27 ส.ค. 2019 เวลา 14:48 • บันเทิง
32 ราตรีหนีเสือปะจระเข้ ตอนที่ 4
คิดในใจว่าอีกหน่อยคงจะต้องมีตัวอะไรโผล่ออกมาเป็นแน่ แต่ขอร้องไม่ต้องมาก็ได้นะ ยอมรับว่าพระกลัว
ปิดประตู หน้าต่าง ลงกลอนเสร็จสรรพได้แต่คิดนี่มันช่างเป็นงานมหกรรมการรับพระใหม่ที่น่าจดจำจริงๆ
จากนั้นสวดมนแผ่เมตตาทำสมาธิภาวนาเสร็จ
มองไปที่นาฬิกาเวลาราว 3 ทุ่มเศษ ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวันบวกกับพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า
( ตี 3) มาทำวัดสวดมนต์จึงรีบเข้านอน
ตกใจตื่น
เพราะเสียงลมพัดอื้ออึงสลับกับเสียงฝนฟ้าคะนองฟ้าร้องฟ้าผ่า ประสานกับเสียงเห่าหอนของสุนัขนับสิบตัว ตามสัญชาตญานมือคว้าไปที่สวิตช์ไฟหวังจะเปิดให้มองเห็นแต่อนิจจาไฟฟ้าเจ้ากรรมดันดับเสียได้
คิดในใจ
"คิดไรมากแค่สุนัขในหมู่บ้านฉี่รดเสา ไฟฟ้ามันยังดับนับประสาอะไรในป่าเขาอย่างนี้มันจะไม่ดับวะ"
จากนั้น
ใช้มือควาญหาไฟฉายดวงเล็กๆที่พกติดตัวอยู่เป็นประจำซึ่งน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง เจตนาเพียงเพื่อเปิดให้เกิดแสงสว่างท่ามกลางความมืดพอได้ส่องมองเห็นอะไรบ้าง
มองไปที่นาฬิกา
ราว ตี 2
พอเริ่มตั้งสติได้หายงัวเงียเพราะเหตุแห่งความง่วง
จัดท่านั่งสบายๆ ฟังเสียงฝนที่กระหน่ำตกมาอย่าง
หนัก
เสียงลมพัดลำไม้ไผ่เสียดสีกันดัง เอี๊ยดๆ อ๊าดๆ
ลมพัดสังกะสีกระทบกันดังโครมๆ ครามๆ คงจะเป็นเสียงจากหลังคาของกุฏิร้างที่อยู่บริเวณใกล้ๆ
คงเพราะขาดการดูแลรักษา
มีเรื่องเล่าว่ากุฏิหลังดังกล่าวเคยมีพระไปอยู่แต่
อยู่ไม่ได้ หลายรูปต้องขอลาไปอยู่วัดอื่น
ทุกรูปปิดปากเงียบ
จนเมื่อไม่นานมานี้มีโยมที่มาจำศีลอุโบสถในวัน
พระช่วงเข้าพรรษาไปนอนก็อยู่ไม่ได้บอกเพียงว่า
ท่านดุมาก
นับตั้งแต่นั้นมากุฏิหลังดังกล่าวก็ไม่มีใคร
กล้าไปอยู่อีกเลย
ผมอดไม่ได้ที่จะแอบเหลือบไปมองผ่านหน้าต่าง
ซึ่งเป็นกระจกไปทางนั้นอย่างไม่ตั้งใจ
ดึกสงัด
ท่ามกลางป่าเขาอย่างนี้อย่าว่าแต่เสียงลมพัด
ลมเพเลยครับ แค่เสียงเข็มดวงเล็กๆ ตกลงพื้น
ผมก็ได้ยิน
หลังจากนั่งพิจารณาสารพัดเสียงอยู่นาน ผมก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ แรกๆ มันเหมือนกับเสียงลมพัดสังกะสีแต่มันชักเริ่มมีอะไรไม่ชอบมาพากล
จิตเริ่มวิตกกังวลสารพัดความคิดความกลัว
วิ่งพร่านไปหมด มองไปทางกุฏิหลวงพี่เดชก็เงียบ
นี่เราตื่นอยู่คนเดียวรึไงวะ
บ้าไปแล้ว!เสียงออกจะดังโครมครามซะขนาดนี้ไม่มีใครได้ยินบ้างเลยเร๊อ!
จากที่ตอนแรกได้ยินแค่เสียงสังกะสีตีกัน
ในความคิดของผมตอนนี้มันไม่ใช่เสียสังกะสี
กระทบกันเสียแล้ว
แต่มันกลายเป็นเสียงของอย่างอื่นในใจ ณ ตอนนี้บอกตรงๆ ถ้าไม่กลัวเสียฟอร์มผมอยากจะวิ่งออกนอกห้องไปเคาะเรียกหลวงพี่เดชเพื่อขออยู่ด้วย
สงสัยหูแว่วลองฟังดูอีกที
ชัดเลยๆ ทีนี้ไม่ต้องสงสัยอยู่ใกล้ๆ นี่เองดังเข้ามา
แล้วมันใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ทำไมหลวงพี่ทนนอนฟังอยู่ได้ไม่ออกมาดู
เสียงนั่นถ้าเป็นเมื่อก่อนอยู่ที่บ้านก็คงจะถือเป็นเรื่องปกติในเวลากลางวัน
แต่นี่มันอยู่ในวัดและเวลาดึกดื่นตี 2 เนี่ยนะใครมันอยากจะมาบรรเทิงเอาตอนนี้
เสียงที่ได้ยินคือเสียงแห่ครับ ฟัง ไม่ผิดเสียงแห่แน่ๆ
เสียงกลอง ฉิ่ง ฉาบ ทัวร์สารพัด เสียงไชโยโห่ร้อง
ก้องดังมาแต่ไกล
นี่มันอะไรกันมหกรรมความบันเทิงรึไงคราวนี้หนักเลย เป็นอื่นไปไม่ได้คงจะไม่ใช่คนแล้วนี่เล่นกัน
อย่างนี้เลยรึจะรอดไหม นี่แค่คืนแรกยังเจอขนาดนี้แล้วที่เหลืออีกตั้ง 31 ราตรี จะขนาดไหน
คิดถึงคำอาจารย์เดชขึ้นมาเลย
"ดึกๆ ดื่นๆ ถ้าได้ยินเสียงอะไรหรือใครมาเรียกถ้า
ไม่แน่ใจอย่าขานรับเป็นอันขาดนะ
เพราะตอนนี้เราอยู่ในป่าไม่ได้อยู่ในบ้าน
คงไม่มีใครเที่ยวมาเรียกเราดึกๆดื่นๆหรอก
ถ้าได้ยินเสียงอะไร เห็นอะไร หรือได้กลิ่นอะไรแปลกๆ อย่าได้ตกใจ ให้ตั้งใจทำสมาธิภาวนาไปอย่างที่หลวงปู่ท่านบอก"
กลัวก็กลัวทำอะไรไม่ถูก
เอ้าทำสมาธิก็สมาธิพุทโธๆ ภาวนาเข้าไปแต่หูก็ยังได้ยินเสียงใกล้เข้ามาแล้วๆ เอาไงดีออกไปร่วม
แจมให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีไหม ขนะที่หัวใจกำลัง
เต้นไม่เป็นจังหวะอยู่นั้น
ก้อกๆๆ
ตื่นๆ หลวงพี่เดี๋ยวสายไปไม่ทันบิณฑบาตรเด้อ
เสียงจารย์เดชมาปลุกช่วยชีวิตไว้ทัน
อะไรกันนี่ฝันซ้อนฝัน ชัดเจนยังกะตาเห็น
เสียงขบวนแห่นั่นยังดังก้องอยู่ในหู
"คร้าบผม"
ขอร้องถ้ารักกันจริงคืนนี้ไม่ต้องมาอีกนะ
เล่นกันอย่างนี้หัวใจจะวาย
เกษตรเอส'Society
ผมเขียนจากเค้าโครงเรื่องจริงแต่งเติมบ้างพอให้ได้อรรถรส แต่แฝงไว้ด้วยคติธรรม
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา