7 ต.ค. 2020 เวลา 12:19 • นิยาย เรื่องสั้น
[ เรื่องเล่าชมรมศิลป์ SPECIAL ]
Ep.2 : Impossible Reality - ความจริงที่เป็นไปไม่ได้
 
ความเดิมตอนที่แล้ว : ผมได้รับคำชวนจากซายน์เพื่อนสมัยเด็กให้มาช่วยดูงานศิลปะตามที่บันทึกอยู่ในสมุดของคุณปู่ ระหว่างที่ดูภาพ ประโยคหนึ่งจากหน้ากระดาษที่ซายน์ท่องขึ้นมาโดยบังเอิญ ได้ปลุกนกซิเมิร์กที่อยู่ในภาพให้มีชีวิตขึ้น รู้ตัวอีกทีเราทั้งคู่ก็เกาะนกยักษ์เข้ามาสู่ดินแดนในอีกโลกหนึ่งเสียแล้ว
1
Still Life and Street (1937), M.C. Escher, Woodcut
“Welcome to another world
พร้อมไปผจญภัยกันหรือยัง?”
 
ทันทีที่สิ้นเสียงยานพาหนะพูดได้ของเราที่กำลังเคลื่อนที่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ผมหันไปมองผู้ร่วมชะตากรรมที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งฟุต เธอหลับตาปี๋คิ้วขมวดแน่นพร้อมขยับปากมุบมิบเหมือนกำลังท่องอะไรอยู่
ผมได้แต่หวังว่าคงจะไม่ใช่คาถาอะไรแปลก ๆ ที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก อย่างฝนลูกเห็บหรือสายฟ้าฟาด ลำพังเกาะโคนหางนกและทรงตัวให้อยู่นิ่งก็ยากพออยู่แล้ว
 
ขณะที่กำลังใช้ความคิด สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นมือของซายน์ที่สั่นระริกแม้จะกำลังออกแรงยึดเกาะอยู่แน่นก็ตาม ภาพที่เห็นทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมา
"ปีนขึ้นมาเถอะน่า ไม่น่ากลัวหรอก"
 
"ไม่เอาอะ มันสูงนะ"
 
"เดี๋ยวอาร์ตช่วยจับซายน์ไว้เอง อะ...ยื่นมือมา"
 
‘กร๊อบ’
 
"กรี๊ดดดดด"
 
"ซายน์.......!!"
 
อุบัติเหตุในครั้งนั้นผ่านมา 20 ปีเศษแล้ว แต่นึกขึ้นมาทีไรผมก็ยังคงรู้สึกผิดที่คว้ามือซายน์เอาไว้ไม่ทันในจังหวะที่กิ่งไม้ที่เธอเหยียบอยู่หักพอดี ต้นไม้ที่เราปีนอยู่สูงจากพื้นราว ๆ สามเมตร เพียงพอที่จะทำให้กระดูกแขนของซายน์แตกตอนที่เธอตกลงมา
3
แม้ว่าสุดท้ายแขนของซายน์จะหายดีโดยไม่มีแม้รอยแผลเป็น แต่รอยร้าวจาง ๆ นั้นกลับเกิดขึ้นระหว่างเรา หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น ผมกับซายน์ก็ไม่ได้เล่นด้วยกันอีกเลย เมื่อเวลาผ่านไปเราต่างก็ใช้ชีวิตในแบบของตนเองโดยไม่ได้มองย้อนกลับมาถึงอดีตก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ
ไวเท่าความคิด มือซ้ายของผมเลื่อนไปกุมหลังมือขวาที่กำลังสั่นของเธอเอาไว้ เจ้าของมือหันขวับมามองด้วยความประหลาดใจ
 
"ไม่ต้องกลัวนะ อาร์ตจะคอยจับซายน์เอาไว้เอง" เสียงที่พูดออกมาฟังดูหนักแน่นจนผมก็อดรู้สึกประหลาดใจกับตัวเองไม่ได้ บางทีเรื่องราวแปลก ๆ ทั้งหมดนี้อาจจะปลุกความฝันวัยเด็กที่อยากจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของผมให้ตื่นขึ้นมากระมัง
 
ซายน์ไม่ตอบอะไร แต่แรงสั่นสะเทือนที่สัมผัสได้จากหลังมือของเธอดูจะสงบลง
1
นกซิเมิร์กลดเพดานบินต่ำลงจนเราเริ่มจะมองเห็นทัศนียภาพด้านล่างชัดขึ้น ขณะที่ใกล้จะถึงพื้น จู่ ๆ ซายน์ก็พูดขึ้นมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่เงียบมานาน
 
“เอ๊ะ…นี่มันโต๊ะของปู่นี่นา…”
เบื้องล่างที่เธอพูดถึงคือพื้นราบที่ดูเหมือนทำจากไม้ บนพื้นผิวนั้นมีกองไพ่สำรับหนึ่งวางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ ข้าง ๆ คือโถใส่ยาเส้นที่มีฝาปิด และถาดรองซึ่งภายในมีกล้องยาสูบและไม้ขีดที่ใช้แล้ววางทิ้งอยู่
เยื้องไปอีกนิดคือ กลักไม้ขีดที่เผยอเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่ามีการใช้งานอยู่เป็นประจำ ฝั่งซ้ายและขวาคือกองหนังสือที่รายเรียงทั้งแนวตั้งและแนวนอนซ้อนกัน และที่ปลายแถวของหนังสือนั้นคือ…ผนังตึกและถนนที่ทอดยาวสุดสายตา
photo : tarotbycecelia.com
นกซิเมิร์กกระพือปีกสองสามครั้งก่อนจะลงจอดอย่างนุ่มนวลที่ลานกว้างข้างโถยาเส้น ภาพวัตถุคุ้นตาที่เราเห็นจากระยะไกลเมื่อสักครู่ อันที่จริงแล้วมีขนาดใหญ่มหึมาจากพื้นที่เรายืนอยู่ หนังสือที่พิงอยู่กับตึกที่ใกล้ที่สุดนั้น กะด้วยสายตาน่าจะสูงราว ๆ 7-8 เมตร
 
ไม่ผิดแน่…นี่คือ ภาพลวงตาของ M.C. Escher ที่มีชื่อว่า Still Life and Street
 
“ซายน์…อาร์ตว่าเราเข้ามาอยู่ในโลกที่เป็นไปไม่ได้ซะแล้วล่ะ”
1
ทันใดนั้นแสงสว่างวาบก็ปรากฎขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของซายน์…สมุดบันทึกของคุณปู่นั่นเอง ขณะที่เธอเริ่มพลิกหน้ากระดาษ เพียงชั่ววินาทีแสงนั้นก็หายไปกลับกลายเป็นควันจาง ๆ และปรากฎเป็นรอยไหม้รูปร่างเหมือนขนนกขึ้นมาบนหน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง ยังไม่ทันที่จะหายงุนงง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
 
'When one commitment
has been cleared,
one feather would be gone.
คราใดหนึ่งบุญคุญได้ตอบแทน
ครานั้นหนึ่งเครื่องหมายจะหายไป”
 
เสียงที่เปล่งออกมาจากใบหน้าที่เป็นมนุษย์ของนกซิเมิร์กนั้นก้องกังวานจนเราทั้งสองสะดุ้ง ซายน์พลิกสมุดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
 
“ขนนกของคุณปู่ หายไปแล้วอันนึง…”
 
“ขนนกที่เจ้ามี ครั้งหนึ่งเคยถูกมอบไว้ให้แก่มนุษย์เพื่อตอบแทนวีรกรรมของเขา เมื่อถึงคราวใดที่เขาต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะปรากฎขึ้นตามสัญญา”
 
แววตาของนกซิเมิร์กที่มองตรงมาให้ความรู้สึกน่าเกรงขามปนพรั่นพรึง ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าดวงตาคู่นั้นเป็นสีเทาเข้มและดูลึกลงไปประหนึ่งมองผ่านห้วงกาลเวลา ภายในนั้นมีเปลวไฟแลบลามส่องประกายวูบวาบอยู่เป็นระยะ
ราวกับอ่านใจผมได้ เสียงอันทรงพลังนั้นกล่าวต่อ
 
“เรื่องราวในอดีตของมนุษย์ผู้นั้น บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบอกเล่า ยังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองจะต้องเรียนรู้เพื่อที่จะได้กลับไปยังที่ ๆ จากมา ต่อจากนี้เจ้าทั้งสองจะต้องช่วยกันแก้ปริศนา เพื่อไปให้ถึงประตูทางออกในสถานที่สุดท้าย ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะกลับไปยังโลกเดิม หากพวกเจ้าไปไม่ถึง…ก็จะติดอยู่ในนี้ตลอดกาล แต่หากภารกิจลุล่วง ความปรารถนาที่แท้จริงจะปรากฎ”
ศีรษะของสิ่งมีชีวิตโบราณนั้นหันไปทางซายน์
“เจ้าผู้เป็นทายาทของเขา…และเจ้า…”
ใบหน้าที่หันกลับมาและดวงตาที่มีเปลวไฟ ทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยียบ “จงทำหน้าที่ผู้พิทักษ์ให้ดี”
 
เสียงกังวานถูกเปล่งขึ้นด้วยท่วงทำนองของบทกวี
 
“หนทางต่อจากนี้
สมุดที่มีจะนำให้
แต่จงพึงจำไว้
สิ่งที่เห็น อาจไม่จริง
สิ่งที่จริง ก็ไม่เห็น
หรืออาจเป็นเท็จทั้งสิ้น
พินิจอย่างประวิง
เพราะความจริงมีหลายมุม”
 
ทันทีที่พูดจบปีกใหญ่ยักษ์คู่นั้นก็กระพือขึ้นเกิดเป็นลมวูบใหญ่ ก่อนที่ร่างนั้นจะโผบินขึ้นไปในท้องฟ้าด้วยความเร็วชั่วพริบตา
2
ผมหันไปมองหน้าซายน์ที่ยังคงดูอึ้งอยู่ ทันทีที่เราสบตากัน สติก็เริ่มกลับมา เธอบอกกับผมว่าในสมุดบันทึกยังมีขนนกเหลืออยู่อีกสองอัน และเราควรเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบา ๆ
 
“ที่แท้ปู่ก็เคยมาที่นี่สินะ…”
 
นี่อาจจะเป็นความฝันหรือความจริงที่เหมือนฝันอย่างที่สุด ผมก็จนใจ รู้เพียงแต่ว่าในขณะที่สติสัมปชัญญะของเรายังอยู่ในที่แห่งนี้ ทางเดียวที่จะกลับไปได้ คือการหาทางออก
 
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้แว่บเข้ามาในหัว ทำไมนกซิเมิร์กต้องพาเรามาที่นี่…ทำไมถึงต้องเป็นภาพ Still Life and Street… ผมหลับตาลงจินตนาการถึงภาพที่เห็นจากมุมสูง คำพูดของซายน์ตอนนั้นทำให้ผมเอะใจ…
“ซายน์” ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังใช้ความคิด
 
“ว่าไง อาร์ต” เธอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสมุดบันทึก ที่กำลังถูกพลิกไปมาเพื่อหาร่อยรอยคำใบ้อะไรบางอย่าง
 
“ตอนที่เราอยู่บนฟ้าแล้วมองลงมา ซายน์บอกว่าวิวที่เห็นนี้เหมือนโต๊ะของคุณปู่เลยใช่มั้ย”
 
“อือ ใช่ หรือว่าจะมีคำใบ้อะไรบางอย่าง” ท่าทางของเธอดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
 
ผมเดินนำไปที่กองสำรับไพ่ยักษ์ที่วางอยู่ถัดจากโถยาเส้น ซึ่งบัดนี้มีขนาดใหญ่จนเราเห็นเป็นผนังโค้งที่มีหลังคาปิดอยู่ จากระดับพื้นที่เรายืนอยู่นี้ กองไพ่เรียงกันสูงเกินกว่าที่เราจะเห็นหน้าไพ่ด้านบนสุด แต่ผมจำได้ว่าสัญลักษณ์ที่อยู่บนนั้นคืออะไร
photo : tarotbycecelia.com
“ซายน์…คุณปู่ชอบเล่นไพ่มั้ย” คำถามแปลก ๆ ของผม ทำให้คิ้วของเธอขมวดด้วยความครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าจนหางม้าปลิวตามแรงสะบัด
 
“ไม่นะ ซายน์ก็เคยชวนเล่น เพราะเห็นมีไพ่ตั้งอยู่ แต่ท่านยิ้ม ๆ แล้วบอกแค่ว่าไพ่นี้ไม่ได้มีไว้เล่น แต่วางเอาไว้ให้นึกถึงอะไรบางอย่าง…รู้งี้ถามมากกว่านี้ดีสิ”
ท่าทางของซายน์ดูเหมือนอยากจะเตะตัวเอง ผมกลั้นหัวเราะ อาจเป็นเพราะสิ่งที่คิดขึ้นมาได้เมื่อสักครู่ หรือท่าทางตลก ๆ ของคนที่อยู่ตรงหน้า ทำให้บรรยากาศรอบตัวรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
 
“ไพ่นี้อาจจะช่วยให้นำทางให้เราก็ได้นะ ซายน์จำหน้าไพ่บนสุดได้มั้ย”
 
หญิงสาวหลับตาปี๋ ขณะที่ทบทวนความคิด “ห้า….โพธิ์ดำ” เธอตอบออกมาอย่างมั่นใจกับความจำที่เป็นเลิศ
 
“ที่อาร์ตคิดไว้นะซายน์…ห้าโพธิ์ดำ หากเป็นไพ่ธรรมดาคงไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ แต่ในไพ่ทาโรต์ มันคือไพ่ห้าดาบ ความหมายของมันคือความขัดแย้ง ไม่ลงรอย เอาชนะกัน”
ซายน์อ้าปากค้าง เธอคงคิดไม่ถึงว่าผมจะรู้เรื่องอะไรพวกนี้ แต่ถ้าคุณโตขึ้นมาในบ้านที่มีนักจิตวิทยาอยู่ โดยเฉพาะนักจิตวิทยานิสัยแปลก ๆ อย่างพ่อผม คงเป็นเรื่องปกติที่จะได้ซึมซับศาสตร์ทางด้านจิตวิญญาณมาบ้าง
 
“แบบนี้ก็แย่สิอาร์ต หรือนี่จะเป็นสัญญาณเตือน”
 
ผมยิ้มให้กับใบหน้าที่ดูกังวลของคนที่ดูเหมือนจะเป็นขั้วตรงข้ามของผม ก่อนจะพูดต่อ
 
“ซายน์รู้ไหมว่าไพ่ทาโรต์หนึ่งใบสามารถตีความได้สองความหมาย ขึ้นอยู่กับทิศทางของมัน หากไพ่ใบนี้กลับหัว ความหมายก็จะเปลี่ยนไปอีกทางหนึ่ง อาร์ตคิดว่าคุณปู่กำลังบอกให้เราร่วมมือกันเพื่อเอาชนะปริศนาทั้งหมดนี้ไปให้ได้”
photo : tarotbycecelia.com
ซายน์ทรุดตัวลงนั่ง หลังจากนิ่งอยู่สักพักเธอก็เอ่ยออกมา
 
“อาร์ตอาจจะพูดถูกเรื่องสัญลักษณ์ของไพ่นะ แต่สำหรับปริศนาครั้งนี้ซายน์คิดว่าเจอทางไปแล้วล่ะ ดูนี่สิ” เธอชี้ให้ผมดูตัวเลขที่เขียนหวัด ๆ บนหน้ากระดาษในสมุดบันทึกของคุณปู่
 
[ 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34 ]
 
ตัวเลขพวกนี้ไม่มีความหมายกับผมเลย แต่สำหรับซายน์แล้วคงไม่ใช่ ดวงตาของเธอดูตื่นเต้นเป็นประกาย ผมฟังเธออธิบายถึงศาสตร์ของตัวเลขและธรรมชาติด้วยความรู้สึกทึ่ง เธอบอกว่าจากบันทึกคุณปู่ ทำให้เธอมั่นใจว่าปริศนานี้ต้องเกี่ยวกับตัวเลขฟีโบนักชีอย่างแน่นอน
 
เมื่อเรียงลำดับแล้ว…สัญลักษณ์แทนเลขห้าบนไพ่นั้น น่าจะแทนลำดับของอะไรบางอย่าง
 
[ 0, 1, 1, 2, 3, 5 ]  
จากการเรียงเลขฟีโบนักชี เลข 5 นั้นอยู่ในลำดับที่ 6
“หนังสือยังไงล่ะอาร์ต…หนังสือที่เรียงกันเป็นเล่มที่หก”
 
ผมที่ยังตามเธอไม่ค่อยทันในเรื่องของตัวเลข มองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย
 
“แต่ว่าหนังสือมีสองฝั่งนี่ซายน์ เราจะรู้ได้ไงว่าเลือกฝั่งไหน”
 
รอยยิ้มทะเล้นปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ
 
“ต้องเป็นฝั่งขวาแน่นอนอยู่แล้วล่ะอาร์ต เพราะปู่บอกซายน์เสมอว่าอยากให้ซายน์ใช้สมองซีกขวาเยอะ ๆ บ้าง”
 
ผมหัวเราะออกมาในความช่างคิดของคุณปู่ นั่นสินะ สมองซีกขวาที่เต็มไปด้วยเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ รวมถึงความทรงจำและสัญชาตญาณ ช่างเหมาะกับการอยู่บนโลกแปลก ๆ ใบนี้เสียจริง
 
[ House of Stairs ] คือชื่อของหนังสือเล่มที่หกของฝั่งขวา ผมยิ้มออกมาขณะที่พูดแซวสาวนักวิทย์
 
“เตรียมขาให้พร้อมนะซายน์ อาร์ตว่าที่ ๆ เรากำลังจะไปต่อคงไม่มีลิฟท์แน่ ๆ”
[ To be continued ]
สวัสดีครับทุกคน 💙
 
มาถึงตอนที่สองของซีรีส์ชมรมศิลป์นอกเวลา ตอนพิเศษ ที่เขียนร่วมกันกับเรื่องเล่าชมรมวิทย์นอกเวลากันแล้วนะครับ
 
สำหรับตอนนี้ขอเชิญให้อ่านเรื่องราวอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ‘ซายน์’ ได้ที่เพจ EveryGreen หรือคลิกที่ลิงค์ข้างล่างนี้ได้เลยครับ ;) 👇
1
โฆษณา