23 พ.ค. 2020 เวลา 16:17 • ท่องเที่ยว
🍄Ep. 4🍄”Beautiful Bruges”สุดสัปดาห์พาเที่ยวกันต่อค่ะ
เรามาถึงเมืองเล็กๆ ในยุคศตวรรษที่14 ที่มีชื่อว่า Bruges เมืองท่าริมทะเลเหนือ ที่ได้รับสมญานามว่า Venice of the North แล้วค่ะ
💐เมืองโอบล้อมด้วยคลองเล็กคลองน้อย คดเคี้ยวไปมา เหมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยง ความมีชีวิตชีวา ให้กับตึกรูปทรง Neo-Gothic โบสถ์ยอดแหลม และหอระฆัง 💐
วันที่ไป Bruges ฝนตกพอดีค่ะ เมฆเทาหม่นมัวซัวทั้งวัน แต่เราก็มุ่งหน้าตามหารูปแกะสลักหินอ่อน โดยศิลปิน Michelangelo อย่างไม่ลดละ
Rozenhoedkaai มุมสวยที่สุดของ เมือง Bruges (ภาพจากTripAdvisor.co.nz)
❣️Madonna and Child ในโบสถ์ Church of Our Lady
และแล้ว....เมื่อถึงหน้าประตูโบสถ์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พบว่าประตูปิดค่ะ! โอ้! ไม่นะ..เขาคงไม่ได้ปิดซ่อมโบสถ์หรอกน่า..โธ่ ! อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามทะเล จะมาชมงานศิลป์ชิ้นเอกทั้งที พลาดครั้งนี้ก็ไม่รู้อีกเมื่อไรจะได้มา...😭
“นี่เธอหยุดคร่ำครวญได้แล้ว...เห็นไหมเขาเขียนว่าเปิดบ่ายโมงครึ่ง” สติกลับมาอยู่กับตัว เมื่อลูกทัวร์สะกิดให้ดูป้ายเล็กๆที่คล้องไว้ที่ประตู “Open 1.30 PM”
“งั้นเดี๋ยวค่อยกลับมาดูนะ เดินเล่นรอบๆก่อน “ ฝนยังปรอยแต่ซาลง บางเบาเหมือนเทวดาประพรมน้ำมนต์ เดินอ้อมไป ข้างๆโบสถ์มีทางเดินเล็กๆเลาะไปริมน้ำ โชคดีที่คนยังไม่มาก เราหามุมถ่ายรูปกับสะพาน St. Bonifacius Bridge ที่เป็นมุม “มหาชน”โดยไม่มีคนอื่นเป็นฉากหลังได้😀(ดูภาพสวยๆที่เอามาจากTripAdvisor ก่อนนะคะ ที่ถ่ายเองจะอยู่ท้ายๆ😀)
บนสะพาน Bonifacius มองไปยังโบสถ์ Church of Our Lady (ภาพจาก TripAdvisor.co.nz)
เดินข้ามสะพานนี้ไป เข้าซอกตรอกซอยเล็กๆ มาโผล่ที่ริมคลองที่มีต้นไม้ใหญ่ ผลิใบสีเขียวอ่อน คลุมทางเดิน ให้ร่มเงาลมพัดเย็นสบาย มีแผงขายของที่ระลึก เรียงรายดักนักท่องเที่ยวไว้เป็นระยะๆ ...แต่ก็ดักเราไม่สำเร็จค่ะ...เราเดินกินลมชมวิว มองเรือที่นักท่องเที่ยวเต็มลำแล่นผ่านไปมา
ไปหาท่าลงเรือล่องท่องลำคลองกันเถอะ!
ถ้ามาเมืองBruges แล้วไม่ได้ล่องเรือชมเมือง ถือว่ายังมาไม่ถึงนะคะ ถึงแม้จะคิวยาวประหนึ่งรอเล่นเครื่องเล่นในดิสนีย์แลนด์ ก็คุ้มกับการรอคอยค่ะ ค่าล่องเรือคนละ 8 ยูโร ซื้อที่ท่าเรือท่าไหนก็ได้ที่เดินมาเจอ
คนยืนรอลงเรือ
เราได้ลงไปเป็นกลุ่มแรกของลำใหม่ ก็เลยได้นั่งท้ายลำ คนขับเรือของเราเป็นหนุ่มหน้าตาคมคาย หนวด เคราครึ้ม สวมหมวกกะลาสีเรือสีน้ำเงิน นี่คือกัปตัน Haddock ในการ์ตูน Tin Tin ชัดๆเลย
ใครเคยอ่านการ์ตูน The Adventure of Tin Tin บ้างคะ? คนวาดรูป และเขียนเรื่อง ชื่อ Herge เป็นชาวเบลเยี่ยม เขาสามารถวาดถอดแบบจากคนได้จริงๆ เวลาผ่านมา 90 กว่าปี เค้าโครงหน้า หนวดเคราของชาวเบลเยี่ยมแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย😀 (ไว้ว่างๆจะพาไปดู พิพิธภัณฑ์การ์ตูน ในเมืองBrussels นะคะ รอจบเมืองนี้ก่อน😂)
กัปตันเรือใส่ชุดกะลาสี หนวดเคราครึ้ม
กัปตันของเราขับเรือไปด้วย และบรรยายอย่างสนุกสนานไปด้วยค่ะ เป็นไกด์bilingual สองภาษา ภาษาดัทช์ กับภาษาอังกฤษ เขาพูดคล่องไม่เคอะเขิน อารมณ์ดี แทรกขำขัน ทำให้การล่องเรือ พาเราชมเมืองจากอีกมุมมองหนึ่ง เป็นที่น่ารื่นรมย์. ถึงแม้ฝนจะตกปรอย ชุ่มฉ่ำ หนาวเย็น แต่ทุกคนก็สนุกสนานค่ะ🥰
1
เหมือนกัปตัน Haddock ในการ์ตูน Adventure of Tin Tin ทีมีต้นกำเนิดในเบลเยี่ยม
นั่งเรือล่องไปตามคลอง ที่ภาษาดัทช์เรียกว่า “Groenerei” มีคลองเยอะ สะพานก็เยอะตามทั้งเมืองมีมากกว่า 80 แห่ง! กัปตัน Haddock พาเราแล่นเรือฉิว ลิ่วลอดใต้สะพานแล้วสะพานเล่า อิฐเรียงโค้งล้วนเก่าแก่ ที่เก่าสุดชื่อ Meestraat Bridge
สะพานแห่งหนึ่งเตี้ยมาก จนกัปตันบอกว่า “ ระวังให้ดี
นะคร้าบ... สะพานข้างหน้านี้อาจจะเป็น กิโยตินมาวางขวางไว้ ระวังหัวด้วยคร้าบ...”
ทุกคนพร้อมใจกันหดหัวหมดเลยค่ะ😅
แต่พอเราเงยหน้าขึ้นมา ก็ได้รับการต้อนรับจาก พุ่มใบเขียวชอุ่ม ของต้นไม้ริมคลอง ตัดกับสีทึมๆของตึกเก่า สร้างความตื่นตาให้กับเรา แล้วยังตื่นใจกับ แม่เป็ดกับลูกเป็ดตัวน้อย ที่ลอยโต้คลื่นที่ท้ายเรืออีก (ดูในคลิปYouTube ที่ถ่ายไว้ ชื่อ Bruges canal trip ข้างบนนี้ได้ค่ะ )
1
พุ่มไม้ใบบัง ( โบสถ์หลบอยู่หลังต้นไม้ กดถ่ายรูปช้าไป 2วินาที)
เวลา 30 นาทีผ่านไปเร็วมากค่ะ นั่งเรือลอดใต้สะพานนับไม่ถ้วน น้ำฝนกระเซ็น น้ำคลองแตกกระจาย ชมสถาปัตยกรรมทั้งเก่าทั้งใหม่ โกดังเก็บสินค้ารูปร่างหน้าตาต่างๆกัน
สุดท้ายวนไปถึงบริเวณที่คลองจะเชื่อมต่อกับ ทะเลสาบ Minnewater (Lake of Love ❤️) มีฝูงหงส์สีขาวสะอาดตา ฝูงใหญ่ เดินอยู่ที่ริมตลิ่ง
ฝูงหงส์ลงเรียง เริงร้องซ้องเสียง สำเนียงน่าฟังวังเวง
ขึ้นจากเรือที่ท่าเดิม แล้วเดินดุ่มกลับไปที่โบสถ์ Church of Our Lady หรือ Onze-Lieve-Vrouwekerk เพื่อเข้าชม รูปสลักหินอ่อน Madonna and Child กัน (ลืมกันหรือยังคะ ว่าถ้าไม่ได้ดูไม่กลับ)
ได้เวลาเปิดให้ชมพอดีค่ะ เสียค่าเข้าชม 4 ยูโร
ไปฟังไกด์เขาพาชมกันค่ะ พูดภาษาไทยได้ด้วย😄
รูปสลักหินอ่อนนี้มีประวัติที่น่าสนใจมากค่ะ แรกเริ่มเดิมที ในปี 1506 พ่อค้าชาว Flemish 2คน ชื่อ Alexander Mouscron เดินทางไปค้าขายที่ อิตาลี ได้ไปเห็นรูปแกะสลักชิ้นนี้ที่มีความงดงามมาก ที่สตูดิโอของ ไมเคิล แองเจลโล ในเมือง Florence จะขอมโนบทสทนาขึ้นมาเองนะคะ
“เราอยากซื้อรูปปั้นนี้ ไปไว้ที่เมือง Bruges “ Alexander พ่อค้ากล่าว
“เกรงว่าจะไม่ได้นะครับ ทางวาติกันว่าจ้างให้ แกะสลักรูปไปตั้งเป็นที่บูชา Altar piece ที่โบสถ์ในเมือง Siennaไว้แล้ว” ไมเคิลแอนเจลโลตอบ
“Pope จ้างคุณเท่าไร เรายินดีจ่ายให้มากกว่า “ มีการต่อรองอย่างไรก็ไม่ทราบรายละเอียดนะคะ แต่สุดท้ายคงให้ราคาดีกว่าวาติกัน ก็เลยได้ขนรูปปั้นมาที่ Bruges....
แต่ต้องเก็บไว้เป็นความลับไม่แพร่งพรายให้ Pope รู้
ดังนั้น ในช่วง 100ปีแรกที่นำรูปปั้นนี้มาที่ Bruges ใครจะเข้าไปดูต้องขออนุญาตก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนก็เข้าไปดูได้ถ้าเสียเงิน 4 ยูโรค่ะ
Madonna and Child,Bruges
รูปแกะสลักนี้ ไม่ได้อนู่ที่นี่ตลอดนะคะ มีบางช่วงเวลาที่ต้องระหกระเหินออกจากเมือง Bruges ถึงสองครั้งสองครา
ทำไมจึงมีผู้หมายปองงานศิลปะชั้นปรมาจารย์ชิ้นนี้ เขาคือใคร และเอาไปไว้ไหน ต้องติดตามตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ (วันนี้ขอไปพักก่อนค่ะ❤️)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา