30 ม.ค. 2020 เวลา 08:48 • ปรัชญา
นั่งสมาธิยังไงก็ไม่สงบ คิดเยอะฟุ้งซ่าน เพราะเราไม่รู้สิ่งนี้
มุทรา Gyan หรือ Jnana เป็นมุทราที่นิยมใช้ทั่วโลกในการนั่งสมาธิ
ทำไมเราถึงนั่งสมาธิ?
เราต้องการอะไรจากสมาธิ?
ความสงบเหรอ?
ฌานสมาบัติเหรอ?
ปัญญาเหรอ?
ญานหยั่งรู้?
การหลุดพ้น?
รึว่า Productivity?
รึสุขภาพ?
ทำไมเยอะจัง?
สมาธิ "คืออะไร" กันแน่?
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราเข้าถึงสมาธิแล้ว?
ก่อนอื่น เราต้องเคลียร์ให้ได้เสียก่อนกับคำถามข้างบน
เราตอบคำถามง่ายๆเหล่านั้นได้หรือไม่?
จริงๆแล้วเราต้องการนั่งสมาธิไปเพื่ออะไร?
คำตอบที่เราได้ เมื่อไล่ไปจนถึงที่สุดแล้วคือความอยาก
ต่อให้มันเป็นความอยากสีขาว มันต่างกับกิเลสตรงไหน?
แมวสีขาวก็คือแมว แมวสีดำก็คือแมว
กิเลสสีขาวก็คือกิเลส กิเลสสีดำก็คือกิเลส
ความพยายามอธิบายกิเลสทำให้เราวนอยู่ในกะละมังใบเดิมจึงไม่พ้น
แต่นี่เป็นอืกเรื่องหนึ่ง
กลับมาเรื่องเดิมก่อน
เราต้องการสมาธิเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้
✨ยิ่งเราต้องการสิ่งหนึ่ง เรายิ่งออกห่างไปจากสิ่งนั้น✨
เราต้องการความสงบ
เรายิ่งออกห่างจากความสงบ
เพราะยิ่งเราใช้อุบายผูกจิตให้อยู่กับความสงบ
แท้จริงเราก็ติดอยู่กับอุบายนั้นนั่นเอง
แล้วเราก็ผูกเองเสียด้วย
ไม่มีใครมาผูกให้เรา
เราจะสามารถ "มองจุดนี้" ออกได้หรือไม่?
เราพยายามทำให้ตัวเองมีสมาธิด้วยการพยายามหยุดคิด
หาอุบายสารพัดเพื่อมาทำให้ตัวเองหยุดคิด
ทั้งคำบริกรรมและกำหนดอากัปกิริยา
เพื่อเป็นอุบายให้ตัวเองหยุดคิด
แท้ที่จริงแล้ว
ความคิดหยุดไม่ได้
Thoughts are another form of nature, which can only be existed in your head!
ลองพิจารณาภาพต่อไปนี้
ความคิดก็เหมือนรถบนถนน Thoughts are something like vehicles
พาหนะแต่ละคันเปรียบเสมือนความคิดแต่ละเรื่อง
มีทั้งความคิดใหญ่ๆอย่างรถบรรทุก
หรือความคิดเล็กๆอย่างมอเตอร์ไซค์หรือจักรยาน
หรือความคิดทั่วๆไปอย่างรถยนต์ส่วนบุคคล
บางครั้งความคิดก็เยอะแยะวุ่นวายสับสนไปหมด
ชวนให้ปวดหัว
light traffic, sometimes thoughts are not too disturbance
บางครั้งมันก็เบาบาง ผ่อนคลาย สบาย ไม่รบกวน
เราคิดว่าเราหยุดความคิดได้ แท้ที่จริงมันเป็นเพียงถนนโล่งที่กำลังรอคอยคันต่อไป
แต่ต่อให้บางครั้งเราเข้าถึงสมาธิได้
เราจะถึงสเตทที่ "ดูเหมือนว่า" ไม่มีความคิด
เพราะความคิด "ดูเหมือน" จะหยุดนิ่งไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าความคิดไม่มี
แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงช่องว่างช่วงถนนโล่ง
ที่กำลังรอคอยรถคันต่อไป
ความคิดตัวใหม่
เข้ามาเท่านั้น
เราแค่เข้าไปเห็นช่องว่างตรงนี้เท่านั้น
(แต่จริงๆแล้วนี่ก็คือสิ่งที่เราต้องการ แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ถนนเปรียบได้กับ ความสงบ
⚡ ความคิดเป็นเพียงธรรมชาติรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งมีเฉพาะในหัวของเราเท่านั้น! ⚡
ความพยายามที่จะหยุดความคิดจึงเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ!
ความคิดคือจักรวาลรูปแบบหนึ่งที่มองไม่เห็น Thoughts are invisibly traveling in our same universe!
ไม่ต้องไปหาเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิด
เพราะมันเป็นธรรมชาติ
ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง
ดวงจันทร์หมุนรอบโลก
โลกหมุนรอบตัวเอง
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเอง
ดวงอาทิตย์หมุนไปตามแรงเหวี่ยงของจักรวาล
จักรวาลหมุนรอบตัวเอง
จักรวาลเคลื่อนที่ไปตามแรงเหวี่ยงของเอกภพ
จักรวาลหยุดไม่ได้
เราหยุดจักรวาลไม่ได้
เราหาเหตุผลไปก็ไม่มีวันสิ้นสุด!
ความคิดไม่มีวันสิ้นสุด
มันเป็นธรรมชาติ
ธรรมชาติเป็นแบบนั้น
ความคิดก็หมุนเหวี่ยงอยู่อย่างนั้น
ถนนเส้นนี้บรรจบลงที่เดิม
ถนนเส้นนี้ไม่เคยว่างจากการเคลื่อนที่ของรถ
รถไม่เคยหยุดวิ่ง
จิตเราแค่ไปรับรู้
แล้วก็โดนเหวี่ยงไปกับความคิด!
การ "หยุดคิด" เป็น "ผล"
เราทำผลไม่ได้
เราทำได้แค่เหตุของมัน
ความพยายามสร้างผลในทันทีจึงฝืนและเหนื่อย
และสิ่งนี้ยิ่งทำให้เราไกลห่างมันออกไปอีก
(ให้คิดว่าเราหยุดความคิดได้ไปก่อน มันคือสเตทที่เราต้องการ จากบรรทัดในวงเล็บข้างบนที่ว่า "แต่จริงๆแล้วนี่ก็คือสิ่งที่เราต้องการ")
Mindfulness is only a state. It can't be created, it can only be bloomed!
เราจะพ้นไปได้ก็เพราะเรียนรู้ รู้จักธรรมชาติ
สมาธิ เป็น state
state นี้เป็นผล
เหตุของ state นี้คือการเรียนรู้ธรรมชาติตามที่มันเป็น
เพราะธรรมชาติไม่เคยฝืน
รถไม่เคยหยุดวิ่ง
ความสงบหรือสมาธิเป็นผล เราสร้างไม่ได้
เราทำให้สมาธิเกิดไม่ได้
แต่เราสร้างเหตุให้สมาธิเกิดได้
✨เราบังคับให้ดอกไม้บานไม่ได้
เมื่อดอกไม้พร้อมแล้ว มันจะบานของมันเอง ✨
เราทำได้เพียงรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย
เมื่อ state ถึงที่สุดแล้ว มันจะเปลี่ยนของมันเอง
1
ทำนองเดียวกัน สมาธิจะเบ่งบานออกมาเอง
เมื่อเราทำ วิตก วิจาร ได้อย่างดี
รถไม่เคยหยุดวิ่ง
ถ้าจะรอให้มันหยุดวิ่ง เมื่อไหร่มันถึงจะเกิดขึ้นได้?
ถนน กับ รถ เป็นคนละเรื่องกัน
เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะมีความสงบได้
โดยที่ความคิดก็ดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน?
คีย์ของสมาธิอยู่ที่ความชำนาญของการทำ วิตก วิจาร แค่นั้น
เพราะเมื่อสองสิ่งนี้เป็นเหตุอันเป็นไปด้วยดีแล้ว
ผลของมันคือ ปีติ สุข เอกัตคตา จะตามมาเอง
ไม่ต้องไปพยายามทำให้เกิด
ความพยายามทำให้มันเกิด ได้พรากมันไปจากเราเรียบร้อยแล้ว
1
When you do, you interfered.
ดังนั้นเราจะสามารถมองเห็นได้ไหมว่า
การตั้งใจทำ ได้พรากมันไปจากเราเสียแล้ว
เพราะการตั้งใจทำนั้นมันไม่เป็นธรรมชาติ
ความฝืนธรรมชาติ ได้พรากธรรมชาติไปจากเราเสียแล้ว
3
มันน่าเหลือเชื่อหรือไม่ว่า
การทำ และความพยายามต่างๆ ที่เราทุ่มเทลงไป
คือการแทรกแซงสภาวะของความเป็นธรรมชาติ!
ดังนั้นความท้าทายก็คือ
ทำอย่างไร ที่เราจะทำโดยที่เราไม่ทำ?
หรือจะถามใหม่ว่า ทำอย่างไร ที่เราจะไม่ทำโดยที่มันได้ผลลัพธ์เหมือนเราทำ?
1
นี่คือทางสายกลางอย่างแท้จริง!
ดังนั้นทางสายกลางของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้!
และสิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญขนาดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก่อนเลยเป็นเรื่องแรก!
นั่นคือการตั้งต้นที่ถูกต้องของการนั่งสมาธิ
คำถามนี้เฉลยคำตอบไม่ได้
ไม่มีใครสามารถสอนให้เรารู้ในสภาวะที่เราไม่เคยรู้จักได้
ดังนั้นธรรมะจึงเป็นเรื่องที่ต้อง
สันทิฏฐิโก
พึงเห็นได้ด้วยตัวเอง
โอปะนะยิโก
น้อมเข้ามาใส่ตัว
ปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหีติ
เป็นธรรมที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน
จริงๆแล้ว สเตทต่างๆที่เกิดในสมาธินั้น สเตทอะไรก็ดีทั้งนั้น
แต่สเตทที่เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการทำสมาธิคือ
การเห็นจิตเดิมแท้ของเราให้ได้
Ordinarility ได้เคยเขียนบทความเรื่องนี้ไว้แล้ว ในถ้อยคำที่ 6 ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับเรื่องนี้ (เพียงแต่ present กันคนละมุม) และเรื่อง ธรรมะที่เรารู้เป็นตัวขวางกั้นเราเองจากความจริง ลองอ่านเพื่อเพิ่มความเข้าใจยิ่งขึ้นได้
ขอให้เจริญในธรรม
บทความถัดไป
บทความก่อนหน้านี้
โฆษณา