27 ม.ค. 2019 เวลา 09:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
AR ความจริงเสมือนในโลกแห่งความจริง
สวัสดีวันอาทิตย์ครับท่านผู้อ่าน วันนี้ผมจะมาแนะนำเทคโนโลยี AR ครับ โดยถ้าพูดถึงช่วงที่ AR พีคที่สุดก็คงต้องพูดถึงเจ้าปิกาจู หรือเกม Pokemon Go ซึ่งออกในปี 2016 นั่นเองครับ ตอนช่วงนั้นนี่แลนด์มาร์คทั้งหลายจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ต้องการจับพวกโปเกม่อน โดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดเด่น อย่างพวกศาลพระภูมิ รูปปั้นขนาดใหญ่ ตอนนั้นก็แอบงงเหมือนกันครับว่าทำไมคนมาไหว้เจ้าที่กันเยอะมาก ที่แท้มาตั้งกลุ่มจับโปเกม่อนกันนี่เอง
เกมที่ส่งผลให้ผู้คนบนโลกรู้จักกับเทคโนโลยี AR
แต่เอาจริงๆแล้ว AR หรือ Augmented Reality แรกๆนี่ต้องย้อนกลับไปที่ปี 1992 โน่นเลยครับ ซึ่งตอนนั้นถูกนำมาใช้ใน U.S. Air Force ในส่วนของการฝึกอบรม นับว่ากว่าพวกเราจะมารู้จักกันอย่างแพร่หลายก็กินเวลาถึง 24 ปีเลยทีเดียว
จริงๆมีใช้ในกองทัพตั้งแต่ปี 92 แล้วครับ
จริงๆเงื่อนไขของการจะนำ AR เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ของภาพเสมือนจริงมาทาบกับภาพโลกแห่งความจริง มาใช้ไม่ได้ยากมากครับ แค่ต้องมี
(ใครยังงงคำอธิบาย AR อยู่รอไปดู VDO ได้เลยครับ อธิบายไปไม่สู้แสดงตัวอย่างครับ)
1.AR Code หรือ Marker เพื่อให้อุปกรณ์อ่าน เช่น แผ่นพับที่แสดงข้อมูลของเมรุมาศ
การใช้ AR ในลักษณะ Marker ที่ต้องส่องกล้องไปยังวัตถุครับ
2.การใช้ Sensor, GPS กำหนดสถานที่อ่าน เช่น Pokemon Go
3.Eye ของอุปกรณ์ก็คือกล้อง
4.Application เพื่อการแปลงข้อมูล
5.จอแสดงผล
พออ่านครบห้าข้อรวมๆกัน บอกได้คำเดียวว่า มันก็คือ Smartphone ในมือเรานี่เอง นี่ก็เลยเป็นสาเหตุหนึ่งที่กว่าเทคโนโลยีนี้เริ่มจะมาแพร่หลายก็เพราะมันขาดตัว Smart Device ที่สามารถพกติดตัวเดินไปมาได้อย่าง Smartphone ครับ
นอกจากเรื่องเกมที่เกริ่นไปกับ Pokemon Go แล้ววันนี้เราก็เลยอยากมาแนะนำรูปแบบการใช้อื่นๆที่ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว ซึ่งเท่าที่สังเกตในบ้านเราก็ยังถือว่ายังช้าอยู่สำหรับการนำเทคโนโลยี AR มาประยุกต์ใช้ จนกระทั่งทางผมได้ไปเห็นโฆษณาของ BTS (รถไฟฟ้า) ในส่วนการแนะนำ App. ในส่วนการทำป้าย AR บอกทางครับ ก็เลยจะถือโอกาสมาแนะนำ Use Case อื่นๆให้ท่านได้เห็นเพิ่มเติมครับ
มาดูเคสแรกกันเลยครับ ขอยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวก่อนครับ เคยไหมครับจะซื้อจำพวกของแต่งบ้าน แล้วต้องมากังวลว่าจะเข้ากับสไตล์บ้านเราไหม ถ้าเจอปัญหานี้ส่วนใหญ่ท่านทำยังไงกันครับ ถ้าให้ผมเดาก็คงใช้จินตนาการ บางคนก็ลองตัดรูปในหนังสือมาวาง หรือดีที่สุดก็ยืมของเพื่อนมาวางดู แต่โอกาสมันน้อยครับที่เพื่อนจะมีให้เรายืมทุกครั้งครับ
หมดปัญหาครับ แค่เอามือถือเปิด Application ของ Amazon แล้วเราเอามาวางจริงๆได้เลยครับ ลองดู VDO ประกอบครับ
เคสที่สอง เหมือนเคสแรกครับ แต่เป็นของใหญ่ครับ นั่นคือโซฟาครับ เคสนี้ปัญหาเยอะกว่าเคสแรกแน่นอนครับ เคสแรกนี่ซื้อผิดไป ผมว่าท่านยังหาทางไปวางมุมอื่นได้ หรือไม่ก็ทำใจกับเงินไม่มากเพราะเป็นของเล็ก แต่ถ้าโซฟา ซื้อผิดนี่ปวดหัวแน่นอน และเช่นเดิมเรามีตัวช่วยครับ ซึ่งคราวนี้เป็นส่วนของ IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังครับ
เคสสามครับ ไหนๆจะพูดถึงเรื่องตกแต่งบ้านแล้วจะไม่พูดเรื่องวัดขนาดเลยจะไม่ได้ครับ อันนี้ปัญหาคลาสสิคที่สุดตอนจะทำบ้านทำสำนักงานเลยครับกับการวัดขนาดพื้นที่ ให้ผมไล่ปัญหาให้ท่านฟังก่อนดีกว่าครับว่าท่านจะเจออะไรบ้างตอนวัดขนาด
อย่างแรก คลาสสิคสุดๆครับ อุปกรณ์ไม่มี เมื่อก่อนก็เคยซื้อเก็บไว้กันครับ แต่พอจะใช้วัดจริงหาไม่เจอครับ
อย่างที่สอง ส่วนใหญ่อุปกรณ์วัดขนาดมีอันเดียวครับ ทำให้งานวัดล่าช้าเพราะต้องต่อคิวกันวัดครับ
อย่างที่สามครับ การวัดขนาดที่ไม่ใช่พื้นที่สี่เหลี่ยมทำยากครับ ลองนึกดูครับ ห้องที่ไม่ใช่สี่เหลี่ยมเป๊ะๆ มีมุม มีหลืบหักไปมา แทนที่ท่านจะวัดสี่ทีจบ ท่านต้องมานั่งเปลี่ยนท่าวัดขนาดมุมเล็กๆเข้าไปอีก
อย่างที่สี่ ความสูงครับ วัดกว้างยาวมันยังใช้การเดินไปมาได้ครับ แต่วัดความสูงที่เราสูงไม่ถึงนี่ลำบากแน่ครับ
อย่างที่ห้า วัดปริมาตรครับ มันต่อเนื่องจากข้อที่สี่นั่นละครับ เพราะถ้าท่านวัดความสูงไม่ได้ก็วัดปริมาตรไม่ได้ แต่ที่ผมจะพูดถึงมันยากกว่านั้นครับ คือปริมาตรที่ไม่ใช่รูปกล่อง เช่นรูปทรงกระบอกครับ แค่คิดก็ยากแล้วครับ
เอาแค่ห้าข้อเบาะๆครับ แล้วผมขอเฉลยด้วย App. ใน VDO ครับว่ามันช่วยให้ปัญหาห้าข้อของท่านสลายไปเลย
อันนี้ไปโหลดมาใช้ได้นะครับ แต่ท่านต้องมี OS Version หลังๆหน่อยนะครับ ถ้า Smartphone ท่านไม่ได้ออกในช่วงปีสองปีนี้อาจหมดสิทธิ์ครับ
เคสที่สี่ ไปไกลตัวกันบ้างครับ เรื่องป้ายครับ อย่างที่ผมบอกตอนต้นไว้ว่าแรงบันดาลใจของบทความนี้เกิดจากการที่ผมไปเห็นป้าย AR ในโฆษณาของ BTS อันนั้นคือการทำให้เรามองป้ายผ่าน Smartphone ได้ครับ
ป้าย AR ของ BTS ไปโหลดมาใช้กันได้นะครับ เค้ากำลังโปรโมทอยู่
ซึ่งประโยชน์ก็คือท่านสามารถติดตั้งป้ายได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงพื้นผิว และการก่อสร้างว่าจะไปกีดขวางใครหรือไม่ เพราะมันเป็นแค่ป้ายเสมือนจริง แถมถ้าข้อมูลเปลี่ยนยังอัพเดทง่ายอีกด้วย ไม่ต้องจ้างใครมาปีนป่ายเพื่อแก้ไขครับ แต่ในส่วนที่ผมจะชี้ให้เห็นประโยชน์ก็คือเรื่องการอัพเดทข้อมูลนี่ละครับ เอาง่ายๆคือเรื่องภาษาครับ ในโลกนี้ภาษาหลักเยอะมากๆครับ เอาแค่นับเล่นๆก็มี อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี นับเร็วๆก็ได้หกแล้วครับ ถ้าต้องใส่ข้อมูลภาษาหกแบบลงไปในป้ายเดียวกัน แสดงว่าป้ายของท่านต้องมีขนาดใหญ่กว่าเดิมหกเท่าครับ แต่ช้าก่อนครับ ท่านเคยอ่าน Website ที่มีหลายภาษาไหมครับ ถ้าท่านอยากอ่านภาษาอื่นก็เอาเมาส์ไปคลิกที่ธงชาตินั้นๆใช่ไหมละครับ นั่นละครับที่เราจะทำกับ AR ลองไปดู VDO กันครับ
เคสสุดท้ายแล้วครับ เอาเรื่องใกล้ตัวมาเขียนไปเยอะแล้ว ขอเขียนเรื่องไกลตัวบ้างครับ AR ไม่ได้ใช้ได้แต่เรื่องเกมหรือเรื่องภายในบ้านนะครับ สถานที่อย่างโรงงานก็ปรับมาใช้ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการจำลองการก่อสร้าง การใส่ Manual ไว้กับอุปกรณ์โดยทางผู้ซ่อมบำรุงไม่จำเป็นต้องพกคู่มือเข้าไป และยังป้องกันการเปิดหน้าผิดอีกด้วย หรือจะใช้ในการฝึกอบรมการซ่อมบำรุงเพื่อให้เห็นภาพเลยก็เยี่ยมมากครับ ดีกว่านั่งฟังหัวหน้างานอธิบายเรื่องหมุนซ้าย หมุนขวา ที่สำคัญประหยัดแรงงานคนสอนได้เยอะเลยครับ เพราะจริงๆพนักงานพวกนี้เค้ามีพื้นฐานดีอยู่แล้ว แค่แสดงตัวอย่างให้ก็พอครับ มาดู VDO สุดท้ายกันเลยครับ
จบแล้วครับ บทความนี้ VDO ประกอบจะเยอะหน่อยครับ เพราะเป็นการแนะนำเทคโนโลยี และ Use Case จะใช้วิธีการบรรยายก็จะทำให้ไม่เห็นภาพและยากแก่การเข้าใจครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นการเพิ่มเติมข้อมูล AR สำหรับท่านนักอ่าน โดยบางท่านอาจลองกลับไปใช้กับสิ่งใกล้ๆตัว เช่น การวัดขนาด แต่ถ้าท่านใดเป็นระดับผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการก็ลองพิจารณาการใช้ในโรงงานดูก็จะทำให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้นครับ ;-)
อ้างอิง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา