6 ม.ค. 2020 เวลา 15:18 • บันเทิง
เรื่องสั้น : รักข้ามรั้ว
เสียงเอะอะดังขึ้นจากอีกฝากของรั้วต้นไม้ แนวของต้นไทรเกาหลีเขียวแน่นบดบังสายตาได้เป็นอย่างดี แต่นั่นใช้ไม่ได้สำหรับเสียง
"อ้าว ยกระวังหน่อย ค่อย ๆ นะ หนักนิดนึง" เสียงผู้หญิงน่าจะเลยวัยกลางคนไปแล้วเอ่ยขึ้นเป็นระยะ
บ้านให้เช่าที่ว่างเว้นผู้เช่ามาหลายปี ตอนนี้มีคนย้ายเข้ามาอยู่แล้ว ก็นับว่าดี เพราะบ้านที่ปิดไว้ไร้ร้างผู้คนย่อมเป็นที่น่าวิตก ทั้งเป็นที่อาศัยของสัตว์เลื้อยคลานน้อยใหญ่ หรืออาจมีขโมยขโจรมาซุ่มอยู่ก็เป็นไปได้ พอมีคนย้ายมาอยู่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีมากกว่าร้าย
ผมตัดเล็มต้นไทรเกาหลีให้เรียบร้อยเป็นแนวราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด บางคนบอกว่าผมเป็นโรคที่เรียกว่า "โรคบ้าความสมบูรณ์แบบ" ซึ่งผมก็คิดว่าน่าจะจริง
ในบ้านผมค่อนข้างโล่ง มีอุปกรณ์น้อยชิ้น เน้นสีโทนสว่างและไม่ฉูดฉาด เพราะมันดูสะอาดตาดี สมัยนี้เข้าเรียกแนวมินิมอล แต่ผมทำแบบนี้มาตั้งสิบกว่าปีเห็นจะได้ สมัยนั้นไม่ยักกะรู้จักคำว่า มินิมอลลิซึ่ม เอาเป็นว่าเป็นบ้านโล่ง ๆ สะอาด ๆ ก็แล้วกัน
ต้นไทรเกาหลีที่เพิ่งตัดแต่งใหม่ มีบางจุดที่โปร่งไปบ้าง จนมองทะลุไปอีกฝั่งของรั้วได้ สนามของบ้านข้าง ๆ ถูกรื้อจนโล่งสบายตา ผิดกับช่วงก่อนที่รกครึ้มมีหญ้าขึ้นปกคลุมจนแทบไม่เห็นทางเดิน ในตอนนั้นเอง ผมเห็นคนรูปร่างเล็กผอมบางในชุดสีขาวเดินผ่านไป น่าจะเป็นผู้หญิง ในมือถือกล่องอะไรบางอย่างแล้วเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
ผมยาวดำขลับทำให้เห็นใบหน้าของเธอได้ไม่ชัดนัก หรือเธอจะเป็นเจ้าของเสียงก่อนหน้ากันแน่ ผมก็ไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ตอนนี้รู้สึกดีที่มีเพื่อนบ้านแล้ว บ้านของผมก็จะพลอยไม่เงียบเหงาไปกับเขาด้วยเช่นกัน
เสียงกริ่งดัง เป็นสัญญาณว่ามีคนมาที่หน้าบ้าน ผมรีบรุดออกไป แง้มประตูเล็กออกเพื่อดูว่าเป็นใครกัน
"สวัสดีจ้า ป้าเพิ่งย้ายมาอยู่ข้างบ้านนี่เอง มาอยู่ใหม่มีอะไรก็แนะนำกันได้นะ เสียงดังอะไรไปบ้างช่วงนี้ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ ขนของกันยุ่งเลย" คุณป้าถือตะกร้าผลไม้มาด้วย พลางยื่นให้ผมพร้อมรอยยิ้มละไม
"เกรงใจจังครับ มีเพื่อนบ้านก็ดีใจมากแล้ว ของฝากไม่ต้องก็ได้ครับ ขอบคุณมากเลยครับป้า" ผมยิ้มให้พลางเอามือจับตระกร้าแต่ดันคืนให้คุณป้าไปด้วยความเกรงใจจริง ๆ
"ไม่เป็นไรหรอกจ้า ของที่สวนป้าเองที่อยุธยาโน่น ปลูกเอง ไม่พ่นยาอะไรหรอกพ่อคุณ เอาไปทานเถอะ ไม่ต้องเกรงใจนะ" ป้าผลักตระกร้ากลับมาอีกจนได้
เราเล่นชักเย่อตระกร้าผลไม้อยู่หลายนาที สุดท้ายผมก็ต้องรับไว้จนได้ พร้อมได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกว่าป้าแกชื่อ ป้าสมร ย้ายมาอยู่กับลูกสาวชื่อ นภาวิศ คงเป็นผู้หญิงผมยาวที่ผมเห็นวันนั้นเป็นแน่
"ผู้หญิงอะไร ชื่อยังกะผู้ชาย" ผมนึกในใจพลางดูผลไม้ในตระกร้า แล้วจึงหันไปชะเง้อดูบ้านข้าง ๆ ผ่านรั้วต้นไม้ พอเงยหน้าเห็นหน้าต่างบ้านชั้นสองเปิดไว้ ผ้าม่านปลิวตามแรงลม เสียงระฆังลมดังกรุ้งกริ้งฟังแล้วสบายใจ
มีเพื่อนบ้านก็ไม่เลวทีเดียว ผมยิ้มกับตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านไป
ผมยืนกดกริ่งอยู่ราวสามสี่นาที แต่ก็ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่ในบ้าน ผมก้มดูช่อดอกไม้ในมือ แล้วกำลังจะหันหลังกลับ
"ค่ะ มาหาใครคะ" เสียงใสเล็กดังขึ้นด้านหลังไกล ๆ
ผมหันกลับไป เป็นเธอคนนั้น หญิงสาวรูปร่างเล็กบาง ในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวปลอด กางเกงผ้าซาตินสีอมชมพูสะท้อนแสงแดดวับวาวเข้าตา เธอค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้
"มีอะไรรึเปล่าคะ มาพบคุณแม่เหรอคะ" ริมฝีปากชมพูจางขยับขึ้นลงช้า ๆ จนผมอดมองตามไม่ได้
"เออ คือ...ผมอยู่บ้านข้าง ๆ น่ะครับ อยากแวะมาแนะนำตัวกัน จะได้รู้จักกันไว้ครับ" ผมตะกุกตะกักนิดหน่อย
"เออ พี่ฐานทัพใช่ไหมคะ คุณแม่เพิ่งพูดถึงเมื่อเช้านี่เอง สวัสดีค่ะ นภาวิศ นะคะ" เธอยิ้มราวกับโลกใบนี้ไม่เคยมีเรื่องร้ายเสียอย่างนั้น
"ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มีดอกไม้มาฝากด้วย เผื่อไว้จัดแจกันนะครับ พอดีที่บ้านไม่ค่อยมีอะไร มีแต่ดอกไม้ในสวนนี่ล่ะครับที่พอดูได้หน่อย" ผมยื่นช่อดอกไม้ที่มัดขึ้นเองกับมือ
"สวยน่ารักเชียวค่ะ หอมด้วย น่ารักจัง" เธอรับช่อดอกไม้ผ่านช่องประตูไป รอยยิ้มที่เล่นเอาโลกของผมแทบหยุดหมุน
"ขอโทษด้วยนะคะ พอดีคุณแม่ไปตลาด ไว้โอกาสหน้าจะเชิญพี่ฐานทัพมาทานขนมที่บ้านนะคะ นภาวิศ กำลังหัดทำอยู่เลยค่ะ" เธอยิ้มเจื่อนไปเล็กน้อย
"อ่อ ไว้คราวหน้าดีกว่าจริง ๆ ครับ ตอนนี้คงไม่เหมาะ เอาไว้พี่จะแวะมาคุยด้วยใหม่นะครับ" ผมเดินถอยออกมาช้า ๆ พร้อมโค้งคำนับแก้เก้อ
"ค่ะ ไว้คุยกันนะคะ" เธอถือช่อดอกไม้ไว้แน่นพร้อมรอยยิ้ม
ผมโบกมือลาแล้วหันหลังเดินจากมา พร้อมความรู้สึกใจเต้นอย่างประหลาด ความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาสิบกว่าปี ตั้งแต่วันนั้น วันที่บ้านผมยังรกไปด้วยข้าวของมากมาย ของที่เธอคนนั้นทิ้งเอาไว้ แต่หัวใจของผมเธอเอาติดมือไปด้วย และมันถูกทิ้งขว้างอย่างไร้ค่าในเวลาต่อมาไม่นาน
นั่นจึงทำให้บ้านผมสะอาดและไร้ข้าวของที่ไม่จำเป็น ของที่อาจทำให้ความทรงจำเก่า ๆ นั้นวนกลับมา
บ้านมินิมอลของใครหลายคน อาจเป็นเครื่องหมายของการกลบเกลื่อนบาดแผลแห่งความทรงจำก็เป็นได้ ใครจะรู้ความจริงข้อนี่
กลิ่มหอมลอยมาพร้อมเสียงกระดิ่งลมดังกังวานในช่วงสายของวันอากาศดี พอได้กลิ่นนั้นผมจึงมายืนข้างระเบียงทางเข้าบ้าน จากตรงนี้พอจะมองเห็นบ้านข้าง ๆ ได้นิดหน่อย ผมกำลังนึกในใจว่าจะแวะไปทักทายคุณป้ากับน้องนภาวิศเสียหน่อย วันนี้ผมซื้อขนมไทยจากร้านของฝากชื่อดังมาด้วย คิดว่าทั้งสองคนน่าจะชอบ
เสียงโครมคล้ายโลหะกระแทกพื้นดังลั่น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของใครคนหนึ่ง
"ช่วยด้วย ช่วยด้วยจ้า" เสียงของคุณป้าข้างบ้านตะโกนลั่น
ผมสะดุ้งสุดตัว วิ่งลงจากระเบียงบ้าน และกระโจนพุ่งตัวผ่านรั้วไทรเกาหลีอย่างแรง ผมทะลุออกมาถึงสนามบ้านของนภาวิศ แล้วรีบวิ่งไปตามเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือนั่น
"ช่วยด้วย โอย ลูกแม่ ช่วยด้วย" ภาพคุณป้ากำลังประคองร่างหญิงสาวที่บอบบางอยู่แนบอก
หญิงสาวนอนสิ้นสติอยู่ในอ้อมกอดหญิงชรา ตัวซีดขาวราวกระเบื้องเคลือบดินขาวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ริมฝีปากสีเผือดไร้สีสันใด ๆ
ผมรีบจับหาชีพจรตามที่เคยเรียนการปฐมพยาบาลและการกู้ชีพขั้นต้น
"ป้าครับ โทรเรียกรถพยาบาลที นี่ครับมือถือผม" ผมรีบผละออกแล้วก้มลงฟังเสียงหัวใจพร้อมเช็คการหายใจของเธอ
"ผมจะปั๊มหัวใจน้องนะครับป้า คุณป้ารีบแจ้งรถพยาบาลบอกว่าน้องหัวใจหยุดเต้นนะครับ" ผมเริ่มวางฝ่ามือลงกลางหน้าอกแล้วเริ่มกดเป็นจังหวะตามที่เคยฝึกมา
ซักพักผมก้มลงไปฟังเสียงหัวใจเธออีกครั้ง แล้วจับชีพจรที่ต้นคอ สัมผัสการขยับเบา ๆ เกิดขึ้น ผมก้มลงไปฟังเสียงหัวใจอีกครั้ง ได้ยินเสียงตุ๊บดังเป็นจังหวะ ใบหน้าของนภาวิศกลับมาแดงระเรื่อจาง ๆ อีกครั้ง
เสียงรถพยาบาลแล่นไกลออกไป ชาวบ้านต่างมายืนมุงกันเต็มถนน บ้างก็จับกลุ่มคุยกันสนุกสนานราวกับมีงานมหกรรมบันเทิงอะไร ซึ่งผมไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ป้าขึ้นรถพยาบาลไปกับน้องด้วย เธอฝากผมให้ช่วยปิดประตูบ้านให้หน่อยก่อนเธอก้าวขึ้นรถพยาบาลไป
นภาวิศที่นอนภายใต้หน้ากากช่วยหายใจ ยังมองมาที่ผมพร้อมน้ำตาคลอ ป้าร้องห่มร้องไห้ก่อนพยาบาลเลื่อนประตูรถพยาบาลปิดลงโครมใหญ่ แล้วรถก็เคลื่อนออกไป
เพียงสิบนาที ผู้คนก็จางหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมเข้าไปเก็บกวาดคุ้กกี้ที่หล่นกระจายไปทั่วพื้น ถาดโลหะคว่ำไม่เป็นท่า เศษขนมตกเกลื่อน และแจกันดอกไม้ที่ใส่ช่อดอกไม้ของผมที่เริ่มเหี่ยวแห้ง ตกแตกกระจายไปทั่วพื้น ผมค่อย ๆ เก็บกวาดทุกอย่างจนสะอาด
อีก 7 วันต่อมา เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ผมรุดออกมาหวังว่าจะเป็น นภาวิศ ที่เป็นคนกดกริ่งนั่น
ประตูเล็กเปิดออก รอยยิ้มตรงนั้นใช่เธอจริง ๆ รอยยิ้มที่หยุดโลกของผมลงในชั่วพริบตา นภาวิศอยู่ตรงนั้น ป้ายืนโอบเธอไว้พร้อมยิ้มจาง ชุดสีดำที่ป้าใส่ทำให้ป้าดูผอมซูบลงไปมาก หรือแก้มป้าซูบตอบลงจริง ๆ ผมก็ไม่แน่ใจนัก
ป้ากอดรูปนภาวิศไว้แน่น น้ำตาค่อยหยดลงไล้แก้ม แล้วหยดลงบนกรอบรูปในอ้อมแขน
"น้องไปสบายแล้วนะลูก ป้าขอบคุณมากที่ช่วยน้องวันนั้น น้องฝากมาขอบคุณ น้องเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็...ฮือ." ป้าสะอื้นร้องไห้จนไม่อาจกล่าวเป็นคำได้
ผมได้แต่ยืนยิ่งราวกับสติหลุดไปจากร่าง ตัวชาไปจนแทบไม่รู้สึก หัวหมุนเหมือนลูกข่างที่กำลังถูกพระเป็นเจ้าปั่นจนหมุนคว้าง
"ป้าจะพาน้องกลับบ้านสวนแล้ว ป้ากับน้องเลยมาลานะ ขอบคุณมากจริง ๆ" ป้าเอามือข้างหนึ่งมาลูบแขนผมอย่างเบามือ
"ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะลูก" ป้าเอ่ยพร้อมน้ำตาที่รินไหลอย่างไม่อาจหยุด
น้ำตาผมไหลลงไปกองกันที่ปลายจมูก ผมค่อย ๆ ก้มหัวยกมือไหว้ป้า เธอเอามือลูบหัวผมเบา ๆ
"ถ้ามีโอกาสป้าจะมาเยี่ยมนะลูก ลาละ" ป้ากอดรูปนภาวิศ เดินโคลงเคลงกลับไปที่บ้าน ผมปิดประตูเล็ก เดินไร้เรี่ยวแรงกลับเข้ามา ดวงตาหันไปเหลือบมองต้นไทรเกาหลีที่หักเป็นช่องโหว่ตรงนั้น โดยปกติผมคงไม่ทิ้งให้มันเป็นอย่างนั้นแน่ ผมชอบความสมบูรณ์แบบเสียขนาดนั้น
แต่ไม่ใช่อีกแล้วหลังจากได้พบนภาวิศที่หน้าบ้านในวันนั้น เธอกับช่อดอกไม้นั่น ไม่ใช่ความงามที่สมบูรณ์แบบหรอก แต่คือความสวยงามที่ไร้คำบรรยาย งดงามโดยไม่ต้องแต่งแต้มใด ๆ อีก
ผมทรุดตัวลงบนโซฟาสีเทา กดหน้าลงบนหมอนอิงแล้วร้องไห้แทบบ้า ภาพรอยยิ้มของเธอกับช่อดอกไม้นั่น หัวใจผมแหลกสลายเหมือนแจกันดอกไม้ที่บ้านเธอไม่มีผิด
ผมเสียใจที่น่าจะมีเวลาอีกสักนิด เวลาที่ผมจะได้รู้จักนภาวิศ ได้ดูแลเธอ และได้มีเวลาได้บอกรักเธอ สักครั้งในชีวิต
แผ่นซีดีในเครื่องเล่นที่เปิดไว้กำลังเปลี่ยนเพลงใหม่ เสียงดนตรีค่อย ๆ ดังขึ้น แล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมาอย่างสุดกลั้น
"ลาก่อนครับ นภาวิศ หลับให้สบายนะ" ผมเอามือปาดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นเกือบทั้งคืน เหมือนเพลงนี้ที่เล่นวนอยู่อย่างนั้นไม่หยุด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา