Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
KnowBox
•
ติดตาม
13 ต.ค. 2019 เวลา 13:27 • การศึกษา
คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำงานคือการทำเงิน(จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่รวย!)
ความเข้าใจเรื่องงานกับเงิน หลายๆคนเอาไปปนเปกัน คิดว่า "ยิ่งทำงานมาก ยิ่งทำงานหนัก แล้วจะได้เงินมาก"
ภาพจาก pixabay
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย!
การทำงาน แม้จะได้เงินเป็นผลตอบแทน แต่สังเกตมั้ยครับว่ามันไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งคุณทำงานคล้ายกับคนเยอะๆด้วยแล้ว รายได้ยิ่งน้อยไปใหญ่ เช่น ทำงานข้าราชการ ก่อนรัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือน ของกินของขายต่างๆ ก็ปรับขึ้นไปก่อนเงินเดือนขึ้นเสียอีก นั่นเท่ากับว่าการขึ้นเงินเดือนของรัฐบาลไม่ได้ทำให้ข้าราชการรวยขึ้น แต่ยังเป็นการลดค่าเงินลงอีกต่างหาก
ส่วนใครทำงานภาคเอกชน ก็ใช่ว่าคุณจะได้เงินมาก เพราะหากคุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงจริงๆ เงินเดือนก็ต่ำอยู่ดี เนื่องจากเอกชนต้องแข่งขันกับคู่แข่ง ถ้าเขาให้เงินเดือนคุณมาก ก็จะมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้นการการทำงานเป็นลูกจ้าง มันจึงเกือบจะการันตีรายได้อยู่แล้วว่าไม่อาจสูงมากได้ เพราะลูกจ้างตรงข้ามกับเถ้าแก่ เถ้าแก่ต้องการจ่ายน้อยๆ แต่ลูกจ้างต้องการให้จ่ายมากๆ
ผมถามหน่อยแล้วใครจะชนะ?! หุหุ
หลายคนบอกว่าถ้างั้นการศึกษาสูงน่าจะช่วยให้รายได้ดีขึ้นนะ อันนี้ถูกต้อง(แค่บางส่วน) หรือหลายๆคนก็บอกว่างั้นเป็นผู้ประกอบการสิ จะได้เป็นเถ้าแก่เสียเอง แต่ถ้าคุณดูจากสถิติแล้ว การทำธุรกิจเองก็มีโอกาสเสียมากกว่าได้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มันตายไปก่อนจะโตด้วยซ้ำ
อ่านมาถึงตรงนี้หลายๆคนคงเริ่มท้อ ตกลงไม่เห็นจะมีวิธีไหนที่จะทำให้รวยได้เลยฟระ!
ภาพจาก pixabay
"แต่มันมีครับ!" การทำเงินมีหลายวิธี ดังนี้
หนึ่ง ทำเงินโดยใช้ "เงินต่อเงิน" ก็คือ ไปเอาเงินมาลงทุน (ซึ่งโอกาสที่จะเจ๊งก็สูงตามสถิติอีกเช่นเคย) หลายคนเกิดในครอบครัวที่มีฐานะก็โชคดีที่สามารถหาทุนมาได้ง่าย หรืออย่างในกรณีมีเงินแล้วอยากลงทุน อย่างเคสของดารานี่ก็ใช่ เนื่องจากได้ค่าตัวสูง ก็เอาเงินมาทำธุรกิจต่อ ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า มันเป็นการทำเงินโดยเริ่มจากทุน(เหมือนเอาเงินมาทุ่ม) ดังนั้นไอเดียมันจึงไม่บรรเจิด โอกาสสำเร็จเลยน้อยมาก
สอง ทำเงินจากไอเดีย(วิธีนี้แหละ ใช่เลย!) ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสาขาอาชีพใดก็ตาม การเริ่มต้นจากความคิดย่อมมีความเสี่ยงต่ำ แต่ประเด็นก็คือ ยังไงทำกิจการก็ต้องใช้เงินอยู่ดี ดังนั้นคนที่สามารถไปเอาเงินคนอื่นมาลงทุน(OPM : Other People's Money)ได้สำเร็จ มันต้องไม่ธรรมดา เพราะเสมือนคุณจับเสือมือเปล่า
ยกตัวอย่างคนที่ทำเงินด้วยไอเดียที่ใครๆก็รู้จัก เขาคือ บิลเกตส์ นั่นเอง ระหว่างที่เขาเรียนอยู่ ปรากฏว่า IBM เริ่มผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งเวลานั้น บิล เกตส์ กลัวตัวเองตกยุค จึงเขาไปหาบริษัท IBM และเสนอตัวเป็นผู้เขียนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ โดยมีข้อแม้แปลกๆ ก็คือเขาจะขอค่าลิขสิทธิ์
ในเวลานั้นซอฟต์แวร์เป็นของฟรี IBM จึงค่อนข้างแปลกใจว่าทำไม บิล เกตส์ เสนอเงื่อนไขแบบนั้น แต่สุดท้าย IBM ก็ตกลง ซึ่งตอนที่ตกลงนั้น บิล เกตส์ ยังไม่สามารถทำซอฟต์แวร์ที่ว่าได้เองด้วยซ้ำ เพียงแต่เขารู้ว่ามีบริษัทเล็กๆแห่งนึงทำได้
สิ่งที่ บิล เกตส์ ทำก็คือเอาสัญญากับ IBM ไปค้ำประกันเงินกู้ธนาคาร แล้วเอาเงินมาซื้อบริษัทเล็กๆที่ผลิตซอฟต์แวร์ได้จริง ซึ่งในมุมของเจ้าของบริษัทเล็กๆนั้น เขาก็ได้เงินจากการขายกิจการ แต่หารู้ไม่ว่ากิจการที่เขาขายไปนั้น มันได้ทำให้ บิล เกตส์ รวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา
อีกคนที่จับเสือมือเปล่าก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นี่แหละ เขาจัดตั้งกองทุนบริหารเงินของเขาโดยใช้เงินตัวเองเพียงน้อยนิด แต่สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกนั่นมาจากส่วนแบ่งกำไรจากกองทุน (ประมาณ 20% ของกำไร)
ทั้งสองคนนี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่า "อะไรคือการทำเงิน?" และ "อะไรคือการใช้เงินคนอื่น(OPM )?"
การทำเงินมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด แต่ถ้าหากคุณเข้าใจ คุณก็อยู่ไม่ไกลจาก บิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ แล้วละ!
แกะเพิ่ม
การทำธุรกิจปัจจุบัน หลายคนมองว่าโอกาสมันหมดแล้ว แต่จริงๆ คิดอย่างนั้นไม่ถูก เพราะการทำธุรกิจมันก็คือการสร้างสินค้าและบริการที่คนยอมจ่ายเงินซื้อ นั่นแสดงว่า Product & Service ที่เราสร้างขึ้นมาต้องดีพอที่คนอื่นจะยอมซื้อ ของยิ่งดี คนยิ่งอยากซื้อ
ให้คุณคิดว่าโอกาสมันมาจาก "ความต้องการของมนุษย์" ลองคิดดูสิครับว่า คุณอยากได้สินค้าและบริการอะไร แล้วตอนนี้มันไม่มี นั่นแหละคือโอกาส! หรือง่ายกว่าก็คือ มองว่าสิ่งที่มันมีอยู่แล้ว ทำอะไรให้ดีกว่าเดิม ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามากๆ
โอกาสมันมีอยู่ตลอด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำสิ่งนั้นเป็นจริง ถ้าทำได้ "คุณก็รวย!"
แต่แน่นอน มันไม่ง่าย และต้องใช้เงิน ใช้เวลาในการสร้างมากมาย ดังนั้นคนรุ่นใหม่ที่ฉลาด จะต้องมองธุรกิจที่ตัวเองถนัด เพราะเราจะได้อดทนทำได้นาน และต้องเริ่มด้วยต้นทุนต่ำๆ(อาจจะใช้อินเตอร์เน็ตมาช่วยลดต้นทุน) นั่นจึงมีโอกาสสำเร็จได้ เอ้า! สู้ๆ!
ขอขอบคุณหนังสือ แกะรอยหยักสมอง1: รู้แล้วรวย
ด้านล่างคือที่อยู่ของบล็อคผม คุณสามารถเข้าไปอ่านบทความได้ต่อเนื่อง ขอให้สนุกและหวังว่าคุณรับได้ประโยชน์ครับ
livestaybybird.blogspot.com
Live Stay
ผมชื่อ”เบิร์ด”นี่คือเรื่องราวของผมที่จะถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ผมมี
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
หนังสือ แกะรอยหยักสมอง 1 : รู้แล้วรวย
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย