Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
อมร ทองสุก
•
ติดตาม
27 ส.ค. 2019 เวลา 11:00 • ปรัชญา
พระสูตรเว่ยหล่าง
หมวดที่ 6
ว่าด้วยการขอขมาสำนึก
2
ครั้งหนึ่ง พระธรรมจารย์ได้เห็นสาธุชนจากเมืองกวางเจา เสาโจว และจากทุกสารทิศมาชุมนุมกันบนเขาเพื่อฟังธรรมกถาจากท่านพระธรรมจารย์ ท่านจึงได้ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ธรรมและกล่าวว่า “มาเถอะ ! ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย ! เรื่องนี้ควรต้องเริ่มจากธรรมญาณเป็นสำคัญ
2
ในทุก ๆ เวลา ทุกวิถีความคิด ตนจะต้องชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ บำเพ็ญความประพฤติของตนให้ดีงาม และให้เห็นธรรมกายในตัวของเราเอง เห็นจิตพุทธะในตัวของเราเอง ตนเองคือผู้ต้องฉุดช่วยตน ตนเองคือผู้ที่ต้องเพียรศีลกวดขันตน จึงจะไม่ถือว่าเสียเวลามาฟังธรรมกันที่นี่ ในเมื่อทุกคนต่างมาจากแดนไกลและร่วมชุมนุมกันในที่นี้ ก็ถือว่าต่างมีบุญร่วมกัน เอาล่ะ ! ตอนนี้ทุกคนจงคุกเข่า แล้วอาตมาจะถ่ายทอด คันธ สาระ๕ แห่งธรรมญาณ จากนั้นจึงจะถ่ายทอด อลักษณะขมาสำนึก” เมื่อท่านกล่าวจบ สาธุชนก็พร้อมเพรียงกันคุกเข่า
1
พระธรรมจารย์กล่าวว่า “ประการที่หนึ่งคือ ศีลคันธสาระ ซึ่งก็คือภายในใจตนไร้ความผิด ไร้ความชั่ว ไร้ความโกรธ ไร้ความโลภ ไร้การคุกคาม ไร้ความริษยา เช่นนี้เรียกว่าศีลคันธสาระ
“ประการที่สองคือ สมาธิคันธสาระ ก็คือแม้นจะประสบในสภาวะแห่งความดีความชั่ว แต่ภายในใจไม่เกิดอาการหวั่นไหว เช่นนี้เรียกว่าสมาธิคันธสาระ
2
“ประการที่สามคือ ปัญญาคันธสาระ หมายความว่า ใจตนไร้ขัดข้อง โดยหมั่นใช้ปัญญาส่องพินิจธรรมญาณตน ไร้การก่ออกุศลกรรมทั้งปวง และแม้นจะสร้างกุศลกรรมมากมาย แต่ใจก็ไร้ความยึดติดใด ๆ ทั้งสิ้น จิตใจมีความเคารพต่ออาวุโส อารีต่อผู้ด้อยโอกาส ใส่ใจต่อผู้กำพร้าและผู้ยากจน เช่นนี้เรียกว่าปัญญาคันธสาระ
1
“ประการที่สี่คือ วิมุติคันธสาระ ก็คือภายในใจตนไม่มีการไขว่คว้าหาสัมพันธ์ ไม่คิดดี ไม่คิดร้าย มีความอิสระไร้ขัดข้อง เช่นนี้เรียกว่าวิมุติคันธสาระ
“ประการที่ห้าคือ วิมุติญาณทัศนะคันธสาระ คือว่า แม้จิตใจตนไม่เกิดความทะยานไขว่คว้าในสัมพันธ์แห่งดีและชั่ว แต่ก็ไม่ควรที่จะยึดติดดื้อรั้นในความว่าง หากควรมีความพหูสูตใฝ่ศึกษา เห็นแจ้งในจิตเดิม แจ่มแจ้งในพุทธธรรมทั้งปวง และสามารถคลุกคลีกับโลกีย์โดยไม่เคลื่อนจากปัญญาญาณ ไร้อาตมะ ไร้บุคคละ กระทั่งบรรลุตรงสู่โพธิวิถี โดยธรรมญาณไม่เกิดความหวั่นไหว เช่นนี้เรียกว่าวิมุติญาณทัศนะคันธสาระ
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! คันธสาระต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องคลุ้งจากภายใน มิต้องไปหากันที่ภายนอก เอาล่ะ ตอนนี้จะขอถ่ายทอด อลักษณะขมาสำนึก แก่ทุกท่าน เพื่อขจัดบาปกรรมใน ๓ กาล ให้ได้ความบริสุทธิ์แห่งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ท่านผู้คงแก่เรียน ! ขอให้ทุกท่านกล่าวตามอาตมากันเถอะ
“เราแห่งสานุศิษย์ทั้งหลาย ขอให้ทุกวิถีความคิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ขอให้ทุกวิถีความคิดเหล่านี้ อย่าได้มัวหมองจากความลุ่มหลงมัวเมา อกุศลกรรมทั้งปวงอันได้เกิดจากความลุ่มหลงมัวเมามาแต่อดีตนี้ ศิษย์ขอน้อมขมาสำนึกด้วยใจจริง และขอให้มลายหายไป อย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย
“เราแห่งสานุศิษย์ทั้งหลาย ขอให้ทุกวิถีความคิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ขอให้ทุกวิถีความคิดเหล่านี้ อย่าได้ถูกรังควานจากความเย่อหยิ่งอวดดี อกุศลกรรมต่าง ๆ อันได้เกิดจากความเย่อหยิ่งอวดดีมาแต่อดีตนี้ ศิษย์ขอน้อมขมาสำนึกด้วยใจจริง และขอให้มลายหายไป อย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย
“เราแห่งสานุศิษย์ทั้งหลาย ขอให้ทุกวิถีความคิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ขอให้ทุกวิถีความคิดเหล่านี้ อย่าได้ถูกก่อกวนจากความอิจฉาริษยา อกุศลกรรมต่าง ๆ อันได้เกิดจากความอิจฉาริษยามาแต่อดีตนี้ ศิษย์ขอน้อมสำนึกด้วยใจจริง และขอให้มลายหายไป อย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย
1
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ทั้งหมดนี้คือ อลักษณะขมาสำนึก แต่อะไรคือการ ขมา ? และอะไรคือการ สำนึก ล่ะ ? สำหรับการ ขมา นั้น คือการขอขมาในบาปที่ก่อ อันอกุศลกรรมทั้งปวงในแต่อดีต ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เกิดแต่ความลุ่มหลงก็ดี ความอวดดีริษยาก็ดี ทั้งหมดเราล้วนขอขมาให้หมดสิ้น และจงอย่าให้เกิดขึ้นอีกต่อไป เช่นนี้เรียกว่าการขมา
และสำหรับการ สำนึก นั้น ก็คือการสำนึกมิให้ผิดซ้ำ และนับแต่นี้เป็นต้นไป ในอกุศลกรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เกิดแต่ความลุ่มหลงมัวเมาก็ดี หรือความเย่อหยิ่งริษยาต่าง ๆ ก็ดี บัดนี้ได้มีความสำนึกแล้ว และจะขอขจัดให้มลายหายสิ้น มิให้เกิดกำเริบขึ้นอีกต่อไป เช่นนี้เรียกว่าการสำนึก
ด้วยเหตุผลประการนี้ จึงจำเป็นต้องมีพร้อมทั้งการขมาและการสำนึก แต่สำหรับปุถุชนคนเขลา มักรู้จักแต่การขมาในกรรมที่ก่อ แต่ไม่รู้จักสำนึกมิให้ผิดซ้ำ ก็เนื่องด้วยไม่มีความสำนึก กรรมเก่ายังไม่สิ้น บาปใหม่ยังเกิดซ้ำ ก็ในเมื่อกรรมเก่ายังไม่สิ้น อีกทั้งยังสร้างบาปใหม่ขึ้นทับถม แล้วเช่นนี้จะเรียกว่าขมาสำนึกอย่างไรได้ ?
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ในเมื่อได้ขมาสำนึกจบแล้ว เราจะมาร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณ ๔ ประการ ทุกคนจงตั้งใจฟังให้ดี ข้อความของคำสัตย์ปฏิญาณ ๔ ประการมีดังนี้
เวไนยสัตว์ในใจตนสุดคณนา ข้าขอปฏิญาณโปรดให้สิ้น
ความกลัดกลุ้มในใจตนสุดคณนา ข้าขอปฏิญาณตัดขาดสิ้น
ธรรมวิธีแห่งธรรมญาณสุดคณนา ข้าขอปฏิญาณศึกษาสิ้น
พุทธมรรคแห่งธรรมญาณแม้นสูงล้ำ ข้าขอปฏิญาณบรรลุสิ้น
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ทุกท่านมิใช่กล่าวว่า เวไนยสัตว์เหนือคณนา แต่ขอปฏิญาณโปรดให้สิ้น หรอกหรือ ? แม้นว่าจะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็หาใช่อาตมาเป็นคนโปรดไม่
ท่านผู้คงแก่เรียน ! เวไนยสัตว์ในใจนั้น หมายถึงใจมิจฉา ใจริษยา ใจหลอกลวง ใจอกุศล ใจโหดร้าย ซึ่งใจต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นเวไนยสัตว์ โดยจะต้องอาศัยธรรมญาณตนเท่านั้นที่โปรดตน เช่นนี้จึงจะเรียกว่าการโปรดแท้ แต่อะไรคือ ธรรมญาณตนโปรดตน ล่ะ ?
“ก็คือเหล่ามิจฉาทิฏฐิและโง่เขลากังวล ซึ่งเป็นเวไนยสัตว์ในใจตนเหล่านี้ ก็ให้ใช้สัมมาทิฏฐิโปรด เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ ปัญญาญาณแห่งตนก็ได้ทำลายเหล่าอวิชชาความลุ่มหลงอันเป็นเวไนยสัตว์เหล่านี้ไป โดยที่แต่ละคนก็คือผู้โปรดตน หรือก็คือยามมิจฉามา ใช้สัมมาโปรด ยามหลงมา ใช้ความแจ้งโปรด ยามเขลามา ใช้ปัญญาโปรด ยามร้ายมา ใช้ความดีโปรด ด้วยการโปรดเหล่านี้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นการโปรดแท้
“อนึ่ง ที่ได้กล่าวว่า ความกลัดกลุ้มสุดคณนา ข้าขอปฏิญาณตัดขาดสิ้น นั้น ก็คือการนำปัญญาแห่งธรรมญาณไปขจัดซึ่งจิตใจความคิดอันเป็นมายาให้สิ้นไป
1
“อนึ่ง ที่ได้กล่าวว่า ธรรมวิธีสุดคณนา ข้าขอปฏิญาณเรียนรู้สิ้น นั้น ก็คือการเห็นแจ้งในธรรมญาณด้วยตน หมั่นเจริญในสัทธรรม เช่นนี้จึงจะเรียกว่าการเรียนรู้แท้
“อนึ่ง ที่กล่าวว่า พุทธมรรคแม้นสูงล้ำ ข้าขอปฏิญาณบรรลุสิ้น นั้น ก็คือการอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เป็นนิจและเจริญในความจริงแท้ ห่างจากความหลง ห่างจากความแจ้ง และให้บังเกิดปัญญาอยู่ทุกเวลา ขจัดความจริงและความเป็นมายา เช่นนี้จึงจะแจ้งในพุทธญาณ หรือก็คือการบรรลุในพระพุทธมรรคโดยทันใด ดังนั้น ขอเพียงทุกท่านรำลึกอยู่เสมอว่าจะพากเพียรบำเพ็ญ เช่นนี้ก็ถือว่าตั้งปฏิญาณนี้แล้ว
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! วันนี้ได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณ ๔ ประการแล้ว จากนี้จะขอถ่ายทอด อลักษณะตรีสรณะศีล แก่ท่านทั้งหลาย
1
ท่านผู้คงแก่เรียน ! สรณะต่อความแจ้ง คือสุดประเสริฐแห่งบุญและปัญญา สรณะต่อความสัมมา คือสุดประเสริฐแห่งการละตัณหา สรณะต่อความบริสุทธิ์ คือสุดประเสริฐแห่งนรชน และเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงถือความแจ้งเป็นครู มิควรถือนอกรีตมิจฉามารเป็นสรณะ ควรหมั่นใช้ไตรรัตน์แห่งธรรมญาณพิสูจน์ด้วยตน
ถึงตรงนี้ก็ขอเตือนท่านทั้งหลายให้ถือไตรรัตน์แห่งธรรมญาณเป็นสรณะ กล่าวคือ อันว่าพระพุทธนั้น หมายถึงความรู้แจ้ง อันว่าพระธรรมนั้น หมายถึงความสัมมา อันว่าพระสงฆ์นั้น หมายถึงความบริสุทธิ์
“ใจตนเมื่อได้ถือความรู้แจ้งเป็นสรณะ ความมิจฉาลุ่มหลงก็จะไม่บังเกิด ความทะยานอยากก็จะลดน้อยและรู้พอ อีกยังสามารถห่างจากโลภะและราคะ เช่นนี้จึงจะเรียกว่าสุดประเสริฐแห่งบุญและปัญญา
1
“ครั้นใจตนได้ถือความสัมมาเป็นสรณะ ในทุก ๆ ความคิดก็จะไร้ทิฏฐิมิจฉา ก็เนื่องด้วยการไร้ทิฏฐิมิจฉา จึงจะไร้อาตมะบุคคละ ไร้ความเย่อหยิ่งจองหอง ไร้ความโลภรักยึดติด ฉะนี้จึงจะเรียกว่าสุดประเสริฐแห่งการละตัณหา
“ครั้นใจตนได้ถือความบริสุทธิ์เป็นสรณะแล้ว สภาวะแห่งโลกีย์พันธะ ปฏิพัทธ์ตัณหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดการเกาะเกี่ยวมัวหมองในธรรมญาณ เช่นนี้จึงจะเรียกว่าสุดประเสริฐแห่งนราชน
“หากสามารถบำเพ็ญด้วยปฏิปทาเหล่านี้ ก็ถือว่าตนได้สรณะแล้ว แต่ปุถุชนคนสามัญมิใช่เช่นนั้น คือแม้จะสรณะต่อไตรรัตน์จากยามเช้าจนยามค่ำ แต่ในใจก็มักจะถามว่า ‘หากสรณะต่อพระพุทธ แล้วพระพุทธอยู่ที่ไหนล่ะ ? หากไม่เห็นพระพุทธ แล้วจะสรณะอย่างไรได้ ? หากว่าเป็นเช่นนี้ จะไม่ถือเป็นการพูดปดไปแล้วหรือ ?’
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ทุกคนจงสำรวจดูให้ดี อย่าได้เข้าใจผิด ในอวตัมสกสูตรได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘ตนสรณะพระพุทธ’ ซึ่งไม่ได้กล่าวว่า ‘สรณะพระพุทธในที่อื่น’ พระพุทธในตนไม่ถือเป็นสรณะ ก็ไม่มีที่หนใดถือเป็นสรณะได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้ทุกคนต่างแจ่มแจ้งแล้วว่าควรต้องสรณะต่อไตรรัตน์ในใจตน ก็ขอให้ภายในจงปรับสภาวะจิตใจ ภายนอกจงนอบน้อมต่อชนทั้งหลาย เช่นนี้ก็ถือว่าตนได้สรณะแล้ว
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ในเมื่อทุกท่านต่างได้สรณะต่อไตรรัตน์แห่งตนแล้ว ก็ขอให้ทุกท่านจงมุ่งมั่นบากบั่น และอาตมาจะกล่าว หนึ่งร่างสามกายของพุทธะแห่งธรรมญาณ เพื่อให้ทุกคนต่างได้เห็นตรีกาย และเกิดความแจ่มแจ้งในธรรมญาณด้วยตน ตอนนี้ทุกคนจงกล่าวตามอาตมาก่อน
ในรูปกายตน ได้สรณะต่อพุทธะธรรมกายอันบริสุทธิ์
ในรูปกายตน ได้สรณะต่อพุทธะสัมโภคกายอันสมบูรณ์
ในรูปกายตน ได้สรณะต่อพุทธะนิรมาณกายอันไพศาล
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! รูปกายนี้คืออาคาร จึงไม่ควรถือเป็นสรณะ ดังนั้นจึงควรถือตรีกายพุทธะเป็นสรณะ ซึ่งแท้จริงก็อยู่ในธรรมญาณของตน โดยที่ชาวโลกล้วนมีอยู่พร้อม แต่ด้วยเพราะจิตใจลุ่มหลง จึงไม่อาจแจ่มแจ้งในธรรมญาณภายในได้
ฉะนั้น หากเราเอาแต่แสวงหาตรีกายตถาคตที่ภายนอก ก็จะไม่สามารถแจ้งตรีกายพุทธะในกายตน ท่านทั้งหลายจงฟังให้ดี เพื่อให้ทุกคนได้แจ้งว่า แท้จริงแล้ว ธรรมญาณในกายตนนั้นมีตรีกายพุทธะ โดยตรีกายพุทธะนี้เกิดจากธรรมญาณ มิใช่ได้จากภายนอก
1
“เอาล่ะ ! อะไรเรียกว่า พุทธะธรรมกายอันบริสุทธิ์ ? กล่าวคือ ธรรมญาณของชาวโลกจำเดิมก็บริสุทธิ์อยู่แล้ว ซึ่งสรรพธรรมทั้งปวงล้วนเกิดจากธรรมญาณ ยามที่คิดคำนึงในสิ่งชั่วร้าย ก็จะเกิดการกระทำที่ชั่วร้าย ยามที่คิดคำนึงในสิ่งดีงาม ก็จะเกิดการกระทำที่ดีงาม ด้วยสรรพธรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในธรรมญาณเหล่านี้ ก็จะประหนึ่งฟ้าที่นิจสดใส ประหนึ่งตะวันเดือนที่นิจอำไพ แต่เนื่องด้วยถูกเมฆปกคลุม บนสว่างแต่ล่างมืดมิด และในทันใดได้ถูกลมพัดจนเมฆกระจาย เมื่อนั้น ทั้งบนและล่างก็ล้วนสว่างเป็นเนื้อเดียว ยามนั้นรูปพรรณต่าง ๆ ล้วนได้ปรากฏชัด แต่ธรรมญาณของชาวโลกทั่วไปมักเลื่อนลอย ซึ่งก็เหมือนเช่นเมฆบดบังแสงตะวันนั่นเอง
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ปัญญานั้นดุจตะวันเดือน ซึ่งมีความสว่างโชติช่วงอยู่ทุกเวลา แต่หากยึดติดในสภาวะภายนอก เช่นนี้ก็จะถูกอาการความคิดนั้นมาปกคลุมธรรมญาณ อันเป็นดั่งเช่นเมฆที่บดบังตะวันจนไร้ประกายอำไพ แต่ครั้นได้ประสบผู้ทรงปัญญาและได้สดับพระสัทธรรมจนตนได้ขจัดความลุ่มหลงแห่งมายา เมื่อนั้นทั้งภายในและภายนอกก็จักสุกสกาว สรรพธรรมแห่งธรรมญาณก็จักได้ปรากฏชัด สำหรับบุคคลที่แจ้งในธรรมญาณก็เป็นเช่นนี้ดุจเดียวกัน ฉะนั้น จึงได้ชื่อว่าพุทธะธรรมกายอันบริสุทธิ์
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ใจตนสรณะต่อธรรมญาณตน จึงจะเป็นการสรณะต่อพระพุทธแท้ สำหรับผู้ที่ได้สรณะอย่างแท้จริงแล้ว จึงจะถือว่าได้ขจัดจิตอกุศล จิตริษยา จิตสอพลอ จิตอัตตา จิตมดเท็จคดโกง จิตดูถูก จิตโอหัง จิตเห็นผิด และจิตเย่อหยิ่งในธรรมญาณตน ซึ่งรวมทั้งอกุศลปฏิปทาในทุกห้วงเวลา โดยจะพบเห็นแต่ความผิดของตนอยู่เป็นนิจ และไร้การวิพากษ์วิจารณ์ในความดีความชั่วของผู้คน
ดังนั้น จึงจะถือว่าตนได้สรณะอย่างแท้จริง อนึ่ง ยังพึงต้องหมั่นถ่อมใจอยู่ทุกเวลา มีการดำเนินปฏิปทาอย่างนบนอบโดยถ้วนหน้า ฉะนี้จึงจะถือเป็นการแจ้งในธรรมญาณอย่างสมบูรณ์ โดยจะไร้อุปสรรคมัวหมองเกิดขึ้นอีกต่อไป ดังนี้ จึงจะถือว่าตนได้สรณะอย่างแท้จริง
“อะไรคือ สัมโภคกายอันสมบูรณ์ ? ข้อนี้ก็เสมือนหนึ่งประทีปที่สามารถขับไล่ความมืดที่เป็นมานับพันปี หนึ่งปัญญาที่สามารถดับความโง่เขลาที่เป็นมานับหมื่นปี ที่ผ่านไปก็จงอย่าได้หวนคิด เพราะมันไม่อาจจะทำอะไรได้อีกกับสิ่งที่ได้ผ่านไปแล้ว ที่สำคัญคือควรหมั่นระลึกถึงเรื่องข้างหน้า ให้ทุกความคิดมีความกลมใสบริสุทธิ์และแจ่มแจ้งในธรรมญาณด้วยตน
จงรู้ไว้ว่า ความดีและความชั่วแม้มีความแตกต่าง แต่ธรรมญาณไม่อาจมีความเป็นสองได้ และสำหรับญาณอันไม่เป็นสอง จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ญาณแท้ ด้วยการดำรงในญาณอันเที่ยงแท้ จึงจะไม่เกิดความข้องหมองในดีและชั่ว เช่นนี้เรียกว่า พุทธะสัมโภคกายอันสมบูรณ์
“หากธรรมญาณได้เกิดความคิดที่ชั่วร้าย ก็จะเป็นการดับกุศลมูลนับหมื่นกัลป์ หากธรรมญาณได้เกิดความคิดที่ดีงาม ก็จะเป็นการชำระบาปที่มากมายดุจเม็ดทรายในคงคานที จนกระทั่งมุ่งตรงสู่อนุตตรโพธิ โดยในทุกวิถีความคิดล้วนมีความแจ่มชัดและไม่หลงไปจากจิตเดิมแท้ เช่นนี้เรียกว่าสัมโภคกาย
“อะไรคือ นิรมาณกายอันไพศาล ? กล่าวคือ หากไม่ดำริในสรรพธรรม ธรรมญาณจำเดิมก็ดุจดังความว่างเปล่า แต่ยามหนึ่งดำริที่ผุดเกิด เช่นนี้ก็คือความ แปรผัน กล่าวคือ หากดำริในความชั่วร้าย ก็จะแปรเป็นแดนนรกานต์ หากดำริในความดีงาม ก็จะแปรเป็นแดนสวรรค์ พยาบาทแปรเป็นอสรพิษมังกรร้าย เมตตากรุณาแปรเป็นพระโพธิสัตว์ ปัญญาแปรเป็นอนุตตรแดน ลุ่มหลงมัวเมาแปรเป็นทุคติแดน
ธรรมญาณมีความสามารถแปรผันได้หลากหลาย แต่สำหรับคนลุ่มหลงนั้นจะไม่สามารถแจ้งพินิจได้ และในทุกดำริก็มักบังเกิดแต่ความชั่วร้าย เจริญแต่วิถีแห่งความหายนะ แต่หากยามที่กุศลความคิดได้บังเกิด เมื่อนั้นปัญญาก็จะบรรเจิด เช่นนี้เรียกว่า พุทธะนิรมาณกายแห่งธรรมญาณ
1
“ท่านผู้คงแก่เรียน ! ทุกคนได้มีพร้อมด้วยธรรมกายอยู่แล้ว โดยหากในทุกดำริมีความแจ่มแจ้งในธรรมญาณด้วยตนก็คือพุทธะสัมโภคกาย จากสัมโภคกายที่คิดคะเนในสิ่งต่าง ๆ ก็คือพุทธะนิรมาณกาย และการที่ตนได้แจ้ง ตนได้บำเพ็ญในบุญกุศลแห่งธรรมญาณ จึงจะเป็นการสรณะที่แท้จริง
จงรู้ไว้ว่าเนื้อหนังมังสะคือรูปกาย รูปกายเป็นเพียงอาคาร จึงไม่ควรที่จะถือเป็นสรณะได้ ขอเพียงแต่ให้แจ่มแจ้งในตรีกายแห่งธรรมญาณ เช่นนี้ก็คือการกระจ่างในพุทธะแห่งธรรมญาณแล้ว อาตมามีโศลกนิรรูปอยู่หนึ่งบท หากสามารถสวดท่องและนำปฏิบัติ ก็จะสามารถชำระบาปอันสะสมมานานนับกัปให้หมดสิ้นในทันใดได้ เนื้อความโศลกมีอยู่ว่า
คนหลงไซร้ใฝ่ทำบุญไม่บำเพ็ญ
คิดว่าเพียรในบุญทานนั้นคือธรรม
ณตบูชากรานกราบแม้นบุญล้ำ
แต่ยังทำสามทุคติ ที่กลางใจ
เดิมมุ่งหมายใฝ่บุญทานล้างเวรบาป
แม้นได้บุญแต่ตุนบาปตราบชาติหน้า
จึงขอให้ไล่เหตุบาปที่จิตตา
รู้ขมาหาผิดตนที่ธรรมญาณ
พลันรู้แจ้งมหายานหาญสำนึก
ขับมิจฉาสัมมาตรึกจึงไร้บาป
ผู้ศึกษาแจ้งธรรมญาณหมั่นซึมซาบ
ก็จักทาบเทียมพุทธาหาใช่อื่น
บรรพจารย์เพียงประสาทศาสตร์ฉับพลัน
หวังนิกรยลแจ้งญาณคือพุทไธ
หากดำริแสวงหาธรรมกาย
ห่างธรรมลักษณ์ชำระใจให้จงดี
พึงมานะเห็นด้วยตนเร่งขวนขวาย
ดำริหลังสิ้นชีวินวายชาตินี้นาศ
หากแจ่มแจ้งมหายานเห็นธรรมญาณ
จงพนมกราบกรานเพียรที่ใจ”
พระธรรมจารย์กล่าวต่อไปว่า “ท่านผู้คงแก่เรียน ! ขอให้ทุกท่านจงบำเพ็ญเพียรตามนี้ หากสามารถปฏิบัติได้ดังนี้ ก็จะเห็นแจ้งธรรมญาณในทันใด ด้วยมาตรว่าจะห่างอาตมาไกลพันลี้ แต่ก็ยังเสมือนว่ามีอาตมาอยู่เคียงข้าง แต่หาก ณ จุดนี้ยังไม่แจ้ง แม้ประชันหน้าก็เปรียบดั่งไกลพันลี้ แล้วเช่นนี้ ไฉนต้องบากบั่นมาแต่ไกลด้วยเล่า ? ขอจงถนอมรักษาตัวให้ดีเถอะนะ !”
หลังจากบรรดาสานุศิษย์ได้ฟังจบ ก็เกิดความปราโมทย์สว่างไสว และนำกลับไปปฏิบัติด้วยความปีติ
6 บันทึก
7
9
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พระสูตรเว่ยหล่าง
6
7
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย