21 ก.พ. 2019 เวลา 06:11 • ความคิดเห็น
บิล เกตส์ และ สตีฟ จ็อบส์ ในแง่มุมที่น่าสนใจ
ทั้ง สตีฟ จ็อบส์ และ บิล เกตส์ ต่างสร้างผลงานที่โดดเด่นในโลกของคอมพิวเตอร์และไอที จนเรียกได้ว่าเป็นฮีโร่คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ผู้คนมักศรัทธาในความสามารถของ สตีฟ จ็อบส์ ด้วยภาพลักษณ์การสร้างผลงานอันชาญฉลาดของของเขามากกว่า
ต่างจาก บิล เกตส์ ที่มีภาพของชายผู้ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่หากศึกษาเรื่องราวของทั้งสองจะพบว่ามีทั้งด้านมืดและด้านสว่างที่น่าสนใจปนเปกันอยู่
สตีฟ จ็อบส์ และ บิล เกตส์ เกิดในปีเดียวกันคือปี 1955 อันเป็นยุคแรกเริ่มของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทั้งสองอยากเป็นผู้บุกเบิกและผู้นำของยุค ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนต่อกัน เรียกได้ว่า เป็นทั้งศัตรู คู่แข่งขัน รวมถึงพันธมิตร ในเวลาเดียวกัน
ถ้านำสองคนนี้มาเปรียบเทียบกันแล้วเราจะเห็นว่า สตีฟ จ็อบส์ โดดเด่นมากในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ถึงแม้เขาจะไม่มีความรู้ทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ดีพอ แต่เขาฉลาดในการหาผู้ร่วมงานที่มีความสามารถ มาช่วยสร้างจินตนาการของเขาให้เป็นจริงได้
การใช้ชีวิตของจ็อบส์ออกแนวโลดโผน มีทั้งเรื่องผู้หญิงเรื่องยา จ็อบส์ค่อนข้างเป็นคนขี้หงุดหงิดขี้โวยวายเก็บอารมณ์ไม่เก่ง แต่เขาก็รู้จักใช้หลักของการทำสมาธิและการฝึกสติแบบพุทธมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต การควบคุมอารมณ์ และการมองโลก จ็อบส์ศรัทธาในวิถีแบบพุทธถึงขนาดเดินทางแสวงบุญที่อินเดียอยู่ระยะหนึ่ง รวมถึงการไปเข้าคอร์สฝึกสติและสมาธิอีกหลายครั้ง
ส่วน บิล เกตส์ จะมีวิสัยทัศน์ในการมองเกมที่ชาญฉลาด รวมถึงความรักและเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์เป็นอย่างมาก เขาไม่ใช่คนมีจินตนาการล้ำเลิศอย่าง สตีฟ จ็อบส์ แต่เขาสามารถนำความรู้ที่มีมาต่อยอดเป็นธุรกิจได้โดยไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหาเงินทุน จนสามารถเป็นผู้คุมเกมในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ได้ในที่สุด
ในวันที่เกตส์กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก และก็เหมือนคนรวยทั่วไปที่ไม่รู้จักพอ เขาต้องการชนะในทุกๆ เกม เพื่อรักษาความเป็นที่หนึ่งไว้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งหลังจากเขาผ่านมรสุมลูกใหญ่ในชีวิตจากคดีผูกขาดทางการค้า เขากลับสามารถตัดความโลภตรงนี้ได้ และกลายมาเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลที่เขารวยจนไม่รู้ว่าจำเป็นจะต้องมีเงินมากกว่านี้อีกทำไม หรือจากจุดพลิกผันในชีวิตที่ทำให้เขาคิดได้ว่า ความรวยที่มาจากความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ทำให้เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเป็นผู้ที่ถูกเกลียดชังมากที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน
เกตส์โชคดีที่มีพื้นฐานครอบครัวที่อบอุ่นและมีฐานะ ต่างจากจ็อบส์ ที่เป็นเด็กกำพร้าถึงแม้เขาจะได้รับความรักจากพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเขามา แต่ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนในหลายๆ ด้าน ดูเหมือนจ็อบส์จะอยู่บนโลกใบนี้โดยปราศจากความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อผู้คนที่อยู่รอบข้าง และแข็งกระด้างเย็นชาต่อทุกสิ่ง ยกเว้นจินตนาการที่ไม่มีวันจบสิ้นของเขา
ต่างจากเกตส์ที่นอกจากจะรักและหลงใหลในเทคโนโลยีแล้ว ครอบครัวยังเป็นสิ่งที่เขารักและให้ความสำคัญ จากข้อมูลหลายช่วงจะเห็นว่าพ่อกับแม่คอยเตือนให้เขาเดินไปในแนวทางที่ควรเสมอ โดยเฉพาะจดหมายสุดท้ายที่แม่เขียนให้เขาก่อนเสียชีวิตที่ว่า
“ใครก็ตามที่ได้รับอะไรไปจากโลกมากๆ โลกก็คาดหวังว่าเขาควรจะคืนให้ในอัตราที่ไม่มากหรือน้อยไปกว่ากัน”
ปัจจุบันเราจึงได้เห็น บิล เกตส์ ในวัย 60 ปี ผู้ที่เคยเป็นเด็กหนุ่มผู้มีความมุ่งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยว และความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุดในการทำงาน จนพาตัวเองกลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก และทำทุกอย่างเพื่อรักษาความร่ำรวยนั้นไว้จนใครๆ มองเขาเป็นเหมือนซาตาน กลับบริจาคเงินให้กับการกุศล ทั้งด้านสาธารณสุข และการศึกษา เงินจำนวนมหาศาลที่เขาหามาได้ ถูกส่งคืนให้สังคม
1
และที่เป็นข่าวใหญ่อีกเรื่องคือเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขากับเพื่อนซี้ต่างวัยอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ร่วมกันตั้งโครงการ The Giving Pledge หรือโครงการ “สัญญาว่าจะให้” โดยการชักชวนมหาเศรษฐีจากทั่วโลกร่วมกันมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อการกุศลก่อนหรือหลังการล่วงลับจากโลกนี้ไป ว่ากันว่าเขาลงทุนเดินทางไปชักชวนเพื่อนเศรษฐีจากทั่วโลกด้วยตัวเองเลยทีเดียว ไม่ว่านี่จะเป็นการเอาจริงหรือสร้างภาพคงต้องดูกันต่อไป แต่นับได้ว่ามันเป็นความคิดที่ดีทีเดียว
อีกเรื่องที่น่ายกย่องสำหรับเกตส์ คือแนวคิดในการเลี้ยงลูก อย่างที่รู้กันอยู่ว่าเขาไม่ได้ยกทรัพย์สินทั้งหมดที่หามาได้ให้ลูก หากแต่เพียงแบ่งให้บางส่วนที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเท่านั้น
โดยเกตส์ให้เหตุผลว่าหากยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ลูก ถือเป็นการให้ในทางที่ผิด เพราะมันจะไม่ดีต่อตัวลูกเองและสังคม เขาปลูกฝังให้ลูกๆ รู้จักหาเงินตามวิถีทางของตัวเอง แต่น่าสังเกตว่า เกตส์ให้ลูกอย่างเต็มที่ในด้าน การศึกษา เนื่องจากเขามองว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ
บิล เกตส์ ในวัยที่ผ่านอะไรมามาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนใจคำสอนตามหลักศาสนาพุทธแบบจ็อบส์ แต่เขาก็ยอมรับว่าเริ่มสนใจการฝึกสมาธิตามวิถีทางแห่งพุทธ เช่นเดียวกัน สตีฟ จ็อบส์
และในปี 2018 เกตส์ยังแนะนำหนังสือ The Headspace Guide to Meditation and Mindfulness ของ Andy Puddicombe อดีตนักบวชในศาสนาพุทธที่หันมาสอนการทำสมาธิ
บิล เกตส์ สนใจเรื่องการทำสมาธิถึงขนาดเรียกให้ Andy Puddicombe มาสอนเขา และภรรยารวมถึงลูกๆ ของเขาที่บ้าน และยังแบ่งเวลาถึงสัปดาห์ละ 2-3 วันสำหรับการฝึกสมาธิอีกด้วย
บิล เกตส์ ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างเรียบง่ายและมีความสุข ส่วน สตีฟ จ็อบส์ หลังจากสร้างนวัตกรรมมากมายไว้บนโลก กลับต้องจากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยวัยเพียง 56 ปีในวันที่ 5 ตุลาคม 2011 หลังจากที่แอปเปิ้ล ประกาศเปิดตัว iPhone 4s ได้เพียงวันเดียว ด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน ที่ตรวจพบตั้งแต่กลางปี ค.ศ. 2004 ถึงแม้เขาจะพยายามรักษาและสามารถยื้อชีวิตไว้ได้ถึง 7 ปีก็ตาม
จ็อบส์ มีความสุขอยู่กับการทำงาน จนลืมดูแลชีวิตตัวเองและครอบครัว เรียกได้ว่า จ็อบส์ แทบจะไม่มีโอกาสใช้เงินที่เขาหามาได้ หรือบริจาคมันเพื่อทำประโยชน์ในด้านใดแก่สังคมเลย นอกจากนวัตกรรมอันล้ำค่ำในโลกไอที และภาพยนตร์แอนนิเมชั่นที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนจากค่ายพิกซาร์ ที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็สัมผัสได้ถึงจิตนาการ ความฝัน และจิตวิญญาณของเขา
ด้วยความที่ธุรกิจของทั้งสองมีความทับซ้อนกันในบางกรณี จึงทำให้หลายคนคิดว่าทั้งเกตส์และจ็อบส์เป็นศัตรูกัน แต่ที่จริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาด บางครั้งก็ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ในบางกรณีก็ช่วยเหลือกันอย่างไม่มีเงื่อนไข
เกตส์เคยเขียนไว้ในหนังสือ The Road Ahead หนังสือที่เขาแต่งขึ้นในปี 1995 ว่าการได้มีโอกาสร่วมมือกับจ็อบส์ในการพัฒนาระบบแมคอินทอชนั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานมาก จ็อบส์มองเห็นภาพในทางวิศวกรรมและการออกแบบได้อย่างน่าอัศจรรย์ อีกทั้งจ็อบส์ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี
ก่อนที่สตีฟ จ็อบส์ จะเสียชีวิต บิล เกตส์ ยังไปเยี่ยมและใช้เวลาพูดคุยกันหลายชั่วโมง เพื่อรำลึกถึงอดีต เกตส์บอกกับผู้ที่สงสัยในการไปของเขาว่า...มันไม่ได้เป็นไปเพื่อสร้างสันติหรือสงบศึก เพราะเขาทั้งสองไม่เคยมีเรื่องทะเลาะหรือบาดหมางกัน ต่างคนต่างพยายามสร้างสิ่งประดิษฐ์ชั้นยอดขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนเป็นการแข่งขันแต่นั้นกลับเป็นเรื่องดีที่ทำให้โลกมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
ทั้งสตีฟ จ็อบส์ และบิล เกตส์ คงเป็นเหมือนเทพเจ้าที่มีชีวิตของชาวอเมริกาที่มีความเป็นมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง ในตัวเอง การที่เราได้ศึกษาเรื่องของพวกเขาอาจให้เราได้รับแง่คิดและแรงบันดาลใจหลายๆ อย่างไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงาน
1
หลังจากจบเรื่องราวของ บิล เกตส์แล้ว ไม่ได้หายไปไหนนะคะ เป็นโรคภูมิแพ้กรุงเทพอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะหาย หลังจากนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายให้ต้องเข้าไปจัดการ
💓ฝากกดไลค์📌กดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา