาก็คงลืมตัวเหมือนกันกระมัง
มือเขาหยาบกร้านเล็กน้อย แต่ทว่ามันอบอุ่นอย่างประหลาด ฉันเผลอคิดล่องลอยไปแวบหนึ่ง แล้วจึงปล่อยมือและดึงกลับมา
Madoona of the chair
"ชอบภาพนี้เหมือนกันเหรอครับ" เขาเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่องภาพวาดตรงหน้าในทันที
"กำลังคิดว่าเป็นภาพพระแม่มารีย์ที่แปลกทีเดียว ไม่เหมือนรูปที่เคย ๆ เห็นน่ะค่ะ"
"คุณสไมล์นี่ช่างสังเกตนะครับ สุดยอดเลย" เขาหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ฉันใจเต้นอย่างประหลาด
"รูปนี้จริง ๆ วาดจากตัวแบบที่เป็นหญิงสาวพร้อมลูกของเธอ ราฟาเอลเห็นพวกเขาในโรงแรมแห่งหนึ่ง ภาพที่ปรากฎตรงหน้าทำให้เขาเกิดอยากจะวาดรูปขึ้นมาในตอนนั้นเลย เขาจึงขออนุญาตเธอและลูก ๆ ซึ่งเธอก็ยินดี แต่เขาไม่ได้นำผืนผ้าใบติดตัวมา จึงใช้ฝาของถังมาเตรียมเป็นพื้นสำหรับวาดภาพแทน มันจึงเป็นทรงกลมอย่างที่เห็น และภาพนี้ก็มีมูลค่าเพียงเท่าอาหารมื้อเย็นของเขาในวันนั้นที่มอบให้เจ้าของโรงแรมเป็นการตอบแทนมื้ออาหารนั้นนั่นเท่านั้นเอง" เขายืนเล่าเป็นเรื่องเป็นราวจนฉันอดอ้าปากค้างไม่ได้
"โอ้โห คุณรู้เรื่องประวัติภาพนี้ดีมากเลยนะคะ"
"ผมมาเรียนต่อประวัติศาสตร์ศิลป์ตะวันตกนี่ครับ มันจำเป็นต้องรู้แล้วล่ะ" เขาหัวเราะร่วนตามท้าย
"แล้วสไมล์มาทำอะไรที่อิตาลีล่ะครับ ผมเสียมารยาทไปไหมถ้าจะถาม" เขาหันหน้ามามองแล้วถามพร้อมยิ้มจาง ๆ
"มาเรียนต่อแฟชั่นดีไซน์ค่ะ ยังงง ๆ อยู่เลย" ฉันเผลอหัวเราะตัวเองออกมาเสียงดังจนต้องเผลอเอามือปิดปากไว้ แต่ก็ยังอดขำไม่ได้
"ยินดีต้อนรับในฐานะคนมาอยู่ก่อนละกันนะครับ"
"ขอบคุณค่ะ" ฉันรีบลดมือลงแล้วเอ่ยขอบคุณพร้อมแก้มที่ตอนนี้ร้อนผ่าวอย่างประหลาด
"สไมล์อยากเห็นภาพโปรดของผมไหม"
"ว้าว ต้องเป็นภาพที่น่าสนใจมากแน่ ๆ เลย แนะนำด้วยนะคะ กูรู " ฉันคำนับให้เขาเชิงล้อเล่นเล็ก ๆ
"งั้นต้องฟังเลคเชอร์ผมยาวแล้วล่ะ" แล้วเราสองคนก็เดินไปและหัวเราะกันคิกคัก
ก้าวไปแค่ห้าหกก้าวเขาก็หยุดกึก แล้วเงยหน้าขึ้นมองภาพที่แขวนอยู่ตรงหน้า ฉันคิดไว้ว่าภาพที่เขาชอบคงเป็นภาพที่โด่งดัง ไม่ก็มีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องอย่างพิสดารเกินจินตนาการ แต่ไม่ใช่เลย ภาพตรงหน้าคือภาพพระแม่มารีย์กับพระบุตรที่ดูก็คล้าย ๆ กับภาพที่เคยเห็นมาบ้าง
"นี่ไง ภาพที่สื่อความหมายพิเศษและผมชอบมาก ๆ "
"ยังไงเหรอ ก็ดูเป็นภาพพระแม่ปกตินี่นา ทศ จะพิเศษก็เพราะราฟาเอลก็เป็นวาด ประมาณนั้นไหม" ฉันถามเพราะความไม่รู้จริง ๆ
"จริง ๆ ภาพนี้ไม่ได้มีพื้นหลังเป็นสีดำแบบนี้หรอกนะครับ ภาพข้างหลังมีโครงสร้างอาคาร มีช่องแสงที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์แบบชนบทที่ราฟาเอลชอบวาด อย่างที่เห็นในภาพอย่าง Madonna of the Pinks หรือภาพ Madonna with Beardless St Joseph ซึ่งสไมล์คงไปหาชมทีหลังได้"
"คงเพราะเขาต้องการให้รูปนี้เป็นรูปที่สะท้อนความสง่างามของพระแม่และพระบุตรอย่างที่สุด เขาจึงจงใจทาทับพื้นหลังให้เป็นสีดำทั้งหมด ว่ากันว่านี่เป็นรูปที่ราฟาเอลชอบมากที่สุดรูปหนึ่งที่เขาวาดขึ้น แถมเจ้าของที่ได้ครอบครองรูปนี้ในภายหลัง ก็ต่างหวงแหนรูปนี้กับทุกคน"
"นี่ความรู้ใหม่เลย ไม่เคยทราบเลย ทศ นี่เจาะลึกมาก ๆ" ฉันเอามือทำท่าปรบมือเบา ๆ
เขาหันมายิ้ม
"ที่จริงที่ผมชอบมากกว่านั้นคือสีของเสื้อคลุมของพระแม่มารีย์ต่างหากครับ"
"สีของเสื้อคลุม เอ๊ะ" ฉันเผลอร้องออกไปด้วยความสงสัยยิ่งกว่าเดิม
"เห็นสีน้ำเงินครามที่เสื้อคลุมนั้นไหมครับ เป็นสีน้ำเงินที่พิเศษมากเลยนะครับ ไม่เชื่อลองมองดูสีน้ำเงินในภาพอื่น ๆ ที่แขวนในห้องนี้ก็ได้ครับ" ทศผายมือออกเป็นวงรอบห้อง
"จริงด้วย สีน้ำเงินครามในภาพนี้ดูสวยสดใสกว่าภาพอื่นมาก ๆ"
"เพราะมันคือสีน้ำเงินแท้ ที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำอีกนะครับ" ทศพูดเสียงทุ้มเบา ๆ
"แพงกว่าทองคำ สีน้ำเงินเนี่ยเหรอค่ะ" ฉันลดเสียงลงบ้าง แต่น้ำเสียงยังบ่งบอกถึงความสงสัยยิ่งยวด
"ครับเราเรียกว่า ultramarine เป็นสีน้ำเงินแท้ที่ทำจาก lapiz lazuli ที่สมัยนั้นต้องส่งมาจากอัฟกานิสถาน จึงมีราคาแพงและกว่าจะนำมาบดและค่อย ๆ กรองจนได้เป็นเม็ดสีที่มีคุณภาพดี ก็เหลือปริมาณที่ใช้ได้เพียงเล็กน้อย มันจึงเป็นสีที่ราคาสูงกว่าทองคำหลายเท่าตัวครับ"
"ว้าว มิน่า เป็นสีน้ำเงินที่สวยมากจริง ๆ แปลกตากว่าสีน้ำเงินปกติที่เราเห็นทุกวันนี้เลยจริงด้วยค่ะ" ฉันเพ่งมองสีน้ำเงินครามที่สะกดฉันไว้จนไม่อาจกระพริบตา
"ก็เหมือนคุณค่าของคนนี่ล่ะครับ" ทศเอ่ยขึ้น
"บางคนคิดว่าตัวเองนั้นไม่มีคุณค่า เพราะสนใจกับสิ่งที่คนอื่นตีค่าและให้ความสำคัญ โดยลืมไปว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าที่แท้นั้นเกิดจากเนื้อในความเป็นตัวตนของเราต่างหาก ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นบอกหรือกำหนดให้เราเป็นเลย"
SASSOFERRATO, THE VIRGIN IN PRAYER, 1640–50 (painted with ultramarine)
"เหมือน ultramarine ที่สวยงาม ผู้คนทั่วไปอาจยกย่องทองคำเป็นของสูงค่า แต่สำหรับจิตรกรในยุคนั้น ultramarine นั้นสูงค่ายิ่งกว่ามาก พวกเขาจึงเก็บ ultramarine ไว้เพื่อภาพวาดของสิ่งที่เขาเทิดทูลและบูชายิ่งเท่านั้น อย่างพระแม่มารีย์เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนเลยครับ"
"หัวใจคนเราก็เหมือนกัน คนบางคนอาจเห็นมันไม่มีค่า แต่สำหรับคนที่เหมาะสมและคู่ควรกับหัวใจของเราเท่านั้น ที่จะเห็นคุณค่าอันประเมินไม่ได้ เขาจะถนอมรักษาและเก็บงำหัวใจดวงนั้นไว้ไม่ให้ต้องบอบช้ำด้วยทั้งชีวิตเลยทีเดียว" จู่ ๆ ทศก็หยุดบทสนทนาลง
เขาหันมามองฉันอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าเขาจะเห็นมวลน้ำเล็ก ๆ ที่เอ่อจนจวนเจียนจะรวมกันเป็นหยดที่ตาของฉันรึเปล่า ได้แต่หวังว่าแสงสลัวของห้องจัดแสดงคงพอกลบเกลื่อนร่องรอยน้ำตานี้ได้บ้าง
"ขอบคุณค่ะ ภาพนี้เป็นภาพที่มีความหมายลึกซึ้งมาก ทั้งตัวภาพเองรวมถึงรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ด้วย ดีมากจริง ๆ ค่ะ" ฉันพยายามหลบตาเขาโดยหันไปมองภาพพระแม่มารีย์แทน
"ผมคงพูดมากไปแล้ว ขอโทษด้วยนะครับ" เขาเอ่ย
"ไม่หรอกค่ะ ต้องขอบคุณ ทศ ที่พามาชมภาพแถมความรู้ดี ๆ ให้ด้วย นี่คือการผ่อนคลายอย่างหนึ่งของสไมล์เลยล่ะค่ะ" ฉันหันไปยิ้มแทนคำขอบคุณ
"ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นครับ ดีใจที่ได้เจอคนไทยด้วยกันด้วยนะ เอ่อ..นี่นามบัตรผมครับ ถ้ามีปัญหาอะไรปรึกษาได้นะครับ เข้าใจเลยครับว่าการมาเรียนที่นี่ต้องปรับตัวมากมายขนาดไหน มีอะไรติดต่อมานะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ยินดีเสมอครับ" เขายื่นนามบัตรสีเทาเรียบง่ายมาให้
ฉันรับไว้แล้วยิ้มออกไปอย่างลืมตัว
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริง ๆ"
"ถ้าไม่รังเกียจ ผมอาจจะชวนทานมื้อเย็นสักวันนะครับ มีร้านที่อยากแนะนำมาก ชื่อร้าน Buca lapi มั่นใจว่าสไมล์ต้องชอบครับ ขอโอกาสสักมื้อนะครับ" เขายื่นมือมาข้างหน้าอีกครั้ง
"แล้วจะติดต่อไปนะค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ"
มือเราสองคนสัมผัสกันอีกครั้ง ฝ่ามือที่อบอุ่นนั่นกระชับแน่น ราวกับกำลังกระซิบบอกว่า
"ให้ผมดูแลคุณนะ"
ส่วนมือที่ออกจะชื้นเล็ก ๆ เพราะความตื่นเต้นของฉัน ไม่แน่ใจว่าเขาจะรับรู้ไหมว่ามันกำลังตอบกลับเขาในใจว่า
"ยินดีค่ะ"
ฉันคิดว่าคืนนี้ ฉันน่าจะหลับสบายและฝันดีเลยทีเดียว หวังว่าอาการนอนไม่หลับของฉันน่าจะดีวันดีคืนต่อจากนี้เป็นต้นไป
ฉันโบกมือลาพร้อมก้มขอบคุณเขาอีกครั้ง แล้วเดินออกมากับหัวใจที่พองโตและเต้นรัว พร้อมความรู้สึกแปลก ๆ ในท้อง มันไม่คลายตอนเป็นเจ็ทแลค แต่มันเหมือนผีเสื้อน้อยหลายตัวกำลังบินวนอยู่ในท้องฉัน ความรู้สึกนี่คืออะไรหนอช่างน่าแปลกใจจัง
แค่รู้สึกว่าหลังจากออกห้องนี้ไป กลับไปที่แมนชั่น ห้องพักเดิม เตียงและหมอนที่เปื้อนคราบน้ำตาใบเดิม แต่ฉันกลับกลายเป็นคนใหม่ คนที่รู้ว่าคุณค่าของตัวเองคือสิ่งที่เรากำหนด ความเสียใจในอดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้หลังตื่นนอนตอนเช้า ฉันจะเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นกว่านี้ ที่พร้อมสำหรับดินเนอร์ครั้งใหม่อีกครั้ง ขอบคุณนะ...ultramarine
เรื่องสั้นสำหรับแฟนคลับกวนโอ๊ยที่ต้องการเรื่องสั้นชาว 90's ที่แสนว้าวุ่น จัดให้แล้ว อ่านแล้วไม่อินห้ามบ่น 5555555

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา