16 มี.ค. 2019 เวลา 06:00 • ประวัติศาสตร์
ฮอลลีวู้ด อุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก ตอนที่ 3
การถือกำเนิดของเหล่าบิ๊กเบิ้มแห่งโลกภาพยนตร์
1
ในเวลานั้น The Squaw Man ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เกิดการสร้างภาพยนตร์ตามมาอีกมากมาย
หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่งคือดี ดับเบิ้ลยู กริฟฟิท (D.W.Griffith)
ดี ดับเบิ้ลยู กริฟฟิท (D.W.Griffith)
กริฟฟิทเป็นผู้กำกับหนังสั้นที่ย้ายมาจากนิวยอร์ก และมาลงหลักปักฐานที่ฮอลลีวู้ด
ในปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) กริฟฟิทได้กำกับภาพยนตร์มหากาพย์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Birth of a Nation
The Birth of a Nation มีความยาวถึงสามชั่วโมง เป็นเรื่องราวของสองครอบครัว โดยครอบครัวหนึ่งนั้นอยู่ทางเหนือ ส่วนอีกครอบครัวมาจากทางใต้ หนังจะดำเนินเรื่องตั้งแต่ช่วงสงครามกลางเมืองจนสงครามจบ และหนังยังสร้างความแปลกใหม่ด้วยการดำเนินเรื่องผ่านตัวละครเดิมหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ซึ่งในยุคนั้นไม่มีใครทำมาก่อน
1
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างอย่างยิ่งใหญ่อลังการครับ ฉากรบก็ใช้ตัวประกอบนับร้อย รวมทั้งกริฟฟิทยังใช้เทคนิคการถ่ายแบบโคลสอัพ ถ่ายระยะไกล รวมทั้งให้นักแสดงซ้อมบทของตนก่อนถ่ายจริง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็นับว่าเป็นความแปลกใหม่มากสำหรับยุคนั้นครับ
The Birth of a Nation (1915)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1915 (พ.ศ.2458) และทำเงินอย่างถล่มทลาย มากกว่าหนังทุกเรื่องที่เคยฉาย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินไปได้ 1.8 ล้านดอลลาร์ หากคิดเป็นค่าเงินในปัจจุบันจะเท่ากับ 1.8 พันล้านดอลลาร์
ภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากจะประสบความสำเร็จด้านรายได้แล้ว ยังทำให้ลิลเลียน กิช (Lillian Gish) นักแสดงนำของเรื่อง กลายเป็นซุปตาร์แห่งยุคหนังเงียบในทันที
ลิลเลียน กิช (Lillian Gish)
แต่ The Birth of a Nation ก็ต้องประสบปัญหาเดียวกับ The Squaw Man ครับ
หนังเรื่องนี้โดนกล่าวหาว่าเหยียดผิว เนื่องจากภาพยนตร์มีการใส่ฉากที่ละเอียดอ่อนหลายฉาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทให้ตัวละครที่เป็นสมาชิก Ku Klux Klan กลุ่มที่เหยียดคนผิวดำ เขียนบทให้ตัวละครตัวนี้เป็นคนดี และในหนังก็ไม่มีคนผิวดำจริงๆ มาแสดงมากเท่าไร ตัวละครที่เป็นคนผิวดำนั้น ก็ให้คนผิวขาวมาแต่งหน้าเป็นคนผิวดำ
กลุ่มที่ปกป้องสิทธิต่างๆ จึงออกมาต่อต้านหนังเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องที่กล่าวไปนั้นก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและจุดประกายให้นักแสดงและผู้กำกับหลายคน มุ่งหน้ามาตามล่าฝันในฮอลลีวู้ด รวมทั้งเหล่านักธุรกิจ ก็มุ่งมาฮอลลีวู้ดเพื่อสร้างบริษัทและสตูดิโอภาพยนตร์ของตน
ฮอลลีวู้ดเริ่มเติบโตและมีเงินไหลสะพัดมหาศาล
หนึ่งในนักธุรกิจที่โดดเด่นคนหนึ่งคือลูอิส บี เมเยอร์ (Louis B. Mayer) เขาเป็นนักธุรกิจเจ้าของโรงภาพยนตร์หลายแห่งในนิวอิงแลนด์ และก็เป็นเจ้าของบริษัทเช่าหนังให้แก่โรงภาพยนตร์อีกด้วย
ลูอิส บี เมเยอร์ (Louis B. Mayer)
เมเยอร์ได้ซื้อสิทธิการเช่าภาพยนตร์เรื่อง The Birth of a Nation เขายังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่เขาก็รู้ว่าหนังต้องทำเงินมหาศาล เท่านั้นเองครับ เมเยอร์ก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา
เขาน่าจะหาช่องทางทำเงินทางอื่นได้สิ
ค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) เมเยอร์ได้ตั้งบริษัทตัวแทนศิลปินขึ้นมา ชื่อว่า Metro Pictures Corporation จากนั้นเขาก็จัดการหาผู้กำกับ นักเขียนบท นักแสดง และจัดการให้คนเหล่านี้เซ็นสัญญากับบริษัทของเขา
ค.ศ.1924 (พ.ศ.2467) บริษัทของเขาได้กลายเป็นสตูดิโอสร้างหนังอย่างเต็มตัว เขาจึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น MGM และย้ายบริษัทไปทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย
MGM นับว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่แห่งหนึ่งครับ มีการเซ็นสัญญากับทีมงานในการสร้างหนังทุกส่วน ทั้งผู้กำกับ นักแสดง นักเขียนบท ช่างแต่งหน้า คนทำฉาก ช่างไฟ ตากล้อง ทุกคนถูกจับเซ็นสัญญาหมด
อีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างตำนานคืออดอล์ฟ ซูคอร์ (Adolph Zukor)
อดอล์ฟ ซูคอร์ (Adolph Zukor)
เขาเป็นนักลงทุนที่เห็นอนาคตในธุรกิจภาพยนตร์ ปีค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) เขาจึงเดินทางมาแคลิฟอร์เนียและก่อตั้งบริษัทพาราเมานท์ พิกเจอร์ (Paramount Pictures)
พาราเมานท์นอกจากจะผลิตภาพยนตร์แล้ว ยังผลิตการ์ตูนดังอีกมากมายเช่นเบตตี้ บูป ป๊อปอาย
Paramount Pictures
เบตตี้ บูป
ป๊อปอาย
ซูคอร์เป็นคนแรกๆ ที่เชื่อในเรื่องของ “พลังดารา” ตัวแทนของเขาจะทำการเฟ้นหานักแสดงที่มีแวว และจับเซ็นสัญญากับ พาราเมานท์ สัญญามีอายุ 7 ปี
เมื่อดาราได้เซ็นสัญญาแล้ว จะไม่สามารถไปแสดงหนังให้กับสตูดิโออื่นได้ ยกเว้นจะทำเรื่องขอยืมดารากับซูคอร์ ในช่วงแรกนั้น ดาราที่เซ็นสัญญาก็โอเคครับ มีหนังให้เล่นแน่นอน แต่พอผ่านไป เหล่านักแสดงที่มีความสามารถ เริ่มจะดังก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะไม่สามารถไปเล่นให้ที่อื่นได้ ถึงแม้ที่อื่นจะให้บทดีกว่า ค่าตัวมากกว่าก็ตาม
ในเวลานั้น สตูดิโอใหญ่ๆ บางแห่งยังเป็นเจ้าของเครือข่ายโรงภาพยนตร์อีกหลายโรง ทำให้ไม่มีปัญหาในการหาโรงฉายหนังของตัวเอง
ซูคอร์อยากจะควบคุมโรงภาพยนตร์เหล่านี้ โรงภาพยนตร์ที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของ และเขาก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาครับ
โดยปกติแล้ว โรงภาพยนตร์จะสั่งหนังที่มีดาราดังๆ ของ Paramount เช่น ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) กลอเรีย สวอนสัน (Gloria Swanson) รูดอล์ฟ วาเลนติโน (Rudolph Valentino) ดาราเหล่านี้เป็นดาราดังที่สามารถดึงดูดคนดูได้
หนังที่มีดาราดังๆ จะได้รับการยอมรับว่าเป็นหนังเกรดเอ ซูคอร์ก็จัดการเลยครับ
ซูคอร์คุยกับโรงภาพยนตร์ต่างๆ ที่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของว่าหากอยากได้หนังเกรดเอของ พาราเมานท์ไปฉาย โรงภาพยนตร์ต้องสั่งการ์ตูน หนังข่าว หนังสั้น รวมถึงหนังทุนต่ำเกรดบีไปฉายด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ให้เช่าหนังเกรดเอ
โรงภาพยนตร์ต้องยอมครับ
วงการภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ดเวลานั้นจึงเติบใหญ่และมีเงินหมุนเวียนสะพัดมหาศาล นอกจากเอ็มจีเอ็มและพาราเมานท์แล้ว ก็ยังมีวอร์เนอร์ บราเธอรส์ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ และอาร์เคโอ บริษัททั้งห้านี้ถูกเรียกว่าเป็น “5 ผู้ยิ่งใหญ่ (The Big Five) และควบคุมวงการภาพยนตร์ในยุคนั้น
RKO
20th Century Fox
Warner Brothers
ตอนต่อไป ผมจะมาเล่าต่อถึงการเติบโตของฮอลลีวู้ดต่อนะครับ ฝากติดตามด้วยนะครับ
โฆษณา