Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
9 ก.ย. 2019 เวลา 23:55 • ปรัชญา
พระสูตรเว่ยหล่าง
หมวดที่ 7
ว่าด้วยโอกาสธรรมปัจจัยสอน
2
พระธรรมจารย์ได้รับธรรมที่หวงเหมย จากนั้นได้เดินทางกลับเสาโจว หมู่บ้านเฉาโหว ซึ่งที่นั่นไม่มีคนรู้จักท่านเลย แต่เวลานั้นก็มีนักศึกษาของสำนักขงจื่อที่ชื่อว่า หลิวจื้อเลี่ยวได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
จื้อเลวี่ยมีน้าหญิงคนหนึ่งเป็นบรรพชิต ชื่อว่า อู๋จิ้นฉาง ซึ่งมักจะสวดมหาปรินิรวาณสูตรอยู่เป็นประจำ ครั้งหนึ่ง พระธรรมจารย์ได้หยุดฟังการบริกรรมพระสูตรซึ่งก็ได้เข้าใจในความหมาย จึงได้อธิบายแก่เธอไป จากนั้นภิษุณีจึงนำพระสูตรมาถามความหมายในอักษร
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “อาตมาไม่รู้หนังสือ แต่หากเป็นเรื่องใจความก็เชิญถามมาเถอะ”
ภิกษุณีถามว่า “ท่านไม่รู้แม้แต่ตัวหนังสือ แล้วไยเข้าใจในความหมายได้ ?”
พระธรรมจารย์ตอบว่า “หลักธรรมอันแยบยลแห่งปวงพระพุทธะ ย่อมไม่เกี่ยวอะไรกับตัวหนังสือ”
ภิกษุณีฟังแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ จึงได้ประกาศให้อาวุโสในหมู่บ้านได้รับรู้ว่า “ท่านผู้นี้คือบุคคลผู้ทรงธรรม จึงควรที่จะถวายการสักการะบูชา” ในเวลานั้น ได้มีอนุชนเชื้อสายของโจโฉคนหนึ่ง ชื่อเฉาสูเหลียง พร้อมด้วยชาวบ้าน ต่างชิงกันมากราบนมัสการท่านพระธรรมจารย์
ในตอนนั้น มีวัดโบราณแห่งหนึ่งชื่อว่าวัดเป่าหลิน มีสภาพรกร้างว่างเปล่าจากภัยสงครามมาตั้งแต่ปลายราชวงศ์สุย ดังนั้นทุกคนจึงได้พร้อมใจกันบูรณะพรหมวิหารขึ้นใหม่ในที่เดิม พร้อมทั้งเชิญท่านพระธรรมจารย์มาพำนักอาศัย จากนั้นไม่นาน วัดเป่าหลินก็ได้กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
หลังจากพระธรรมจารย์พำนักอยู่ได้เก้าเดือนเศษ ศัตรูที่ตามปองร้ายท่านได้ตามมาจนพบ ท่านจึงได้ซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขา แต่ก็ยังถูกตามล้างผลาญด้วยการจุดไฟเผาป่า พระธรรมจารย์จึงต้องซ่อนตัวแทรกอยู่ในก้อนหินจนพ้นภัย และในปัจจุบัน ที่หินก้อนนั้นก็ยังปรากฏรอยเข่าและรอยจีวรของท่านพระธรรมจารย์ ด้วยเหตุนี้ หินก้อนนั้นจึงได้ชื่อว่า “หินหลบภัย” หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ท่านพระธรรมจารย์ก็ได้ระลึกถึงคำเตือนของพระธรรมจารย์องค์ที่ ๕ ที่ได้สั่งให้ซ่อนตัวที่หวยและฮุ่ย ดังนั้นท่านจึงซ่อนตัวอยู่ที่หมู่บ้านทั้งสองนี้
ภิกษุฝาไห่ เป็นคนฉวี่เจียง เมืองเสาโจว เมื่อครั้งที่ได้สนทนากับพระธรรมจารย์เป็นครั้งแรก ก็ได้ตั้งคำถามว่า “คำว่าอันใจคือพุทธะนั้น ขอให้ท่านกรุณาแถลงไขด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์ตอบว่า “ความคิดก่อนไม่เกิดคือใจ ความคิดหลังไม่ดับคือพุทธะ เกิดเป็นลักษณะทั้งหลายคือใจ ห่างจากลักษณะทั้งหลายคือพุทธะ หากอาตมาจักต้องกล่าวทั้งหมด แม้นใช้เวลาจนสิ้นกัปก็ไม่อาจอธิบายให้จบได้ จงฟังโศลกของอาตมาก่อนเถอะ
อันใจนั้นแท้คือดวงปัญญา
อันพุทธาแท้คือสมาธิ
หากประสงค์ในจิตตาวิสุทธิ”
จงทวิปฏิบัติเท่าทั้งสอง
จะแจ่มแจ้งธรรมวิถีในข้อนี้
ก็อยู่ที่ตนฝึกฝนธรรมญาณเทิด
อันคุณา จำเดิมนั้นคือไร้เกิด
บำเพ็ญสอง พล้องชูเชิดคือสัมมา
ครั้นภิกษุฝ่าไห่ฟังแล้วก็พลันเกิดความรู้แจ้ง จึงได้สรรเสริญเป็นโศลกว่า
“อันใจเราจำเดิมนั้นคือพุทธา
ไม่รู้แจ้งนำพาคือหมิ่นตน
ข้าทราบหลักสมาธิปัญญายุบล
พร้อมบำเพ็ญทั้งยุคล พ้นสรรพลักษณ์”
ภิกษุฝ่าต๋า ชาวเมืองหงโจว ได้อุปสมบทมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และมักสวดท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตรอยู่เป็นประจำ ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสมาคารวะท่านพระธรรมจารย์ แต่ศีรษะไม่ยอมจรดพื้น พระธรรมจารย์จึงตำหนิว่า “เคารพโดยศีรษะไม่จรดพื้น เช่นนี้ไม่ต้องเคารพเสียเลยจะมิดีกว่าหรือ ? การที่เจ้าเป็นเช่นนี้ แสดงว่าต้องมีอะไรในใจสักอย่างเป็นแน่ ขอถามหน่อยว่าปกติเจ้าศึกษาอะไรอยู่ ?”
ภิกษุฝ่าต๋าตอบว่า “ได้สวดสัทธรรมปุณฑริกสูตรมากว่าสามพันรอบ”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “แม้เจ้าจะท่องจนเป็นหมื่นรอบ แต่หากเข้าใจในความหมายโดยไม่เย่อหยิ่งถือตัว เช่นนี้ก็ถือว่าอยู่ในแนวร่วมเดียวกับอาตมา แต่ตอนนี้เจ้ากลับมีความเย่อหยิ่งอวดดี ซ้ำยังไม่รู้สำนึกเสียอีก จงฟังโศลกของอาตมาก่อนเถอะ”
อันจริยาจำเดิมเพื่อเกลาทะนง
แต่ศีรษะไม่จรดลงด้วยเหตุใด
มีอัตตาจักมีบาปกรรมมากมาย
บุญอำไพยามเมื่อจิตไม่ติดบุญ
พระธรรมจารย์กล่าวต่อไปอีกว่า “เจ้ามีชื่อว่าอะไร ?”
ภิกษุฝ่าต๋าตอบว่า “ศิษย์ชื่อ ฝ่าต๋า ”
“เจ้าชื่อธรรมเจริญ แต่เคยเจริญธรรมหรือไม่ ?” พระธรรมจารย์ได้กล่าวโศลกต่อไปอีกว่า
“อันสมญาเจ้านามว่าฝ่าต๋า
วิริยาบริกรรมทำไม่หยุด
หากเป็นแต่ท่องจำคำตามเสียงรุด
ยามวิสุทธิแจ้งจิตตานามโพธิสัตว์
เหตุเพราะเราต่างมีบุญร่วมกันมา
จึงขอไขวิสัชนาให้ประหวัด
ขอให้เชื่อว่าพุทธาไร้ดำรัส
ดอกกระมุทผุดระบัดจากใบโอษฐ์
เมื่อฝ่าต๋าฟังโศลกจบ ก็รู้สึกสำนึกและกล่าวขอบพระคุณว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะขอถ่อมตนในทุกโอกาส แม้ศิษย์จะได้ท่องสัทธรรมปุณฑริกสูตร แต่ก็มิได้เข้าใจในความหมาย ซึ่งใจยังมีข้อสงสัยอยู่เสมอ ส่วนท่านอาจารย์มีปัญญาอันกว้างไกล ดังนั้นจึงขอให้ท่านอาจารย์แถลงไขใจความของพระสูตรด้วยเถิด”
1
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “ธรรมเจริญ (ฝ่าต๋า) ธรรมนั้นเจริญยิ่งนัก แต่ใจเจ้าต่างหากที่ไม่เจริญ ตัวพระสูตรเองไม่มีข้อสงสัยอะไร หากแต่ใจเจ้าต่างหากที่เกิดข้อสงสัย เจ้าท่องพระสูตรนี้ มิทราบว่าถืออะไรเป็นแก่นสาระ ?”
ฝ่าต๋าตอบว่า “ศิษย์เองพื้นฐานโง่เขลา ตั้งแต่ต้นมาก็ได้แต่สวดท่องตามพระสูตร แล้วไยจะรู้ในแก่นสาระได้”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “อาตมาไม่รู้หนังสือ เจ้าลองสวดท่องให้ฟังสักรอบดูซิ แล้วอาตมาจักอธิบายให้เจ้าเอง”
ภิกษุฝ่าต๋าจึงเริ่มบริกรรมด้วยเสียงดังกังวาล จนกระทั่งถึงบทอุปมา
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “หยุดก่อน ! พระสูตรนี้ที่แท้ถือเอาเหตุปัจจัยของการเกิดกายในโลกนี้เป็นแก่นสาระ จากการอุปมาหลายอย่างในพระสูตรนี้ ก็ล้วนมิได้ห่างจากแก่นสาระนี้เลย แต่ที่ว่านี้คือเหตุปัจจัยอันใดเล่า ? ในพระสูตรได้กล่าวไว้ว่า ‘ปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ทรงอุบัติขึ้นบนโลก ก็ล้วนด้วยเรื่องใหญ่แห่งมหาเหตุปัจจัยทั้งสิ้น’ อันว่าเรื่องใหญ่นั้น ก็คือพุทธญาณทัศนะ นั่นเอง สำหรับชาวโลก ภายนอกลุ่มหลงยึดติดลักษณะ ภายในลุ่มหลงยึดติดในความว่าง หากสามารถอยู่ในลักษณะโดยพ้นลักษณะ อยู่ในความว่างโดยพ้นจากความว่าง ก็คือไม่ลุ่มหลงทั้งภายในและภายนอก หากสามารถแจ่มแจ้งในธรรมนี้ ยามเมื่อใจเปิด ก็คือการเปิดพุทธญาณทัศนะ
“พระพุทธะก็คือการรู้แจ้ง ซึ่งแบ่งเป็นสี่ประตู คือ เปิด พุทธญาณทัศนะวิชชา ’ เผย พุทธญาณทัศนะวิชชา แจ้ง พุทธญาณทัศนะวิชชา เข้าสู่ พุทธญาณทัศนะวิชชา หากได้สดับในการเปิดและการเผย ก็จะสามารถรู้แจ้งและเข้าสู่ได้ และนี่ก็คือ ญาณทัศนะวิชชา จากนั้นธรรมญาณเดิมก็จักได้ปรากฏ เจ้าจงอย่าเข้าใจความหมายของพระสูตรนี้ผิดไป ที่ได้ยินเขาพูดว่า การเปิด การเผย การแจ้งและการเข้าสู่ นั้น คือญาณทัศนะแห่งพระพุทธะ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของพระพุทธะโดยที่เราหามีส่วนด้วยไม่ หากเข้าใจเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการป้ายร้ายพระสูตรและทำลายพระพุทธะ เพราะทุกคนล้วนเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งต่างมีความเพียบพร้อมในญาณทัศนะอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยยังต้องมีการ เปิด อีกด้วยเล่า ?
เจ้าควรต้องเชื่อไว้ว่า อันพุทธญาณทัศนะนี้ก็คือใจของเจ้า มิใช่พระพุทธะอื่นใด แต่เนื่องจากเวไนยสัตว์ทั้งปวงได้บดบังความอำไพของตนเสียเอง มีความโลภรักในโลกียภาวะ กอปรกับถูกปัจจัยภายนอกก่อกวนจิตใจภายใน อีกยังมีความยินดีที่จะยอมเป็นทาสรับใช้มันอยู่มิขาด จนกระทั่งต้องเดือดร้อนถึงพระพุทธองค์ทรงเริ่มสอนให้รู้จักสมาธิเป็นเริ่มต้น ซึ่งพุทธวจนะต่าง ๆ ก็ล้วนเพื่อเตือนใจให้สงบลง อย่าให้เกิดการไขว่คว้าและเตลิดไปสู่ภายนอก เพื่อที่สุดไม่เกิดความแตกต่างกับพระพุทธะแต่อย่างใด ดังนั้นจึงกล่าวว่าเป็นการเปิดพุทธญาณทัศนะ
1
อาตมาเองก็ขอเตือนสาธุชนทั้งหลายให้หมั่นเปิดพุทธญาณทัศนะในใจตน เพราะจิตใจชาวโลกมักเปี่ยมด้วยความมิจฉา มีความลุ่มหลงโง่เขลาและสร้างบาปกรรมเวร ปากพูดดีแต่ใจชั่วร้าย มีความโลภ โกรธ ริษยา สอพลอ เย่อหยิ่ง รุกรานผู้อื่นและทำลายล้างสรรพสิ่ง หากเป็นเช่นนี้ ก็คือตนได้เปิดสัตวญาณทัศนะ แต่หากเขาสามารถสำรวมใจให้เที่ยงตรง หมั่นบังเกิดปัญญาอยู่ตลอดเวลา รู้ส่องพินิจที่ใจตน ละความชั่วเจริญความดี เช่นนี้ก็คือการเปิดพุทธญาณทัศนะแล้ว
“ในทุก ๆ ความคิด เจ้าควรเปิดพุทธญาณทัศนะ อย่าได้เปิดสัตวญาณทัศนะ หากเปิดพุทธญาณทัศนะก็คือโลกุตร แต่หากเปิดสัตวญาณทัศนะก็คือโลกียะ ซึ่งหากเจ้ามีจิตใจที่ยึดติดอย่างแน่นหนา และปฏิบัติกันเช่นนี้จนเป็นนิสัย แล้วฉะนี้จะต่างอะไรกับจามรี ที่รักหางของมันด้วยเล่า ?”
ภิกษุฝ่าต๋าพูดว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็ขอเพียงให้เข้าใจในความหมาย โดยไม่มีความจำเป็นต้องสวดสาธยายอีกแล้วใช่ไหม ?”
พระธรรมจารย์พูดว่า “พระสูตรมีความผิดอะไร ? ถึงกับทำให้เจ้าต้องเลิกสาธยายด้วย ควรรู้ไว้ว่า หลงหรือแจ้งตนเป็นผู้กำหนด คุณหรือโทษตนเป็นผู้กระทำ หากปากท่องใจปฏิบัติ ก็คือการพลิกพระสูตร แต่หากปากท่องใจไม่ปฏิบัติ ก็คือการถูกพระสูตรพลิก เจ้าจงฟังโศลกของอาตมาก่อน
ยามใจหลงนั้นคือเราหมุนปุณฑริก
ยามใจแจ้งคือเราพลิกปุณฑริกหมุน
ท่องเนิ่นนานหาได้แจ่มอวิมูล
ต้องอาดูรเพราะอริต่อธรรมา
ไร้ดำริดำรินั้นคือสัมมา
มีดำริดำรินั้นคือมิจฉา
ยามที่มีอีกทั้งไร้ไม่ถือสา
จักนิภา ครองยาวรถวัวขาว”
ครั้นฝ่าต๋าฟังโศลกจบ ก็เกิดความแจ่มแจ้งในฉับพลัน และเกิดความตื้นตันจนสะอื้นไห้โดยมิรู้ตัว จึงกล่าวแก่พระธรรมจารย์ว่า “ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ศิษย์ไม่เคยพลิกสัทธรรมปุณฑริกเลย มีแต่ถูกสัทธรรมปุณฑริกพลิกจนหมุน”
ฝ่าต๋าได้พูดต่อไปอีกว่า “ในพระสูตรได้ตรัสไว้ว่า ‘ตั้งแต่สาวกยานจนถึงพระโพธิสัตวยาน แม้จะระดมความคิดทั้งหมดมาร่วมกันคาดคะเน ก็ยังไม่อาจหยั่งถึงปัญญาญาณแห่งพระพุทธะได้’ แต่บัดนี้ หากได้ทำให้เวไนยสัตว์แจ่มแจ้งในจิตเดิม เช่นนี้ก็คือพุทธญาณทัศนะ สำหรับศิษย์เป็นผู้ที่มีพื้นฐานปัญญาตื้น เป็นการยากที่จะไม่ให้เกิดความสงสัยจนกลายเป็นการกล่าวร้ายในที่สุดได้ แต่ทั้งนี้ ในพระสูตรยังได้มีการกล่าวถึงรถสามชนิด คือ รถแพะ รถกวาง รถวัว ไม่ทราบว่ามีความแตกต่างกับรถวัวขาวอย่างไรฤา ? ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาชี้แนะอีกครั้งด้วยเถิด !”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “ความหมายของพระสูตรมีความชัดเจนอยู่แล้ว เจ้าเองต่างหากที่ยังหลงไม่เข้าใจ สาเหตุของปวงชนทั้งสามยานที่ไม่อาจหยั่งถึงปัญญาญาณของพระพุทธะได้นั้น มูลเหตุแห่งปัญหาก็อยู่ที่การคาดคะเน หากยิ่งปล่อยให้มีการร่วมคิดร่วมค้นหา รังแต่จะทำให้ยิ่งห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
เพราะแท้จริงแล้ว พระพุทธะจะตรัสพุทธธรรมเพื่อเวไนยสัตว์ มิใช่เป็นการตรัสเพื่อพระพุทธะแต่อย่างใด หากแม้แต่หลักความนี้ก็ยังไม่ยอมเชื่อ ก็คงจะได้แต่ถอยห่างจากไกลไปเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนเขาจะยังไม่รู้ตัวหรอกว่า ตัวเขาเองได้นั่งอยู่บนรถวัวขาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับยังไปค้นหารถอีกสามชนิดที่ภายนอกเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในพระสูตรได้กล่าวแก่เจ้าอย่างชัดเจนแล้วว่า มีเพียงเอกพุทธยาน ไม่มียานที่นอกเหนือจากนี้อีก ในธรรมอุปายต่าง ๆ บ้างเป็นสองหรือบ้างเป็นสาม กระทั่งเป็นจำนวนธรรมอุปายอันมิอาจประมาณนั้น ในคำกล่าวต่าง ๆ ที่ได้อุปมาตามเหตุปัจจัยเหล่านี้ ก็ล้วนเป็นไปเพื่อชักนำให้เข้าสู่เอกพุทธยานทั้งสิ้น เจ้าทำไมไม่ลองพิจารณาดูว่า รถทั้งสามนั้นคือเท็จ ทั้งนี้เพราะเป็นสถานการณ์ในอดีต เอกยานต่างหากที่เป็นจริง ทั้งนี้เพราะเป็นสถานการณ์ของปัจจุบัน โดยทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสอนเจ้าให้ละเท็จสู่จริง หลังจากย้อนสู่ความจริงแล้ว แม้แต่ความจริงนี้ก็ยังมิอาจบัญญัตินามได้เช่นกัน
ควรรู้ว่าทรัพย์มณีที่ได้อุปมาในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตรเหล่านี้ล้วนเป็นของเจ้า ซึ่งให้เจ้าได้ช่วงใช้อย่างเต็มที่ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการอุปมาเป็นบิดา อุปมาเป็นบุตร หรืออุปมาเป็นการช่วงใช้ในทรัพย์สมบัติ เช่นนี้แหละ จึงเรียกได้ว่าเป็นการปฏิบัติในพระสัทธรรมปุณฑริกสูตร
หากเป็นเช่นนี้แล้ว มาตรว่าจะเป็นช่วงเวลาจากกัปหนึ่งไปสู่อีกกัปหนึ่ง ก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่ไม่เคยห่างจากพระสูตรแต่อย่างใด หรือมาตรว่าจะเป็นเวลาจากราตรีสมัยไปสู่อุษาสมัย ก็ยังเป็นผู้ที่ไม่เคยละเลยจากการภาวนาในพระสูตรเลยเช่นกัน”
หลังจากฝ่าต๋าได้รับการชี้แนะ ก็เกิดความปีติตื้นตันใจ จึงได้สรรเสริญด้วยโศลกว่า
พระสูตรสามพันครั้งสาธยาย
กลับสลายด้วยคำหนึ่งจากเฉาซี
หากมิแจ้งเหตุเกิดกายบนโลกนี้
ไยสงบจิตฤดีที่ฟุ้งซ่าน
แพะกวางวัวคืออุปายโกศลสร้าง
เพื่อสล้างเป็นลำดับแล้วไสว
แต่มีใครที่แจ่มใจเราทั้งหลาย
คือธรรมราชพรรณรายไม่แผกกัน
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “นับแต่นี้เจ้าจึงจะได้ชื่อว่า ภิกษุผู้ท่องสูตรอย่างแท้จริงแล” ภิกษุฝ่าต๋าจึงได้สนองรับในคำสอนอันแยบยล และยิ่งไม่ขาดตอนในการสวดสาธยายพระสูตรเลย
ภิกษุจื้อทง เป็นคนอันฟงแห่งเมืองโซ่วโจว ได้อ่านลังกาวตารสูตรได้พันครั้งเศษ แต่ก็ยังไม่เข้าใจในความหมายของตรีกายและปรัชญาสี่ได้ ดังนั้นจึงมากราบนมัสการท่านพระธรรมจารย์เพื่อขอคำชี้แนะ
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “อันตรีกายนั้นคือ ธรรมกายอันวิสุทธิ์ ซึ่งก็คือธรรมญาณของเจ้าเอง สัมโภคกายอันสมบูรณ์ ซึ่งก็คือปัญญาของเจ้าเอง นิรมาณกายอันไพศาล ซึ่งก็คือปฏิปทาของเจ้าเอง แต่ถ้าห่างจากธรรมญาณ ก็มิไยต้องกล่าวถึงตรีกายอีกเลย เพราะเช่นนี้เรียกว่ามีกายโดยไร้ปรัชญา แต่หากแจ่มแจ้งเข้าใจว่าตรีกายมิใช่หมายความว่าต่างก็มีธรรมญาณในแต่ละกาย เช่นนี้จึงได้ชื่อว่าโพธิปรัชญาสี่ จงฟังโศลกของอาตมาก่อน
ธรรมญาณมีพร้อมด้วยตรีกาย
แผ่ขยายกลายเป็นสี่ปรัชญา
ไม่ละจากการฟังทัศนา
เหินผงาดยาตราพุทธแดน
วันนี้เราจักกล่าวให้เจ้าฟัง
ให้ศรัทธาจีรังมิพลั้งหลง
อย่าเช่นพวกคว้าภายนอกใจทะนง
ทุกเพลาเวียนวงพร่ำโพธิ”
ภิกษุจื้อทงได้กราบเรียนต่อไปว่า “สำหรับความหมายของปรัชญาสี่ มิทราบว่าจะกรุณาชี้แนะได้ด้วยหรือไม่ ?”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “เมื่อเข้าใจในตรีกาย ก็จะกระจ่างในสี่ปรัชญา ไฉนต้องถามอีกเล่า ? หากได้ห่างจากตรีกาย ก็มิไยต้องกล่าวถึงปรัชญาสี่อีก เพราะเช่นนี้เรียกว่ามีปรัชญาแบบไร้กาย หากเป็นการมีปรัชญาเช่นนี้ สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไรกับการไร้ปรัชญาเลย” จากนั้นท่านได้กล่าวเป็นโศลกว่า
อาทรรศนชปรัชญา ญาณวิสุทธา
สมตาชปรัชญา ใจไร้โรคา
ปรัตยเวกษณชปรัชญา การเห็นไร้อุปาทาน์
กฤตยานุษฐานชปรัชญา ประหนึ่งกระจกกลม
ห้าแปดหกเจ็ดผลเหตุหมุน
เพียงนามอุปมาแท้ไร้หมุน
หากอยู่การหมุนไม่ติดพัน
คือคงนาคสมาธิกลางชุลมุน
ครั้นภิกษุจื้อทงได้ฟัง ก็พลันเกิดความแจ่มแจ้งในปัญญาญาณ จึงได้กล่าวเป็นโศลกว่า
อันตรีกายแท้คือเราหาใช่ไกล
จิตอำไพแท้ก็คือสี่ปรัชญา
กายปัญญาร่วมบรรสานไร้พันธนา
สนองสิ่งสรรพนานาได้มากมาย
เพียงดำริคิดบำเพ็ญคือมายา
ในจิตตาคิดประคองมิใช่ธรรม
ความแยบยลได้กระจ่างเพราะครูนำ
จะขอจำมิให้หมองเสื่อมเกียรติไป
ภิกษุจื้อฉาง คนกุ้ยซีแห่งเมืองซิ่นโจว ได้ออกบวชเรียนตั้งแต่ยังเยาว์วัย อีกมีปณิธานอันแรงกล้าที่จะเห็นแจ้งในธรรมญาณ ในวันหนึ่งจึงได้เข้ากราบนมัสการท่านพระธรรมจารย์ พระธรรมจารย์ได้ถามว่า “เจ้ามาจากไหน ? และประสงค์สิ่งใด ?”
จื้อฉางตอบว่า “ก่อนหน้านี้ศิษย์ได้ไปนมัสการภิกษุต้าทง เมืองหงโจว ภูเขาป๋ายฟง เพื่อขอให้ไขความกระจ่างในความหมายของการ แจ้งในธรรมญาณสำเร็จเป็นพระพุทธะ ให้ฟัง แต่ที่สุดก็ยังหาได้รับความกระจ่างไม่ ดังนั้นจึงได้เดินทางแต่ไกลมาคารวะท่าน เพื่อขอให้ท่านเมตตาชี้แนะให้กระจ่าง”
พระธรรมจารย์ถามว่า “เขาได้แนะนำเจ้าอย่างไรบ้างล่ะ ? เจ้าลองกล่าวให้ฟังหน่อยซิ”
ภิกษุจื้อฉางพูดว่า “เมื่อศิษย์ไปถึงที่นั่น ก็รอคอยจนเวลาได้ล่วงเลยไปสามเดือน แต่ก็หาได้รับการชี้แนะแต่อย่างใดไม่ และเนื่องด้วยศิษย์มีความกระหายในธรรมอย่างแรงกล้า จึงได้เข้าไปที่ห้องของเจ้าอาวาสแต่ลำพังในคืนวันหนึ่ง และถามว่า ‘เช่นใดจึงจะเป็นจิตเดิมธรรมญาณเดิมของตน’
ส่วนภิกษุต้าทงก็ย้อนถามกลับมาว่า ‘เจ้าเห็นความว่างเปล่าไหม ?’ ศิษย์ก็ตอบไปว่า ‘เห็น’ ภิกษุต้าทงถามต่อไปว่า ‘เจ้าเห็นความว่างเปล่ามีรูปพรรณไหม ?’ ศิษย์ก็ตอบไปว่า ‘ความว่างเปล่านั้นไร้รูป แล้วไยจะมีรูปพรรณได้ ?’ ภิกษุต้าทงพูดว่า ‘ธรรมญาณของเธอก็ดุจดั่งความว่างเปล่านี้ คือไม่มีสิ่งใดที่จะเห็น เช่นนี้แหละคือสัมมาทิฏฐิ ไม่มีสิ่งใดที่จะรู้ เช่นนี้แหละคือการรู้จริง ไม่มีกระทั่งเขียวเหลืองสั้นยาว โดยเห็นแต่เพียงจิตเดิมที่บริสุทธิ์สดใส องค์เดิมอันรู้แจ้งที่กลมอำไพ และเช่นนี้ก็คือการแจ้งในธรรมญาณสำเร็จเป็นพระพุทธะ หรือก็คือญาณทัศนะแห่งตถาคต’
มาตรว่าศิษย์จะฟังคำอธิบายจากภิกษุต้าทงมาเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่เกิดความแจ่มชัดแต่อย่างใด ดังนั้นจึงขอให้ท่านกรุณาไขความกระจ่างแก่ศิษย์ด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์พูดว่า “สิ่งที่ท่านภิกษุต้าทงได้กล่าวนั้น ยังคงหลงเหลือ การได้รู้การได้เห็น อยู่ ดังนั้นจึงทำให้เจ้ายังไม่แจ่มชัด ตอนนี้อาตมาจะขอกล่าวโศลกแก่เจ้าก่อน
ไม่มีเห็นแม้นหนึ่งครองไร้เห็น
ก็เป็นเช่นกลุ่มเมฆินทร์บังสุริยา
มิได้รู้แม้นหนึ่งธรรมครองไร้รู้
ดุจอยู่ ๆ อสนีวาวกลางนภา
จิตเช่นนี้ที่เกิดขึ้นเพียงพริบตา
หลงผิดมามีไหมที่เข้าใจ
เจ้าพึงตื่นแจ้งว่าตนเห็นผิดไป
เพลานั้นญาณอำไพนิจประกาย”
เมื่อภิกษุจื้อฉางได้ฟังโศลกจบ จิตใจก็เกิดความแตกฉาน และได้กล่าวเป็นโศลกว่า
“การรู้เห็นผุดเกิดในภวังค์
หลงยึดลักษณ์หวังวอนในโพธิ
เกิดยึดติดคิดว่าแจ้งในดำริ
ไยต่างจากกาลอดีตที่ลุ่มหลง
ต้นสายธรรมญาณศรีสรรเพชญ
ต้องระเห็จเวียนว่ายในกระแส
หากมิใช่ธรรมจารย์คอยดูแล
ก็เชือนแชหลงวนในสองขั้ว ”
วันหนึ่ง ภิกษุจื้อฉางได้ถามพระธรรมจารย์ว่า “พระพุทธองค์ได้ตรัสในธรรมแห่งไตรยาน อีกยังได้ตรัสในธรรมแห่งอนุตตรยาน ศิษย์เองยังไม่กระจ่างชัด จึงขอให้ท่านสอนสั่งด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “เจ้าจงพิจารณาที่จิตเดิม อย่าได้ยึดติดในธรรมลักษณะภายนอกเลย แท้จริงแล้วธรรมไม่มีความแตกต่างเป็นยานทั้งสี่ หากเป็นเพราะใจคนต่างหากที่มีความแตกต่าง
สำหรับความหมายของยานทั้งสี่เป็นดังนี้คือ การอ่านสดับสังวัธยายคือหีนยาน แจ่มแจ้งในธรรมเข้าใจในความหมายคือมัชฌิมยาน บำเพ็ญปฏิบัติตามหลักธรรมคือมหายาน ปฏิเวธ ในสรรพธรรม พรั่งพร้อมในสรรพธรรม ไม่ข้องหมองในทุกสิ่ง ห่างพ้นจากธรรมลักษณะทั้งหลาย ไร้แม้หนึ่งสิ่งที่จะได้ เช่นนี้เรียกว่าอนุตตรยาน ในความหมายของยานคือการเคลื่อนปฏิบัติ ไม่ใช่อยู่ที่การโต้แย้ง เจ้าควรจะบำเพ็ญด้วยตน อย่าได้ถามอาตมาเลย ในทุกห้วงเวลา ขอให้ดำรงอยู่ในตถตาธรรมญาณอยู่เป็นนิตย์เถอะนะ”
ภิกษุจื้อฉางคารวะขอบคุณ และอยู่คอยปรนนิบัติจนสิ้นอายุขัยของท่านพระธรรมจารย์
ภิกษุจื้อเต้า เป็นคนหนันไห่แห่งเมืองกวางเจา ได้มาขอคำแนะนำจากท่านพระธรรมจารย์ว่า “ตั้งแต่ศิษย์ได้บวชเรียนเป็นต้นมา ก็ได้ศึกษามหาปรินิรวาณสูตรมากว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจับใจความได้สักที จึงขอให้ท่านกรุณาสอนสั่งด้วยเถิด”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจในประเด็นไหน ?”
จื้อเต้าพูดว่า “สังขารทั้งปวงล้วนอนิจจัง ซึ่งเป็นธรรมแห่งการเกิดดับ ยามเมื่อการเกิดการดับได้ดับลงแล้ว การดับอย่างสงบนั้นเป็นความสุข สำหรับข้อความข้างต้นนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก”
พระธรรมจารย์ถามว่า “เจ้าสงสัยในสิ่งใด ?”
จื้อเต้าพูดว่า “เวไนยสัตว์ทั้งหลายมีอยู่สองกาย คือรูปกายและธรรมกาย รูปกายนั้นอนิจจัง ซึ่งมีเกิดมีดับ ธรรมกายนั้นคือนิจจัง ซึ่งไร้ความรู้สึกหรือการรับรู้อะไรทั้งสิ้น ข้อความในพระสูตรที่ตรัสว่า ‘การเกิดการดับได้ดับแล้ว การดับอย่างสงบนั้นเป็นความสุข’ นั้น มิทราบว่าคือกายใดที่ดับอย่างสงบ ? คือกายใดที่ได้ความสุข ? หากเป็นรูปกายล่ะก็ ยามที่รูปกายดับ ธาตุทั้งสี่ก็กระจัดกระจาย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์แล้วจักกล่าวว่าเป็นความสุขได้อย่างไร ? แต่หากเป็นธรรมกายที่ดับสิ้น ฉะนี้ ก็จะไม่ต่างอะไรกับหญ้าไม้กรวดหิน แล้วใครเล่าที่จะได้รับความสุข ? อีกทั้งธรรมกายคือองค์ของการเกิดดับ ขันธ์ห้าคือคุณของการเกิดดับ จากหนึ่งองค์เกิดเป็นห้าคุณ การเกิดดับจึงเป็นนิจจัง การเกิดนั้นคือคุณที่เกิดจากองค์ การดับนั้นคือการดึงคุณรวมเข้าสู่องค์ ถ้าหากเชื่อในเรื่องของการตายแล้วได้เกิดใหม่ พวกสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็จะไม่ดับสูญ แต่หากไม่เชื่อในเรื่องของการตายแล้วได้เกิดใหม่ พวกสิ่งมีชีวิตก็เข้าสู่การดับสิ้นเหมือนดังพวกอวิญญาณก หากเป็นเช่นนี้จริงแล้ว สรรพธรรมทั้งปวงก็เท่ากับถูกนิพพานกักขังเอาไว้ แม้แต่เกิดก็ยังมิอาจมี แล้วไยจะมีความสุขได้ ?”
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “เจ้าเป็นศากยบุตร เหตุใดจึงไปศึกษาเรื่องดับสูญซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิของพวกนอกศาสนา และมาตำหนิธรรมแห่งอนุตตรยานนี้ด้วยเล่า ?
ตามที่เจ้าได้กล่าวไว้ว่า นอกจากรูปกายแล้วยังมีธรรมกาย ห่างจากการเกิดดับเพื่อหวังในการดับอย่างสงบ และยังพูดว่านิพพานคือที่สุดแห่งความสุขอันนิจจัง ทั้งยังกล่าวว่ามีรูปกายที่จักได้รับในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งการมีทัศนะเช่นนี้เรียกว่าเป็นการยึดติดในการเกิดการตาย ห่วงพะวงแต่ความสุขทางโลก
เจ้าเองควรจะรู้ไว้ว่า พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นเวไนยสัตว์ที่มีจิตใจอันลุ่มหลงทั้งหลายว่าต่างได้ยึดเอาการประชุมของขันธ์ห้าเป็นลักษณะของตัวเอง และมาผลักไสแยกแยะว่าสรรพธรรมทั้งหลายเป็นโลกียลักษณะภายนอก จากนั้นเกิดการรักตัวกลัวตาย ทุกความคิดมีแต่ลอยล่องจนไม่รู้จักแยกแยะมายาจริงเท็จ จนที่สุดต้องตกสู่การเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้น ซ้ำยังเข้าใจความศานตินิรันดร์แห่งนิพพานว่าเป็นความทุกข์และไขว่คว้าทะเยอทยานไม่มีสิ้นสุด
ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงสงสารเหล่าเวไนยสัตว์และแสดงให้รู้ถึงความสุขอันแท้จริงแห่งพระนิพพาน เพื่อให้ในบัดดลไร้ลักษณะแห่งการเกิด เพื่อให้ในบัดดลไร้ลักษณะแห่งการดับ อีกยิ่งไม่มีการเกิดดับที่จะดับ ฉะนี้ การดับอย่างสงบก็จักปรากฏ ยามที่การดับอย่างสงบได้ปรากฏ ก็ไร้ปริมาณแห่งการปรากฏ เช่นนี้จึงจะเรียกว่าความสุขอันนิรันดร์ได้ แต่ความสุขนี้จะไม่มีผู้ได้รับ และไม่มีผู้ที่ไม่รับ แล้วไฉนจึงต้องกล่าวว่า หนึ่งองค์เกิดเป็นห้าคุณด้วยเล่า ? ฉะนั้น จึงมิไยต้องพูดถึงพระนิพพานว่าคือสิ่งกักขังสรรพธรรมจนไม่สามารถเกิดได้ตลอดไปอีกเลย การที่มีการกล่าวกันเช่นนี้ ถือว่าเป็นการกล่าวร้ายพระพุทธะและทำลายพระธรรมโดยแท้ !
“จงฟังโศลกของอาตมาก่อนเถิด
อนุตตรมหานิพพาน แจ่มจรัสเรืองอำไพ ปุถุชนถือว่าตาย เหล่าเดียรถีร์ทั้งหลายยึดเป็นการดับสูญ ส่วนคนในสองยาน ที่ขวักไขว่ ก็เข้าใจว่าไม่กระทำ ทั้งหมดเพราะอารมณ์ทำ อีกฐานนำจาก๖๒ ทัศนะ ยึดมายามาบัญญัติ สิ่งใดจึงจัดเป็นความหมายแท้ มีเพียงผู้สูงส่ง จึงปรุโปร่งไร้ยึดละ พึงรู้ว่าในขันธ์ห้า อีกอัตตาในขันธ์นั้น เห็นปรากฏเหล่ารูปพรรณ อีกเสียงสำเนียงหลากนานา เหล่านี้ พึงมองเสมอดุจมายาฝัน อีกไม่เกิดทัศน์อริยะสามัญ ไม่คิดเดาในนิพพาน ฉะนี้ ก็จะสิ้นจากสองขั้วสามภาวะ โดยมักสนองใช้เหล่าอินทรีย์ แต่ไม่มีสัญญาแห่งการใช้ มักแยกแยะในสรรพธรรม แต่ไม่เกิดสัญญาแห่งการแยกแยะ ฉะนั้น มาตรว่าไฟจะบรรลัยจนทะเลแห้ง อีกยุคันตวาต แรงจนเขาทลาย ใจก็ยังคงศานติสุขนิจพรรณราย ลักษณะแห่งนิพพานก็เป็นเช่นฉันนี้ วันนี้อาตมาจำใจสอน เพื่อให้เจ้ารอนทิฏฐิมิจฉา จงอย่าตีความตามวาจา ก็จักแจ้งจิตตารู้บ้างในกลนัย”
ครั้นจื้อเต้าฟังโศลกจบ ก็ได้เกิดความสว่างไสวเปรมปรีดิ์ จากนั้นจึงคารวะและลาจากไป
พระเถระสิงซือ เกิดที่จี๋โจว เมืองอันเฉิง ตระกูลหลิว ได้ทราบว่ามีผู้คนไปฟังธรรมที่เฉาซีเป็นจำนวนมาก จึงได้มานมัสการท่านพระธรรมจารย์พร้อมทั้งถามว่า “ควรปฏิบัติด้วยประการใด จึงจะไม่ตกสู่สภาวะแห่งระดับชั้น ?”
พระธรรมจารย์ถามว่า “เจ้าเคยปฏิบัติอะไรมาหรือ ?”
สิงซือตอบว่า “แม้แต่อริยสัจก็ยังไม่เคยปฏิบัติ”
พระธรรมจารย์ถามว่า “แล้วเช่นนี้ถือว่าตกสู่ระดับชั้นใดเล่า ?”
สิงซือตอบว่า “แม้แต่อริยสัจก็ยังไม่ปฏิบัติ แล้วไยมีระดับชั้นได้ ?”
พระธรรมจารย์รู้สึกชื่นชมเป็นยิ่งนัก จึงให้สิงซือนั่งอยู่บนอาสนะชั้นสูงของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย มีอยู่วันหนึ่ง พระธรรมจารย์ได้พูดต่อสิงซือว่า “เจ้าควรจะรับผิดชอบประกาศธรรมได้แล้ว จงอย่าให้ขาดตอนสูญหายอย่างเด็ดขาด”
สิงซือจึงได้รับธรรมและกลับสู่จี๋โจว หุบเขาชิงเยวี๋ยน เพื่อประกาศธรรมฉุดช่วยเวไนยสัตว์ต่อไป
1
พระเถระหวยยั่ง เป็นคนจินโจว บุตรชายในสกุลตู้ ด้วยเดิมทีได้ไปเยือนท่านพระราชเถราจารย์อัน แห่งซงซัน แต่ท่านพระราชเถราจารย์อันก็แนะนำให้ไปที่เฉาซี และเมื่อหวยยั่งไปถึงพร้อมทั้งได้กราบนมัสการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระธรรมจารย์ได้ถามขึ้นว่า “เจ้ามาจากที่ไหน ?”
หวยยั่งตอบว่า “มาจากซงซัน”
พระธรรมจารย์ถามต่อไปอีกว่า “สิ่งที่มานั้นคืออะไร ? และมาได้อย่างไร ?”
หวยยั่งตอบว่า “จะว่ามันเหมือนอะไรก็เป็นการผิดทั้งสิ้น”
พระธรรมจารย์ถามว่า “ยังสามารถที่จะบำเพ็ญให้บรรลุได้หรือไม่ ?”
หวยยั่งตอบว่า “การบำเพ็ญให้บรรลุนั้นไม่มี ความมลทินหม่นหมองนั้นไม่เกิด”
พระธรรมจารย์พูดว่า “ก็สิ่งที่ไม่หม่นหมองนี้นี่เองที่ปวงพระพุทธะทุกพระองค์ทรงประคองรักษา เจ้ามีเช่นนี้ อาตมาก็มีเช่นนี้ พระธรรมจารย์องค์ที่ ๒๗ นามว่าปรัชญาตาระแห่งประเทศอินเดียได้ทำนายไว้ว่า ‘มีม้าตัวหนึ่งที่เป็นศิษย์ของเจ้า จะเหยียบย่ำมหาชนทั่วหล้า’ ขอแค่รู้อยู่ที่ใจ ยังไม่ต้องรีบกล่าวเร็วไปนัก”
หวยยั่งรู้อยู่แก่ใจดี จึงอยู่อุปัฏฐากท่านพระธรรมจารย์เป็นเวลา ๑๕ ปี จนนานวันได้บำเพ็ญจนมีความสุขุม จากนั้นจึงเดินทางไปที่หนันยวี่ และออกเผยแพร่คำสอนให้สาธุชนมีความแจ่มแจ้งในธรรมญาณกันอย่างกว้างขวาง
1
พระเถระเสวียนเจวี๋ยแห่งหย่งเจีย เมืองเวินโจว เป็นบุตรชายในสกุลต้าย ตั้งแต่ยังเยาว์ก็ได้ศึกษาในพระสูตรคัมภีร์ และมีความแตกฉานในหลักสมาธิปัญญาของนิกายเทียนไถ อีกยังได้อ่านวิมลเกียรตินิเทศสูตรจนเกิดความแจ่มแจ้งในข้อลี้ลับของจิตใจ วันหนึ่ง ได้มีศิษย์ของพระธรรมจารย์ที่ชื่อว่าเสวียนเช่อมาเยี่ยมเยือนโดยบังเอิญ จึงได้ร่วมสนทนาธรรมด้วย ซึ่งเนื้อหาการสนทนาล้วนมีความสอดคล้องต่อหลักประสงค์ของพระธรรมจารย์ทุกพระองค์ เสวียนเช่อจึงถามขึ้นว่า “มิทราบว่าอาจารย์ของท่านคือท่านใดฤา ?”
เสวียนเจวี๋ยได้ตอบว่า “เราได้ทราบจากพระสูตรไวปูลยว่า ผู้ที่ได้รับธรรมล้วนต้องมีอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด อีกในภายหลังเราได้มีความเข้าใจในสภาวะแห่งพุทธจิตจากวิมลเกียรตินิเทศสูตร เพียงแต่ยังมิได้มีอาจารย์มารับรองให้เท่านั้น”
เสวียนเช่อพูดว่า “ก่อนหน้าพระภิสมครรชิตศวรพุทธเจ้านั้น สามารถบำเพ็ญให้สำเร็จบรรลุได้ด้วยตน แต่หลังจากพระภิสมครรชิตศวรพุทธเจ้าแล้ว หากใครไม่มีอาจารย์พิสูจน์ให้และประสงค์จะบรรลุด้วยตนนั้น ล้วนถือเป็นพวกนอกรีตทั้งสิ้น”
เสวียนเจวี๋ยพูดว่า “ขอให้ท่านรับรองให้แก่เราด้วยเถิด”
เสวียนเช่อตอบว่า “เราเองไม่มีบารมีพอ แต่ที่เฉาซีได้มีพระธรรมจารย์องค์ที่ ๖ ซึ่งมีผู้คนจากทุกสารทิศมาชุมนุมนมัสการ อีกยังมีการถ่ายทอดธรรมให้ หากท่านจะไปที่นั่น เราก็จะเดินทางร่วมไปกับท่าน”
เสวียนเจวี๋ยจึงได้เดินทางไปพร้อมกับเสวียนเช่อ ครั้นไปถึง เสวียนเจวี๋ยก็เดินวนพระธรรมจารย์ ๓ รอบ จากนั้นปักไม้เท้าเหล็กกับพื้นและยืนนิ่งอยู่กับที่
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “สำหรับพระภิกษุ คือผู้เปี่ยมด้วยกิริยาอันสง่า ๓,๐๐๐ ประการ อีกยังพร้อมด้วยวัตรปลีกย่อย ๘๐,๐๐๐ ข้อ ส่วนท่านนั้นมาจากที่ใด จึงช่างมีความทะนงถึงเพียงนี้”
เสวียนเจวี๋ยพูดว่า “เรื่องเกิดตายคือเรื่องใหญ่ ส่วนอนิจจังก็ช่างรวดเร็วยิ่ง”
พระธรรมจารย์พูดว่า “ไฉนไม่ลองทำความกระจ่างในความไร้เกิดและลุพ้นจากความรวดเร็วนี้เล่า ?”
เสวียนเช่อตอบว่า “การทำความกระจ่างก็ไร้เกิดอยู่แล้ว การบรรลุนั้นจำเดิมก็ไม่มีความรวดเร็วอยู่แล้ว”
พระธรรมจารย์พูดว่า “สาธุ ! สาธุ !” จากนั้นเสวียนเจวี๋ยจึงทำความเคารพด้วยอิริยาบทอันสง่านอบน้อมและขอลาจากไป
พระธรรมจารย์กล่าวขึ้นว่า “ไม่กลับเร็วไปหน่อยหรือ ?”
เสวียนเจวี๋ยตอบว่า “ความเดิมแห่งเรานั้นไร้การเคลื่อนไหว ไฉนจึงมีเร็วได้เล่า ?”
พระธรรมจารย์ซักถามต่อไปว่า “ใครคือผู้ที่รู้ว่าไร้การเคลื่อนไหวล่ะ ?”
เสวียนเจวี๋ยตอบว่า “ใจท่านได้เกิดความแบ่งแยกเสียแล้ว”
พระธรรมจารย์พูดว่า “เจ้าช่างเข้าใจความหมายแท้ของการไร้เกิดจริง ๆ”
เสวียนเจวี๋ยถามว่า “การไร้เกิดมีความหมายด้วยฤา ?”
พระธรรมจารย์ย้อนถามว่า “หากเป็นการไร้ความหมาย แล้วใครคือผู้แยกแยะและรับรู้ล่ะ ?”
เสวียนเจวี๋ยตอบว่า “การแยกแยะก็มิใช่ความหมายอันแท้จริงแล้ว”
พระธรรมจารย์พูดว่า “สาธุ ! ท่านก็จงอยู่ก่อนซักคืนหนึ่งเถอะ”
ในตอนนั้นมีการกล่าวขานกันว่า คือการ ตรัสรู้เพียงข้ามคืน
พระเถระจื้อหวง จำเดิมแต่ได้ไปพบท่านพระธรรมจารย์องค์ที่ ๕ ก็เกิดความเข้าใจว่าตนได้รับการถ่ายทอดอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นจึงได้นั่งสมาธิในกุฏิเป็นเวลาตลอด ๒๐ ปี สมัยหนึ่ง ศิษย์ของพระธรรมจารย์นามว่าเสวียนเช่อได้เดินทางท่องเที่ยวมาถึงเหอซั่วและก็ได้ทราบกิตติศัพท์ของจื้อหวง จึงได้ไปเยี่ยมที่กุฏิและถามว่า “ท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ?”
3
จื้อหวงตอบว่า “กำลังเข้าสมาธิ”
เสวียนเช่อถามว่า “ท่านตอบว่าเข้าสมาธิ มิทราบว่า เป็นการมีใจเข้าสมาธิ ? หรือเป็นการไร้ใจเข้าสมาธิ ? หากเป็นการไร้ใจเข้าสมาธิ พวกเหล่าหญ้าไม้กรวดหินที่ไร้เลือดเนื้อ ก็ควรได้สมาธิซิ แต่หากเป็นการมีใจเข้าสมาธิ สิ่งที่มีอารมณ์และวิญญาณทั้งหลาย ก็ควรได้สมาธิล่ะซิ”
จื้อหวงตอบว่า “ในขณะที่เราเข้าสมาธินั้นไม่เห็นการมีใจที่ มีหรือไม่มี”
1
เสวียนเช่อพูดว่า “ในเมื่อไม่เห็นมีใจที่ มีหรือไม่มี แล้ว เช่นนี้ก็ควรถือว่าเป็นสมาธิอันจีรัง แล้วไฉนจึงมีการเข้าและการออกจากสมาธิด้วยล่ะ หากสมาธิมีการเข้าการออกได้ เช่นนี้ก็หาใช่มหาสมาธิแล้ว”
1
จื้อหวงไม่อาจโต้ตอบได้ จึงนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ และถามว่า “ขอทราบชื่อเสียงเรียงนามอาจารย์ของท่านด้วยเถอะ”
เสวียนเช่อตอบว่า “อาจารย์ของเรา คือพระธรรมจารย์องค์ที่ ๖ แห่งเฉาซี”
จื้อหวงถามว่า “พระธรรมจารย์องค์ที่ ๖ ถืออะไรเป็นหลักของฌานสมาธิ ?”
เสวียนเช่อพูดว่า “สิ่งที่พระธรรมจารย์ได้พูดไว้ก็คือ มีความสงบศานติอันแยบยล โดยที่ทั้งองค์และคุณมั่นคงในตถตาภาพ ขันธ์ ๕ เดิมนั้นว่างเปล่า อายตนะแท้แล้วไม่มีอยู่ ไม่มีการเข้าไม่มีการออก ไม่มีสมาธิไม่มีฟุ้งซ่าน ธรรมชาติแห่งฌานไร้การกำหนด โดยต้องห่างจาก การกำหนดในความสงบของฌาน ธรรมชาติแห่งฌานไร้การเกิด โดยต้องห่างจาก การเกิดสัญญาแห่งฌาน ใจดุจความว่างเปล่า แต่ก็ไร้ปริมาณแห่งความว่างเปล่า”
เมื่อจื้อหวงได้ฟังดังนี้ จึงได้เดินทางมาคารวะพระธรรมจารย์ พระธรรมจารย์ถามว่า “เจ้ามาจากที่ไหน ?” จื้อหวงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
พระธรรมจารย์พูดว่า “เป็นดั่งที่ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง ๆ ขอเพียงใจเจ้าดุจความว่างเปล่า โดยไม่ยึดติดการเห็นในความว่าง และประยุกต์ใช้อย่างไร้ข้องขัด ไร้ใจแห่งการนิ่งและไหว อารมณ์แห่งปุถุชนและอริยะล้วนลืมสิ้น ใจที่คิดว่า ทำได้และได้ทำ ล้วนดับสูญ ลักษณะแห่งญาณดำรงมั่นในตถตา เช่นนี้ก็จะไม่มีเวลาใดที่ไม่ใช่สมาธิแล้วแล”
ครั้นจื้อหวงได้ฟังก็เกิดความแจ่มแจ้งขึ้นในทันใด ตลอดเวลา ๒๐ ปีที่ใจยึดมั่นในการ ทำได้และได้ทำ ล้วนได้มลายสิ้น โดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ เกิดขึ้นในใจอีกต่อไป จากนั้นจื้อหวงจึงกราบลาและกลับไปที่เหอเป่ย พร้อมทั้งได้อุปเทศสอนสั่งพุทธบริษัทสี่ อย่างกว้างขวาง
ภิกษุรูปหนึ่งถามท่านพระธรรมจารย์ว่า “ธรรมประสงค์แห่งหวงเหมย คนอย่างไรจึงจะมีสิทธิได้ ?”
พระธรรมจารย์ตอบว่า “คนที่เข้าใจในพุทธธรรมจึงจะมีสิทธิได้”
ภิกษุรูปนั้นได้พูดต่อไปว่า “ท่านเองได้รับแล้วหรือยัง ?”
พระธรรมจารย์ตอบว่า “อาตมาไม่รู้ในพุทธธรรมเลย”
วันหนึ่ง พระธรรมจารย์ต้องการจะซักจีวรที่ได้รับตกทอดแต่ไร้น้ำสะอาด ดังนั้นจึงเดินไปยังหลังวัดประมาณห้าลี้เศษ และก็ได้พบป่าเขาลำเนาไพรอันเขียวขจี อีกศุภบรรยากาศแวดล้อมกำจายโดยรอบ ดังนั้นจึงใช้ไม้เท้าของพระภิกษุปักลงกับพื้นดิน ไม่นานน้ำพุก็ถั่งไหลออกมาและสะสมจนกลายเป็นแอ่งน้ำ ท่านจึงคุกเข่าซักจีวรบนก้อนหินนั้น ในทันใดได้มีภิกษุรูปหนึ่งเข้ามาทำความเคารพพร้อมทั้งพูดว่า “ศิษย์มีชื่อว่าฟังเปี้ยน เป็นคนซีสู่ ในอดีต เมื่อครั้งยังอยู่ในประเทศอินเดีย ได้พบพระโพธิธรรมที่นั่น ท่านได้สั่งไว้ว่า ‘จงรีบไปที่ประเทศจีน เพราะตอนนี้สัทธรรมจักษุพร้อมจีวรที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้แก่พระมหากัสปะ ได้ถ่ายทอดสู่พระธรรมจารย์รุ่นที่ ๖ ที่เฉาซีแห่งเมืองเสาโจวแล้ว เจ้าจงไปนมัสการที่นั่นเถอะ’ ดังนั้นจึงได้เดินทางแต่ไกลมาด้วยมีประสงค์จะขอดูบาตรจีวรที่เป็นสัญลักษณ์ตกทอดเรื่อยมาของพระธรรมจารย์”
ท่านพระธรรมจารย์จึงนำออกมาแสดงให้ดู พร้อมทั้งถามว่า “เจ้าถนัดในอาชีพใดหรือ ?”
ฟังเปี้ยนตอบว่า “ถนัดในงานปั้น”
พระธรรมจารย์ได้กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ลองปั้นให้ดูหน่อยซิ”
ฟังเปี้ยนรู้สึกหนักใจ ครั้นผ่านไปหลายวัน ก็ได้ปั้นรูปเหมือนของท่านพระธรรมจารย์ สูงเจ็ดนิ้ว ลักษณะมีความสมจริงเป็นอย่างมาก
พระธรรมจารย์ได้หัวเราะขึ้นและกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจแต่เรื่องงานปั้นจริง ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ลึกซึ้งในพุทธญาณเลยนะ” พระธรรมจารย์ได้เอื้อมมือไปลูบศีรษะของฟังเปี้ยน และให้พรว่า “จงได้รับเนื้อนาบุญแห่งมนุษย์และเทวา ตลอดกาลนานเถิด”
ทั้งนี้ ท่านพระธรรมจารย์ยังได้มอบจีวรให้เป็นรางวัลตอบแทนอีกด้วย หลังจากฟังเปี้ยนได้รับจีวรก็ได้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน โดยส่วนหนึ่งนำมาคลุมรูปปั้น ส่วนหนึ่งนำมาเก็บไว้ที่ตัว อีกส่วนหนึ่งใช้ใบลานห่อและนำฝังไว้ในดิน พร้อมทั้งอธิษฐานว่า “หากต่อไปใครขุดพบผ้าผืนนี้ ผู้นั้นก็คือเราที่จะมาเกิดเป็นเจ้าอาวาส พร้อมทั้งสร้างวัดอารามอยู่ที่นี่”
มีภิกษุรูปหนึ่งนำโศลกที่แต่งขึ้นโดยพระว่อหลุนมาท่องบ่น โดยมีความว่า
อันว่อหลุนมากเคล็ดเปี่ยมทีเด็ด
สามารถเผด็จทุกดำริที่มากมาย
ต่อสภาวะไม่มีเกิดใจทั้งหลาย
จิตโพธิโตพรรณรายทุกวันคืน
เมื่อพระธรรมจารย์ได้ฟังจึงกล่าวว่า “โศลกนี้ยังไม่แจ่มแจ้งในสภาวะของจิตใจ หากมีการปฏิบัติตามนี้ ก็มีแต่จะเพิ่มความผูกมัดมากขึ้นกว่าเก่า” จึงได้กล่าวเป็นโศลกว่า
เราฮุ่ยเหนิงไร้เคล็ดมากทีเด็ด
ไม่เผด็จทุกห้วงคิดจิตทั้งหลาย
ต่อสภาวะใจมักเกิดเลิศเฉิดฉาย
โพธิไยต้องเจริญเลื่อมพรรณราย
5 บันทึก
6
2
9
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พระสูตรเว่ยหล่าง
5
6
2
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย