ประวัติศาสตร์การบินโลก
ตอนที่ 5 เมื่อมนุษย์บินได้เร็วกว่าเสียง
ในช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง อากาศยานได้ถูกพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1930 บริษัทจังเกอร์ส (Junkers) ประเทศเยอรมันนี ได้สร้างเครื่องบินขนาด 3 เครื่องยนต์ ชื่อว่า จังเกอร์ เจยู52 ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ขึ้น
ต่อมาได้สร้างรุ่น 52S และรุ่น JU 52/3 MS ขึ้นมาตามลำดับ
Junkers JU52, nicknamed “Aunt Ju”
ในปี ค.ศ. 1933 บริษัทโบอิ้ง (Boeing) ได้สร้างโบอิ้ง 247 ขึ้นมา โดยใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบแทนที่ผ้าใบหรือกรอบไม้อย่างที่เคยสร้างกัน
นับว่าโบอิ้งทำให้ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง และถือเป็นต้นกำเนิดเครื่องบินโดยสารในปัจจุบันอีกด้วย
Boeing 247
ปี ค.ศ. 1936 เครื่องบินโดยสาร ดักลาส ดีซี3 (Douglas DC3) ได้รับการออกแบบปีกให้บางกว่าเครื่องชนิดอื่นๆ ทำให้ต้นทุนการสร้างต่ำลง
โดยไฟลท์แรกนั้น มีผู้โดยสารจำนวน 21 คนที่เสียค่าโดยสารถูกลง
Douglas DC3
แข่งขันกันสร้างเครื่องบินโดยสารกันอยู่ดีๆ โลกก็เข้าสู่สงครามอีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
แต่ก็เพราะสงครามอีกนั่นแหละ ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
WW II
เพื่อการชิงความได้เปรียบ ผู้นำแต่ละประเทศต่างทุ่มงบให้การวิจัยสงคราม
เทคโนโลยีที่เราเห็นๆกันในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากสงครามทั้งสิ้น
ในปี ค.ศ. 1939 ประเทศอังกฤษได้สร้างเครื่องบินรบ ซุปเปอร์มารีน สปิทไฟเออร์ (Supermarine Spitfire) ขึ้นมา และเป็นเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เมอร์ลิน (Rolls-Royce Merlin) สามารถบินได้ถึงระดับความสูง 12,000 เมตร หรือ 40,000 ฟิต เลยทีเดียว
Rolls Royce Merlin
Supermarine Spitfire
โดยสร้างออกมาทั้งหมด 20,351 ลำ ให้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้ใช้งาน ส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีความได้เปรียบด้านอากาศเป็นอย่างมาก
แม้ว่าจะมีการคิดค้นเครื่องยนต์เจ็ตมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1930 โดยนายแฟรงค์ วิทเทิล (Frank Whittle) ชาวอังกฤษ
Frank Whittle, father of the jet engine
แต่เครื่องบินที่ประสบความสำเร็จในการใช้เครื่องยนต์เจ็ตลำแรกของโลกกลับเป็นของเยอรมันนี มีชื่อว่า Heinkel He178
Heinkel He178
ทางฝั่งอเมริกาก็สร้างเครื่องบินเจ็ตเช่นกัน โดยบริษัทเบลล์ แอร์คราฟท์ ชื่อว่า Bell XP-59A ซึ่งเป็นรุ่นทดลอง
Bell XP-59A Airacomet and test pilot Robert M. Stanley
และในปี ค.ศ.1947 เบลล์ เอ็กซ์-1 (Bell X-1) ถูกสร้างขึ้นโดย เบลล์ แอร์คราฟท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
Bell X-1, nicknamed “Glamorous Glennis”
นักบินที่เป็นผู้บังคับคือ ชัค เยเกอร์ (Charles Elwood Yeager, Chuck Yeager) เป็นมนุษย์คนแรกที่บินทะลุความเร็วเสียงได้สำเร็จ ในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1947 ที่ความสูง 45,000 ฟีต หรือ 13,700 เมตร
Charles Elwood Yeager หรือ ชัค เยเกอร์
ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ของเครื่องนี้อยู่ที่ 1,000 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 1,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ต่อมาในปี ค.ศ. 1954 ได้มีการพัฒนาเป็นรุ่น เบลล์ เอ็กซ์-1เอ (Bell X-1A) ซึ่งทำความเร็วได้ถึง 1,600 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 2,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Bell X-1A
ภายหลังสงครามโลก นักออกแบบเครื่องบินต่างพยายามนำเครื่องยนต์เจ็ตมาปรับใช้กับเครื่องบินโดยสาร
เดอ ฮาวิลแลนด์ โคเมท (de Havilland Comet) เป็นเครื่องบินโดยสารลำแรกที่ใช้เครื่องยนต์เจ็ต โดยทดสอบบินเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1949
จากนั้นในปี 1952 จึงเริ่มให้บริการรับส่งผู้โดยสาร
โฆษณาสมัยนั้น
แต่แล้วในปี 1954 เครื่องโคเมทก็เกิดอุบัติเหตุ ระเบิดกลางอากาศ ถึง 3 ลำในเวลาไล่เลี่ยกัน
ผลจากการสอบสวนพบว่าเป็นเพราะการออกแบบที่ไม่สามารถทนต่อแรงดันอากาศได้มากพอ
National Geographic
เนื่องจากโคเมทบินที่ระดับความสูงมากกว่า 10 กิโลเมตร แต่ละเที่ยวบินจะทำให้โครงสร้างของเครื่องบินเสื่อมสภาพไปทีละน้อยจากการขยายและหดตัวหลายๆครั้ง ทำให้เหล็กเสื่อมสภาพ และแตกออกจากกัน
และจากอุบัติเหตุดังกล่าว ทำให้มีการเปลี่ยนโครงสร้าง โดยมีการตอกหมุดเป็นตารางรอบตัวเครื่องยึดไว้กับโครงเหล็ก เพื่อให้เหล็กไม่มีการขยายตัวหรือหดตัวมาก และหากเกิดการฉีกขาด ก็จะฉีกขาดเฉพาะในช่องนั้นๆ
มนุษย์ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด จึงได้เกิดการพัฒนาแก้ไข แข่งขันกันเพื่อเป็นที่หนึ่งในด้านต่างๆ
และมนุษย์ก็ไม่เคยหยุด”ความอยากรู้อยากเห็น”
หลังจากบินได้ซักพัก มนุษย์ก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่อยู่ภายนอกดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนี้ จากที่เคยเห็นได้เพียงจากกล้องโทรทรรศน์ ตอนนี้มนุษย์เริ่มเชื่อว่าเราสามารถออกไปเห็นได้ด้วยตาตัวเอง
ติดตามตอนต่อไป เร็วๆนี้ครับ
อ่านย้อนหลังได้ที่ลิ้งค์ข้างล่างครับ
- 7
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
