2 ก.พ. 2019 เวลา 05:39 • ประวัติศาสตร์
Titanic ตำนานของเรือที่ไม่มีวันจม ตอนที่ 3
ปิดตำนานเรือที่ไม่มีวันจม
ในวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) นั้น ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ ไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดหายนะขึ้นกับเรือ การเตรียมซ้อมอพยพในกรณีฉุกเฉินที่ได้เตรียมการไว้ตั้งแต่ทีแรกก็ได้ถูกยกเลิกไป
ในวันนี้ Titanic ได้รับวิทยุโทรเลขเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งในเส้นทางเดินเรือถึง 7 ครั้ง จากเรือหลายลำ แต่เนื่องจากเหล่าพนักงานวิทยุโทรเลขกำลังวุ่นอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้แก่ผู้โดยสาร ข้อความเตือนเหล่านั้นจึงค่อนข้างล่าช้าและไม่ได้รับการสนใจมากนัก
1
เวลา 21.45 น. วิทยุโทรเลขได้ส่งมาเตือนเรือ Titanic อีกครั้ง ถึงภูเขาน้ำแข็งที่ขวางทางอยู่ข้างหน้า แต่เช่นเดิมครับ พนักงานวิทยุโทรเลขกำลังยุ่งอยู่กับการส่งวิทยุโทรเลขให้ผู้โดยสาร จึงไม่ได้ส่งข้อความนั้นให้แก่กัปตัน
1
เวลา 22.45 น. อุณหภูมิภายนอกเรือลดลงอย่างมาก แทบจะถึงจุดเยือกแข็ง เหล่าผู้โดยสารที่อยู่บนดาดฟ้าจึงกลับเข้าไปในห้องพักโดยไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
22.50 น. เรือ Californian ได้ส่งสัญญาณเตือน Titanic ว่า Californian ต้องหยุดเรือเนื่องจากถูกล้อมรอบด้วยน้ำแข็ง ให้ Titanic ระวัง แต่สายไปเสียแล้ว
เวลาประมาณ 23.39 น. เวรยามที่เสากระโดงเรือซึ่งกำลังง่วงอยู่นั้น ฉับพลันก็ตาสว่างทันทีครับ สิ่งที่พวกเขาพบอยู่ข้างหน้าคือภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมา จึงรีบส่งสัญญาณแจ้งเจ้าหน้าที่และกัปตันเรือทันที ลูกเรือจึงรีบเลี้ยวหลบภูเขาน้ำแข็ง แต่เนื่องจากใบจักรและหางเสือนั้นมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดเรือ ทำให้หลบไม่พ้น และทางด้านขวาของเรือนั้นก็ชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งอย่างจัง
ภูเขาน้ำแข็งลูกที่เชื่อกันว่า Titanic ชนจนอับปาง
ในขณะที่เรือชนกับภูเขาน้ำแข็งนั้น บนเรือมีการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ผู้โดยสารส่วนใหญ่ก็รู้สึกได้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะเชื่อว่ายังไง Titanic คือเรือที่ปลอดภัยที่สุดในโลก และนอนต่ออย่างสบายใจ
แต่สำหรับกัปตันและเหล่าลูกเรือนี่สิครับ ทุกคนจากที่ง่วงก็ตาสว่างเป็นปลิดทิ้ง รีบมาตรวจความเสียหาย วิศวกรรายงานว่าเรือได้ชนกับภูเขาน้ำแข็งทางด้านกราบขวาของหัวเรือ ซึ่งเป็นจุดอ่อนทนรอยแตกได้ไม่ทนทานเท่าจุดอื่นๆ และห้องเครื่องส่วนหัว 5 ห้องเครื่องแรกก็เกิดรอยรั่ว ซึ่งวิศวกรบอกว่า หัวเรือเป็นจุดอ่อนที่สุดในเรือที่สามารถรับรอยแตกต่อเนื่องจากหัวเรือได้ 4 ห้อง ไม่ใช่ 5 ห้องดังที่เป็น ดังนั้นน้ำจะท่วมห้องเครื่องทั้งห้าสูงขึ้นเรื่อยๆ และล้นกำแพงกั้น
1
Thomas Andrews ผู้ออกแบบ Titanic ซึ่งเขาภูมิใจนักหนาและเป็นคนเอ่ยปากว่า Titanic นั้นไม่มีวันจม เมื่อเห็นสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น จึงได้แต่ยอมรับเสียงอ่อย บอกว่าเรือกำลังจะจมในอีกไม่กี่ชั่วโมง
Thomas Andrews
เมื่อกัปตันและลูกเรือทุกคนทราบถึงชะตากรรมของเรือ สิ่งที่พวกเขาต้องรีบทำต่อไป
อพยพผู้โดยสารลงเรือชูชีพให้เร็วที่สุด
ในเวลานั้น คือเวลาเที่ยงคืน น้ำเริ่มท่วมห้องพักของผู้โดยสารชั้นสาม ทำให้เริ่มลือกันว่าเรือจะจม แต่ไม่มีคนเชื่อมากนัก และอีกไม่กี่นาทีต่อมา กัปตัน Edward John Smith ได้สั่งการให้เตรียมเรือชูชีพโดยด่วน พร้อมทั้งส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือรวมทั้งสั่งให้ปลุกผู้โดยสารทุกคน และให้ไปรวมกันที่ดาดฟ้าเรือ
1
ผู้โดยสารที่ขึ้นมารวมกันที่ดาดฟ้าเรือนั้น ส่วนมากก็ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เข้าใจว่าเป็นแผนการฝึกเผื่อเหตุฉุกเฉินเท่านั้น ต่างหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่สำหรับกัปตันนี่ไม่สนุกเลยครับ เฝ้ารอสัญญาณช่วยเหลืออย่างใจจดใจจ่อ ราว 10 นาทีต่อมา เรือ RMS Carpathia ของ Cunard Line คู่แข่งของ White Star Line เจ้าของ Titanic ก็ได้ตอบกลับมาว่าได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือแล้ว ขณะนี้กำลังเร่งเครื่องเต็มพิกัด จะไปถึง Titanic ภายใน 4 ชั่วโมง
1
RMS Carpathia
ดูเหมือนจะดีใช่มั้ยครับ แต่ปัญหาคือ 4 ชั่วโมงมันนานไปครับ เรืออยู่ได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมงแน่ กัปตันจึงต้องหาทางช่วยเหลือผู้โดยสารและลูกเรือ ระหว่างที่รอ Carpathia
0.25 น. กัปตันสั่งให้อพยพผู้หญิงและเด็กลงเรือชูชีพ แต่เนื่องจากลูกเรือขาดความเชี่ยวชาญ เนื่องจากไม่ได้ซ้อมเต็มที่ จึงทำให้กะไม่ถูกว่าเรือหนึ่งลำนั้นจะจุผู้โดยสารได้มากแค่ไหน จึงปล่อยเรือชูชีพออกโดยที่ยังจุคนไม่เต็มที่ ทำให้เรือชูชีพที่ถูกออกแบบมาให้ช่วยชีวิตคนได้ 1,178 คนนั้น กลับรับผู้โดยสารเพียง 710 คนเท่านั้น
ภาพจากภาพยนตร์
ตอนนี้ผู้โดยสารเริ่มจะไม่ขำแล้วครับ พอเห็นเรือชูชีพถูกปล่อยออกไป ผู้โดยสารเริ่มจะคิดได้แล้วครับว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ จึงยื้อแย่งกันจะขึ้นเรือชูชีพ ผู้โดยสารชายบางคนถึงขนาดเอาผ้าคลุมหัวผู้หญิงมาใส่เพื่อปลอมเป็นผู้หญิง จะได้ขึ้นเรือชูชีพ เนื่องจากกัปตันสั่งให้เด็กและผู้หญิงไปก่อน
ในเวลานี้เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างต้องเผชิญความกดดัน เนื่องจากผู้โดยสารด่าทอ แย่งกันจะลงเรือชูชีพให้ได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องถือปืนขึ้นขู่ ไม่ให้ใครแย่งลงเรือชูชีพ
ถึงแม้จะโกลาหล แต่ก็มีสุภาพบุรุษหลายคนเสียสละให้เด็กและสตรีไปก่อน ดังเช่น Isidor Straus มหาเศรษฐีเจ้าของห้าง Macy’s ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น เขาปฏิเสธที่จะลงเรือชูชีพ ไม่ขอใช้อภิสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น ให้เด็กและผู้หญิงไปก่อน ส่วนภรรยาของเขาก็ไม่ขอลงเรือชูชีพ ขออยู่กับสามีตน ตายก็ตายด้วยกัน
2
Isidor และ Ida Straus ภรรยา
Isidor และ Ida Straus จากภาพยนตร์ Titanic (1997) ภาพยนตร์ได้ใส่ฉากนี้เพื่ออุทิศให้เศรษฐีผู้เสียสละและภรรยาผู้ซื่อสัตย์
อีกรายหนึ่งที่น่ายกย่องคือ John Jacob Astor IV มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดบน Titanic อันที่จริงเขาจะรอดแล้ว โดยเขาได้ขึ้นมานั่งบนเรือชูชีพร่วมกับภรรยาแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นเด็กสองคนกำลังยืนตาละห้อย ตัวสั่นด้วยความกลัว เท่านั้นเองครับ เขาก็รีบลุกจากเรือชูชีพและสั่งให้เด็กสองคนนั้นมาขึ้นเรือชูชีพแทนเขา ส่วนตัวเขาเองนั้น จะรอลงเรือลำต่อไปกับคนอื่นๆแทน พร้อมกับให้สัญญากับภรรยาว่าจะรอดกลับมาเจอเธอ โดยไม่รู้เลยว่า การเสียสละในครั้งนี้ เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับภรรยา บางทีคนรวยๆ ก็ใช่ว่าจะนิสัยแย่ทุกคนนะครับ
1
John Jacob Astor IV
John Jacob Astor IV จากภาพยนตร์ Titanic (1997)
ในเวลานั้น เจ้าหน้าที่ต่างยิงพลุขอความช่วยเหลือขึ้นฟ้าทุกๆ 10 นาที ซึ่งเรือลำอื่นก็เห็นนะครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงไม่มาช่วย Titanic
2
1.15 น. น้ำเริ่มท่วมมิดหัวเรือ ทำให้ผู้โดยสารเริ่มตื่นตระหนก และเหตุการณ์ยิ่งวุ่นวายมากขึ้น เรือชูชีพต่างรีบปล่อยออกอย่างรีบร้อน ในเวลานั้นนักดนตรีก็ได้แสดงความกล้าหาญออกมาครับ พวกเขาทำหน้าที่บรรเลงเพลงขับกล่อมผู้โดยสารต่อไปครับ ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก พวกเขาบรรเลงจนวินาทีสุดท้าย เพลงสุดท้ายที่บรรเลงเป็นเพลงช้าในชื่อ “Nearer, My God, to Thee” หรือแปลว่า “ใกล้ชิดพระเจ้า” ซึ่งเป็นเพลงที่คริสต์ศาสนิกชนใช้ร้องเพื่อแสดงความไว้อาลัย
2.05 น. เรือชูชีพได้ถูกปล่อยออกไปหมดแล้ว แต่ยังเหลือคนมากกว่า 1,500 คนตกค้างอยู่บนเรือ ที่ซวยที่สุดคือผู้โดยสารขั้นสามครับ เหลือผู้โดยสารชั้นสามที่ตกค้างอยู่ในห้อง ไม่ได้ออกมาตามที่กัปตันสั่งทีแรก เนื่องจากห้องพักชั้นสามนั้นอยู่ชั้นล่าง ผู้โดยสารในชั้นนี้จึงติดอยู่ในห้องและถูกน้ำสกัดไว้ ออกมาไม่ได้จนเสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ที่อยู่บนเรือชูชีพได้นำเรือชูชีพทุกลำ ออกห่างจากตัวเรือ Titanic ให้ไกลที่สุด เพราะ Titanic นั้น กำลังจมอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้เกิดแรงดูดของน้ำบริเวณใกล้ลำเรือซึ่งอาจจะดูดเรือชูชีพจมลงไป อีกทั้งเหล่าผู้ที่โดดลงมาจาก Titanic อาจจะตื่นตระหนก รีบว่ายเข้าหาเรือชูชีพและแย่งกันขึ้นเรือ อาจทำให้เรือล่มได้ เหล่าเจ้าหน้าที่จึงพยายามนำเรือชูชีพออกไปให้ไกลที่สุด และน้ำทะเลในบริเวณดังกล่าวเย็นเกือบเป็นน้ำแข็ง ดังนั้น ผู้ที่ตัดสินใจโดดลงมาจาก Titanic แล้วว่ายไปขึ้นเรือชูชีพ ส่วนใหญ่จึงมักจะเกิดอาการช็อกและแข็งตายก่อน
2.20 น. Titanic ได้ดำดิ่งลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก โดยในตอนแรกนั้น ส่วนใหญ่เชื่อว่าเรือนั้นจมดิ่งลงในแนวตั้ง ไม่ได้หักออก แต่จากซากเรือที่พบในภายหลัง ทำให้ทราบว่าเรือนั้นได้หักออกเป็นสองท่อนก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นสมุทร
1
3.00 น. เสียงหวีดร้องได้เงียบลง เจ้าหน้าที่ได้นำเรือชูชีพเข้าไปช่วยผู้ที่ลอยคออยู่ในทะเล แต่ส่วนใหญ่ตายหมดแล้ว สามารถช่วยผู้ที่ลอยอยู่ในทะเลได้เพียง 11 คนเท่านั้น
4.10 น. RMS Carpathia ได้เข้าไปช่วยเหลือผู้รอดชีวิตบนเรือชูชีพ เป็นอันปิดตำนานเรือ Titanic เรือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น
1
ผู้รอดชีวิตจาก Titanic กำลังได้รับความช่วยเหลือจาก RMS Carpathia
ตอนต่อไป ผมจะเล่าต่อถึงเหตุการณ์หลังจากที่ Titanic จมแล้ว การสืบสวน การเยียวยาผู้รอดชีวิต และปฏิกิริยาของทั่วโลกต่อข่าวดังข่าวนี้
ติดตามตอนต่อไปนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา