23 ม.ค. 2021 เวลา 07:30 • อาหาร
Types of Coffee
1
Types of Coffee
กาแฟเครื่องดื่มแก้ง่วงสุดคลาสิกของใครหลายคนที่ได้รับความนิยมมาเป็นเวลานาน และยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน
ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษา หรือวัยทำงานก็มักจะเลือกดื่มกาแฟกันเป็นชีวิตจิตใจ เครื่องดื่มสีเข้มที่ผสมผสานส่วนผสมเข้ากันอย่างลงตัว ด้วยความซับซ้อน และความละเอียดในการนำวัตถุดิบแต่ละอย่างที่มีปริมาณไม่เท่ากัน รังสรรค์ขึ้นมาเป็นเมนูใหม่ที่ให้รสชาติและความละมุนต่างกัน กลายเป็นกาแฟแต่ละประเภทที่ตอบโจทย์ ‘คอกาแฟ’ รวมถึงผู้ที่ไม่ชื่นชอบลิ้มรสขมของกาแฟสักเท่าไหร่ก็สามารถทานได้ กลิ่นหอมและรสชาติที่กลมกล่อมอันเป็นเอกลักษณ์ จนทำให้ใครหลายคนหลงใหลกาแฟไปแล้วแบบไม่รู้ตัว…
- กาแฟดำ (Black)
ชงด้วยวิธีการหยดน้ำ อาจเป็นแบบให้น้ำซึมหรือแบบเฟรนช์เพรส เสิร์ฟโดยไม่ใส่นม อาจเติมน้ำตาลได้
2
- เอสเพรสโซ (espresso)
ประกอบไปด้วย กาแฟล้วน ที่ไม่มีส่วนผสมของนมใดๆ ทั้งสิ้น ถูกชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด
ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ “espresso” มาจากคำภาษาอิตาลี แปลว่า เร่งด่วน กาแฟที่รสชาติเข้มที่สุด เป็นตัวตั้งต้นในการชงกาแฟสูตรอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นส่วนผสมสำคัญเลยก็ว่าได้ เป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี คอกาแฟตัวจริงมักจะดื่มโดยไม่ปรุงน้ำตาลหรือนมเพิ่มเติม ทำให้ได้สัมผัสรสชาติของกาแฟอย่างเท้จริง
1
- ลาเต้ (latte)
3
ประกอบไปด้วย เอสเปรสโซ 1 ส่วน และนมร้อน 2-3 ส่วน อาจจะมีฟองนมด้านบนด้วยก็ได้ “latte” แปลตามภาษาอิตาลีแปลว่า “นม” มีรสชาติหอมมัน นุ่มละมุนลิ้น ไม่เข้มจนเกินไป ทานง่ายกว่ากาแฟทุกชนิด จุดเด่นที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือการวาดลายหรือเทโฟมนมลงในถ้วยกาแฟให้เป็นลวดลายต่าง ๆ สวยงาม หรือที่เราเรียกกันว่า “Latte Art” แต่ไม่ได้มีเฉพาะกาแฟลาเต้เท่านั้น กาแฟชนิดอื่นที่มีนมผสมอยู่ ก็สามารถเติมลวดลายลงไปได้เช่นกัน
2
- คาปูชิโน (cappuccino)
ประกอบด้วย เอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมร้อนผ่านไอน้ำหรือนมสตรีม 1/3 ส่วน และนมตีโฟม 1/3 ส่วน ลอยอยู่ด้านบน ในสัดส่วนเท่า ๆ กัน มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี อีกหนึ่งเมนูซึ่งได้รับความนิยมรองจากลาเต้ เพราะมีส่วนผสมของนม ด้วยฟองนมนุ่มๆอยู่ด้านบนตัวกาแฟ โรยด้วยผงโกโก้ หรือผงซินนามอนเล็กน้อย ถือเป็นจุดเด่นของคาปูซิโนเลยทีเดียว ให้รสชาติที่นุ่มละมุน ทานง่าย รสชาติคล้ายลาเต้ แต่ตัวคาปูชิโนจะมีความเข้มกว่า
- มอคค่า (Mocha)
กาแฟมอคค่า เป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง ซึ่งปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมน กาแฟมอคค่ามีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต (แม้ว่าจะไม่มีส่วนประกอบของชอคโกแลตในมอคค่าเลยก็ตาม) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้กาแฟมอคค่าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ มอคค่า ยังหมายถึงเครื่องดื่มกาแฟซึ่งมี เอสเพรสโซ่ และ โกโก้ เป็นส่วนประกอบ เสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง
1
- อริกาโน หรือ อเมริกาโน (americano)
คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา สำหรับที่มาของชื่ออเมริกาโนซึ่งหมายถึงสหรัฐอเมริกานั้น ว่ากันว่าเอสเพรสโซเพียว ๆ นั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา จึงมีการเสิร์ฟกาแฟเอสเพรสโซซึ่งทำให้เจือจางด้วยน้ำร้อน แม้ที่มาของชื่อจะหมายถึงกาแฟสไตล์อเมริกา แต่อเมริกาโนก็มิได้เป็นกาแฟที่ชาวอเมริกานิยมดื่ม จนกระทั่งยุครุ่งเรืองของร้านกาแฟแฟรนไชส์ สตาร์บัคส์ ในปี พ.ศ. 2533 แต่ถึงกระนั้นอเมริกาโนก็ไม่จัดเป็นกาแฟที่ได้รับความนิยมมากนัก
4
- กาแฟขาว (white coffee)
เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ค้นพบที่เมืองเบรุต นิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย และนิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกาจะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง
- ด๊อปปิโอ (Doppio)
2
กาแฟสุดเข้มข้น โดยเพิ่มปริมาณการสกัด Espresso จาก Single shot เพิ่มเป็น Double shot กาแฟอุ่น ๆ แก้่วเล็กๆ ขนาดเพียง 2 ounce (60 มิลลิลิตร) แต่อัดแน่นด้วยความเข้มข้นสูง ถึงใจ เช่นเดียวกับการดื่ม Espresso (ซึ่งแตกต่างจากเครื่องดื่มแบบจิบชิลล์ๆ เมนูอื่นๆ ) รสชาติที่ดีของเครื่องดื่มประเภทนี้ จะมีอายุเพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาทีหลังจากการสกัด ( หลังเสิร์ฟ ) การดื่มให้อร่อยเริ่มด้วยการจิบเล็กๆ ก่อน เพื่อให้ลิ้นได้เริ่มสัมผัสกับรสชาติของ espresso (เหมือนการ introduction แนะนำให้ลิ้นกับกาแฟสุดจะเข้มข้นนี้ได้รู้จักกัน) (เพราะโดยธรรมชาติลิ้นจะมีกลไกป้องกันตัวเองอยู่) เมื่อรู้จักกันแล้ว... ลิ้นจะเปิดการรับรสชาติของการแฟในลำดับต่อ ๆ ไปเต็มที่ (เหมือนให้ลิ้นได้มีระยะเวลาทำใจและเปิดใจ) จากนั้นก็กระดก espresso กรึ๊บใหญ่ ๆ เพื่อให้มีปริมาณกาแฟฟุ้งกระจายและเติมเต็มที่ว่างในปากของเรา "เต็มปากเต็มคำ" หลังจากกระดกจนหมดแก้วแล้ว ด้วยความที่เป็นกาแฟสกัดเข้มข้น เราจะยังคงรับรู้ได้ถึงรสชาติที่ค้างอยู่ในปากของเรา นี่คือความ "ฟิน"
5
- เรดอาย (Red eye)
เป็นการนำน้ำกาแฟที่ได้จากการสกัดผ่านฟิลเตอร์โดยวิธีดริป หรือ Pour Over และราดด้วย ช๊อต Espresso ด้านบน เป็นเมนูที่ต้องบอกเลยว่าถ้าเป็นคนที่ไม่เคยดื่มคงได้ตื๊ดกันยาว ๆแน่นอน
- กาเลา (Galão)
เครื่องดื่มกาแฟร้อนที่มีต้นกำเนิดในโปรตุเกสนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับลาเต้ และคาปูชิโน่ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือนมที่มีฟองมากกว่าประมาณสองเท่าทำให้เป็นเครื่องดื่มที่เบากว่าเมื่อเทียบกับอีกสองชนิด
2
- ลุ่งโก่ (Lungo)
4
มากจากภาษาอิตาลีที่แปลว่า ยาว (long) วิธีการทำคือ การทำ espresso shot แต่ปล่อยให้น้ำไหลผ่านจนได้ปริมาณที่ต้องการเช่น 3-4 ออนซ์ (ลากน้ำกาแฟ) รสชาติกาแฟที่ได้จะมีความเข้ม ขม และฝาดมากกว่า กาแฟ americano และ long black เนื่องจากมีการสกัดกาแฟที่ใช้ระยะเวลานานกว่า
2
- มัคคียาโต (macchiato)
กาแฟที่มีรอยด่าง" หรือ "กาแฟที่ทำสัญลักษณ์ไว้" แต่เดิมนิยมใช้คำ มัคคียาโต กับการเทนมร้อนธรรมดาลงไปในกาแฟ ซึ่งทำให้เกิดรอยด่างหรือรอยเปื้อนในกาแฟนั้น ภายหลังเปลี่ยนมาใช้สื่อความถึงฟองนมซึ่งผู้ชงกาแฟหยอดลงไปเพื่อให้พนักงานเสิร์ฟเห็นความแตกต่างระหว่างเอสเปรสโซธรรมดากับเอสเปรสโซที่เติมนมลงไปเล็กน้อย กาแฟประเภทหลังจึง "ถูกทำสัญลักษณ์ไว้" ไว้ด้วยนมร้อนนั่นเอง
1
- ริสเทรตโต้ (Ristretto)
1
เป็นการสกัดช๊อตโดยใช้กาแฟ 8-10 กรัม สกัดน้ำกาแฟออกมา 22 ml ภายใน 20-30 วินาที โดยจะให้น้ำร้อนไหลผ่านผงกาแฟและค่อยๆสกัดน้ำกาแฟออกมาช้าๆแต่จะไม่ขาดสาย ซึ่งแน่นอนว่ารสชาติจะเข้มข้นกว่า Espresso ช๊อตปกติ
- อัฟโฟกาโต (affogato)
2
เป็นของหวานชนิดหนึ่งที่มีกาแฟเป็นส่วนประกอบพื้นฐาน โดยทั่วไปทำได้โดยตักเจลาโตหรือไอศกรีมกลิ่นรสวานิลลา 1 ช้อนควักใส่ถ้วย แล้วราดเอสเปรสโซร้อนลงไป 1 ช็อต เมื่อของหวานชนิดนี้มีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา
- กาเฟโอแล (Café au Lait)
กาเฟโอแลมีหน้าตาคล้ายกับกาแฟนมของอิตาลีซึ่งเรียกว่า คัฟเฟลลัตเต (caffellatte) ความแตกต่างหลัก ๆ ของกาแฟทั้งสองชนิดอยู่ที่ส่วนผสมและอัตราส่วน โดยคัฟเฟลลัตเตของอิตาลีจะใช้เอสเปรสโซซึ่งชงจากเครื่องชงเอสเปรสโซโดยเฉพาะ มีอัตราส่วนระหว่างเอสเปรสโซต่อนมร้อนอยู่ระหว่าง 1:3–1:5 ด้านบนจะเห็นฟองนมซึ่งได้จากการตีนมด้วยไอน้ำ ไม่นิยมเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อม ส่วนกาเฟโอแลโดยทั่วไปไม่ใช้เอสเปรสโซ แต่จะใช้กาแฟดำซึ่งชงด้วยวิธีหยดน้ำหรือวิธีต้ม ผสมกับนมที่อุ่นให้ร้อนในอัตราส่วน 1:1 อาจเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมก็ได้ รสชาติกาแฟที่ได้จึงเข้มน้อยกว่าคัฟเฟลลัตเต้
- กาแฟไอริช (Irish Coffee)
คือเครื่องดื่มที่ผสมผสานระหว่างกาเฟอีนและแอลกอฮอล์ได้อย่างลงตัวที่สุด!!
อุปกรณ์การชงกาแฟไอริชอาจจะไม่ได้ตระการตาเหมือนกาแฟชาติอื่น แต่ส่วนผสมทั้งหมดในกาแฟ 1 แก้วต่างหากที่น่าสนใจ โดยเริ่มต้นจากการใส่น้ำตาลทรายแดงลงไป ตามด้วยกาแฟดำ แล้วคนจนน้ำตาลละลาย ไฮไลต์เด็ดคือวิสกี้ช็อตที่ต้องเติมเป็นลำดับต่อมา (แนะนำว่าให้ใช้ไอริชวิสกี้จะเข้าท่าที่สุด) และท็อปด้วยครีมข้นเป็นขั้นตอนสุดท้าย แต่ห้ามคนโดยเด็ดขาด
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
#สาระจี๊ดจี๊ด #Wasabi #ความรู้ขึ้นสมอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา