13 ส.ค. 2019 เวลา 13:09 • ปรัชญา
พระสูตรเว่ยหล่าง
หมวดที่ 3
ว่าด้วยข้อปุจฉา-วิสัชนา
วันหนึ่ง ผู้ตรวจการเหว่ยได้จัดเลี้ยงภัตตาหารเจถวายแด่พระธรรมจารย์ หลังฉันเสร็จ ผู้ตรวจการได้นิมนต์ท่านขึ้นสู่ธรรมมาสน์ จากนั้นได้ร่วมกับเหล่าข้าราชการ บันฑิตและคฤหัสถ์ทั้งหลายกราบนมัสการท่านพระธรรมจารย์
ผู้ตรวจการได้ถามขึ้นว่า “ศิษย์ได้ฟังพระธรรมเทศนาจากท่านอาจารย์ รู้สึกมีความลึกซึ้งจนสุดจะบรรยาย แต่ศิษย์มีปัญหาอยู่บางประการที่ใคร่จะขอให้ท่านเมตตาอธิบายให้กระจ่าง”
“พระธรรมจารย์พูดว่า “หากไม่เข้าใจก็ขอให้ถาม อาตมาจะได้ชี้แจงให้เข้าใจ”
ผู้ตรวจการเหว่ยถามว่า “สิ่งที่อาจารย์ได้กล่าว มิทราบว่าเป็นธรรมประสงค์ของพระโพธิธรรมหรือไม่ ?”
“พระธรรมจารย์ตอบว่า “ใช่”
ผู้ตรวจการเหว่ยถามว่า “ศิษย์ทราบมาว่า เดิมทีที่พระโพธิธรรมได้ไปโปรดกษัตริย์เหลียงอู่ตี้ เหลียงอู่ตี้ทรงถามว่า ‘ตลอดชีวิตที่ได้สร้างวัด ส่งเสริมการอุปสมบท โปรยทานและถวายภัตตาหารเจเช่นนี้ มิทราบว่าได้บุญกุศลเท่าใด ?’ ในครั้งนั้น พระโพธิธรรมได้กราบทูลว่า ‘ไม่ได้บุญกุศลแม้แต่นิด’ สำหรับข้อนี้ศิษย์ยังไม่เข้าใจ ขอให้อาจารย์กรุณาชี้แจงด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์เมตตาว่า “ไม่มีบุญกุศลจริง ๆ อย่าได้สงสัยในคำสอนพระอริยเจ้าเลย ฮ่องเต้ท่านนั้นทรงมีพระทัยมิจฉา ไม่เข้าใจในพระสัทธรรม สำหรับการสร้างวัดส่งเสริมการอุปสมบท บริจาคทานและถวายภัตตาหารเจนี้ ได้ชื่อว่าเป็นการหวังผลในบุญวาสนา ฉะนั้นจึงไม่ควรถือบุญวาสนาเป็นบุญกุศล เพราะบุญกุศลนั้นจะอยู่ที่ธรรมกาย หาใช่อยู่ที่การสร้างบุญวาสนาไม่”
พระธรรมจารย์กล่าวต่อไปอีกว่า “แจ้งธรรมญาณคือกุศล มีความเสมอภาคคือบารมี ทุกความคิดไร้ข้องขัด โดยมักประจักษ์แจ้งในอานุภาพแท้อันแยบยลแห่งธรรมญาณ เช่นนี้จึงเรียกว่ากุศลบารมี ภายในใจมีความถ่อมตนคือกุศล ภายนอกปฏิบัติในจริยธรรมคือบารมี ธรรมญาณบังเกิดสรรพธรรมคือกุศล จิตใจไร้ความอกุศลคือบารมี ไม่ห่างจากธรรมญาณคือกุศล ประยุกต์ใช้ไร้มลทินคือบารมี
“หากจะแสวงหาบุญกุศลแห่งธรรมกาย ขอเพียงปฏิบัติตามนี้ ก็คือกุศลบารมีที่แท้จริง สำหรับผู้บำเพ็ญในกุศลบารมีนี้ จิตใจจะไม่ดูหมิ่นและมักปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเคารพยำเกรง สำหรับผู้ที่มีใจดูหมิ่นคนอื่นอยู่เสมอ เป็นเพราะอัตตายังไม่สิ้น จึงยังไร้ซึ่งกุศล ส่วนธรรมญาณก็ยังเปี่ยมด้วยมายาหลอกหลอนไร้ความจริงแท้ จึงไร้ซึ่งบารมี ทั้งหมดนี้ล้วนเพราะมีอัตตาความทะนง และมักจะดูหมิ่นดูแคลนในทุกสิ่งนั่นเอง
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ทุกดำริไม่ขาดตอนคือกุศล จิตใจเจริญอย่างเที่ยงตรงคือบารมี บำเพ็ญธรรมญาณด้วยตนคือกุศล บำเพ็ญกายด้วยตนคือบารมี ท่านผู้คงแก่เรียน ! กุศลบารมีควรเห็นได้ภายในธรรมญาณตน ไม่ใช่ได้จากการบริจาคสักการะเลย ดังนั้นกุศลบารมีจึงแตกต่างจากวาสนาบารมี ซึ่งฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ทรงไม่เข้าพระทัยในสัจธรรมเอง มิใช่พระโพธิธรรมท่านกล่าวผิดหรอก”
ผู้ตรวจการเหว่ยได้ถามต่อไปอีกว่า “ศิษย์มักได้เห็นทั้งภิกษุและคฤหัสถ์ต่างสวดท่องพระนามของพระอมิตาภพุทธเจ้าเพื่อหวังให้ได้เกิดในแดนปัจฉิม อยู่เสมอ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะให้คลายสงสัยด้วยว่า จะได้เกิดในดินแดนนั้นจริงหรือไม่ ?”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “ท่านผู้ตรวจการ โปรดตั้งใจฟัง อาตมาจะชี้แจงให้เอง ในสมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จประทับที่เมืองสาวัตถี และได้ทรงเทศนาสุขาวดีวยูหสูตร ในพระสูตรนั้นได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า สุขาวดีห่างจากนี่ไปไม่ไกล หากจะกล่าวกันตามหน่วยเป็นลี้แล้ว ก็เป็นระยะทางแสนแปดพันลี้ ซึ่งก็คืออกุศลกรรมบถ ๑๐ มิจฉัตตะ ๘ ในตัวเราเอง และหากเป็นเช่นนี้จริงก็กล่าวได้ว่าเป็นระยะทางที่ไกลยิ่งนัก สำหรับผู้ที่เห็นว่าไกลก็คือผู้มีพื้นฐานปัญญาตื้น แต่สำหรับผู้ที่เห็นว่าใกล้ก็จะเป็นผู้ทรงปัญญาสูง
คนแม้จะมีได้สองประเภท แต่ธรรมนั้นไม่อาจแบ่งเป็นสองได้ ความหลงความแจ้งมีความแตกต่าง การรู้การเห็นมีช้ามีเร็ว สำหรับคนหลงก็จะสวดพระนามพระพุทธให้เกิดในแดนสุขาวดี แต่สำหรับคนแจ้งจะชำระจิตใจตนให้บริสุทธิ์
ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้เช่นนี้ว่า ‘เหตุด้วยจิตใจบริสุทธิ์ก็คือพุทธเกษตรบริสุทธิ์’ สมมุติว่าท่านผู้ตรวจการคือชาวบูรพา หากใจบริสุทธิ์ก็จะไม่มีบาป แต่แม้นจะเป็นชาวปัจฉิม หากใจไม่บริสุทธิ์บาปก็มีเช่นกัน หากชาวบูรพาก่อบาปและสามารถสวดพระนามพระอมิตาภพุทธเจ้าให้เกิดในแดนปัจฉิมได้ แล้วถ้าชาวปัจฉิมก่อบาป เขาจะสวดพระนามพระพุทธให้เกิดในแดนใดกันเล่า ?
“ปุถุชนคนเขลาไม่เข้าใจในธรรมญาณ ไม่รู้จักวิสุทธิเกษตรในตัวตน โดยหวังเกิดในแดนบูรพาบ้าง แดนปัจฉิมบ้าง แต่สำหรับคนที่แจ้งแล้ว แม้จะเป็นที่ใดก็เหมือนกันทั้งสิ้น ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ‘ใจนิตย์รื่นรมย์ในทุกสถานที่อาศัย’ ขอเพียงท่านผู้ตรวจการมีกุศลจิต แดนสุขาวดีก็ห่างจากนี่ไปไม่ไกล แต่หากมีอกุศลจิต แม้จะสวดพระนามให้เกิดแดนสุขาวดีอย่างไรก็ยากจะถึงได้ วันนี้จึงขอเตือนท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลายให้ขจัดอกุศลกรรมบถ ๑๐ ก่อน ฉะนี้ก็เท่ากับได้เดินทางไปแล้วหนึ่งแสนลี้ จากนั้นขจัดมิจฉัตตะ ๘ ก็เท่ากับได้ข้ามพ้นไปอีกแปดพันลี้
ทุกดำริล้วนเห็นแจ้งในธรรมญาณ และนิตย์เจริญปฏิบัติอย่างเที่ยงตรง ฉะนี้ แดนสุขาวดีก็สามารถไปได้เพียงพริบตา ซึ่งก็จะสามารถพบพระอมิตาภพุทธเจ้าได้ที่นั่น แต่ทว่า หลังจากท่านผู้ตรวจการได้เจริญกุศลกรรมบถ ๑๐ แล้ว ไฉนยังต้องหวังให้เกิดกายในแดนนั้นด้วยเล่า ? นั่นก็หมายความว่า หากไม่ละเสียซึ่งอกุศลกรรม ๑๐ แล้วพระพุทธะพระองค์ใดจะมาเชื้อเชิญล่ะ ? ถ้าหากได้แจ่มแจ้งในธรรมอันฉับพลันแห่งการไร้เกิด การพบเห็นสุขาวดีนั้นเป็นเพียงแค่อึดใจ แต่หากไม่แจ่มแจ้งเข้าใจ และได้แต่สวดพระนามให้เกิดแดนสุขาวดีล่ะก็ ทางที่ไกลเช่นนี้จะไปถึงได้อย่างไร ? ตอนนี้อาตมาจะร่วมกับท่านทั้งหลายเคลื่อนแดนสุขาวดีให้เห็นในพริบตา ทุกท่านอยากเห็นหรือไม่ ?”
ที่ประชุมได้ทำความเคารพ และกล่าวตอบว่า “หากสามารถเห็นได้ที่นี่ ไฉนต้องปรารถนาไปเกิดที่โน่น ขอให้ท่านอาจารย์เมตตาเนรมิตสุขาวดีแดน เพื่อให้ทุกคนล้วนได้ประจักษ์แก่สายตาด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ! กายเนื้อของชาวโลกคือนคร ตา หู จมูก ปาก คือประตู ภายนอกมี ๕ ประตู ภายในมีประตูจิต ใจคือแผ่นดิน ธรรมญาณคือราชา ราชาประทับอยู่บนแผ่นดินแห่งใจ ธรรมญาณอยู่ราชาก็อยู่ ธรรมญาณไปก็จะไร้ราชาประทับ ธรรมญาณอยู่กายใจดำรงได้ ธรรมญาณไปกายใจดับสลาย พระพุทธะจะบำเพ็ญสำเร็จได้ที่ธรรมญาณตน จึงไม่ควรค้นหาพระพุทธะที่นอกกาย
ยามธรรมญาณหลงก็คือเวไนยสัตว์ ยามธรรมญาณแจ้งก็คือพระพุทธะ เมตตากรุณาคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ มุทิตาอุเบกขาคือพระมหาสถามโพธิสัตว์ สามารถชำระตนให้บริสุทธิ์คือพระศากยมุนี มีความราบเรียบเที่ยงตรงคือพระอมิตาภพุทธเจ้า อาตมะบุคคละคือเขาสุเมรุ มิจฉาจิตคือน้ำทะเล กิเลสคือระลอกคลื่น จิตชั่วร้ายคือมังกรร้าย ฟุ้งซ่านคือเทพผี ห่วงโลกีย์คือเต่าปลา โลภโกรธคือนรก ลุ่มหลงมัวเมาคือเดรัจฉาน
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! หากหมั่นเจริญกุศลกรรมบถ ๑๐ สุขาวดีก็จักปรากฏ ด้วยการขจัดอาตมะบุคคละ เขาสุเมรุก็จักทลายล้ม ละมิจฉาจิต น้ำทะเลก็จักเหือดแห้ง สิ้นกิเลส ระลอกคลื่นก็จักหายมลาย ความชั่วร้ายลืม มัจฉามังกรร้ายก็จักสิ้นสูญ เช่นนี้แล้ว ตถตาญาณแห่งพื้นจิตตนก็จะบังเกิดรัศมีสาดฉาย ภายนอกสามารถสาดส่องประตูทั้งหก จนบริสุทธิ์ ฉะนี้ก็จักสามารถทลายสวรรค์กามาวจรทั้งหกชั้น ยามแสงธรรมญาณฉายส่องภายใน ๓ พิษร้ายก็จักมลายสิ้น บาปกรรมทั้งปวงอันเป็นเหตุให้ต้องตกสู่นรก ก็จะสลายสิ้นไปในพริบตา ยามที่ทั้งในและนอกมีความจรัสอำไพ ยามนั้นก็ไม่แตกต่างไปจากแดนสุขาวดีเลย แต่หากไม่บำเพ็ญกันเช่นนี้ แล้วจะหวังให้บรรลุสู่แดนสุขาวดีอย่างไรได้ ?”
ครั้นที่ประชุมได้ฟังเทศนาจบ ทั้งหมดล้วนเกิดความแจ่มแจ้งในธรรมญาณ จากนั้นทุกคนต่างพากันอภิวาท และอุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า “สาธุ” ทั้งนี้ ในที่ประชุมล้วนพร้อมเพรียงกันสวดภาวนาว่า “ขอให้สรรพสัตว์ทั่วทั้งธรรมธาตุที่ได้สดับ จงบังเกิดความแจ่มแจ้งในบัดดลด้วยเทอญ”
พระธรรมจารย์ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ท่านผู้คงแก่เรียน ! หากประสงค์จะบำเพ็ญธรรม อยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในวัด หากอยู่ในบ้านสามารถปฏิบัติได้ ก็เป็นเช่นชาวบูรพาที่จิตใจดีงาม แต่หากอยู่ในวัดโดยไม่บำเพ็ญ ก็ดั่งเช่นชาวปัจฉิมที่จิตใจชั่วร้าย ฉะนั้น ขอเพียงจิตใจสงบบริสุทธิ์ ก็คือสุขาวดีแห่งธรรมญาณแล้ว”
ผู้ตรวจการเหว่ยได้ถามต่อไปว่า “อยู่ในบ้านควรบำเพ็ญเช่นไร ? ขอให้ท่านอาจารย์โปรดสั่งสอนด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “อาตมาจะมอบโศลกนิรรูปแด่ทุกท่าน ขอเพียงบำเพ็ญปฏิบัติตามนี้ ก็จะเป็นเช่นได้อยู่ร่วมกับอาตมา แต่หากไม่ปฏิบัติบำเพ็ญตามนี้ แม้นจะปลงผมออกบวช แล้วจะเกิดประโยชน์อันใดแก่ธรรมด้วยเล่า ?” ใน โศลกมีความว่า
ยามใจสงบไยต้องถือศีลให้วุ่นวาย
ยามประพฤติเที่ยงตรงมิคลาย
ไฉนต้องบำเพ็ญฌาน ?
รู้พระคุณ ก็จักกตัญญูอุปัฏฐากบุพการี
รู้มโนธรรม ก็จักดำรงใจอารีต่อผู้เฒ่าผู้เยาว์
รู้อภัย ก็จักใฝ่ใจเคารพปรองดอง
รู้ขันติ บาปวิถีจักไม่บังเกิด
หากสามารถสีไม้ให้เกิดไฟ บัวแดงอำไพจักผุดขึ้นจากโคลนตม
ที่ขมปากคือยาดี คำวจีที่เสียดหูแท้คือคำทัดทาน
รู้แก้ผิดจักเกิดปัญญาญาณ ป้องผิดพาลดวงมานปราศเมธี
กิจวัตรหมั่นยังประโยชน์แก่ชาวประชา
วิมุตินั้นหนาหาใช่เกิดจากทักษิณา
อันโพธิเพียงค้นได้จากจิตตา ไยต้องค้นหาใฝ่แยบยลที่ภายนอก
หากสดับรับบำเพ็ญเพียรตามนี้ สุขาวดีจักปรากฏเพียงเบื้องตา
พระธรรมจารย์ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ท่านผู้คงแก่เรียน ! จงบำเพ็ญเพียรตามโศลกนี้เถิด เพื่อให้ได้เห็นแจ้งและนำใช้จากธรรมญาณ แลบรรลุตรงสู่มรรคาแห่งพระพุทธา โปรดจำไว้ด้วยว่า ธรรมนั้นไร้การเปรียบเทียบต่อกัน เอาล่ะ ! ท่านทั้งหลายจงเลิกประชุมเถิด อาตมาจะเดินทางกลับเฉาซี และหากมีปัญหาใดก็จงมาถามไถ่ให้คลายสงสัย”
ในเวลานั้น ผู้ตรวจการเหว่ย ข้าราชการ กุลบุตร กุลธิดา ต่างก็ได้บังเกิดความสว่างไสวกันถ้วนหน้า และน้อมรับนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา