14 ต.ค. 2019 เวลา 04:45 • ประวัติศาสตร์
孔子及弟子
ประวัติขงจื่อและสานุศิษย์
7.จื่อลู่ (子路)
จื่อลู่ ศิษย์ขงจื่อ นามเดิมชื่อว่าจ้งอิ๋ว อีกนามว่าจี้ลู่ จื่อลู่เป็นฉายานามที่ผู้คนรู้จักอย่างแพร่หลาย
ท่านเป็นชาวแคว้นหลู่ อายุอ่อนกว่าขงจื่อ ๙ ปี เป็นผู้องอาจหาญห้าว เคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอให้กับตระกูลจี้ซื่อ เป็นขุนนางในอำเภอผู่อี้แห่งแคว้นเว่ย และเป็นนายอำเภอในอาณัติของข่งหลี เป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที เคยแบกข้าวสารจากแดนห่างไกลถึงพันลี้มาเลี้ยงดูบุพการี ดังนั้นจึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน ๒๔ กตัญญูของจีน
ในเรื่องความกตัญญูนั้น ขงจื่อได้เคยกล่าวชมจื่อลู่ว่า “จื่อลู่เอ๋ย การปรนนิบัติบุพการีของเจ้านั้น ได้ถึงขั้นเมื่อตอนอยู่ทุ่มเทใจ เมื่อตอนตายใจอาลัยได้แล้ว”
เมื่อคราวที่จื่อลู่บริหารเมืองผู่อี้ได้สามปี ขงจื่อได้เดินทางผ่านไปที่นั้น ครั้นถึงชายแดน ขงจื่อเปรยขึ้นว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขาทำงานบริหารด้วยความจริงจังยิ่งนัก” ครั้นเข้าสู่ตัวอำเภอก็อุทานขึ้นอีกว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขามีความอารีต่อชาวบ้านยิ่งนัก” ครั้นขงจื่อถึงจวนว่าการ ก็อุทานขึ้นอีกว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขามีความละเอียดและเด็ดขาดในการตัดสินยิ่งนัก”
ครานั้นจื่อก้งรู้สึกว่าขงจื่อลำเอียงต่อจื่อลู่มากเกินไป จึงถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ยังมิได้เห็นผลงานอย่างเป็นรูปธรรมเลย ไยท่านจึงกล่าวชมจื่อลู่ถึงสามครั้งด้วยเล่า ?” ขงจื่อกล่าวว่า “ข้าได้เห็นผลงานของเขาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว เมื่อตอนที่ข้าเดินทางมาถึงชายแดน ข้าได้เห็นคันนาถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ที่นาไร้วัชพืช คูคลองขุดลอกไม่ตื้นเขิน ข้าก็รู้แล้วว่าเขามีความจริงจังในการทำงาน ดังนั้นชาวบ้านจึงได้ทุ่มเทให้กับการงานได้เช่นนี้ เมื่อข้าเดินเข้าไปถึงตัวอำเภอ ข้าได้เห็นบ้านเรือนฝาผนังล้วนมีความแน่นหนา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนมีความเขียวสด ข้าจึงรู้ว่าเขามีความอารีต่อชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านจึงมิกล้าทำงานอย่างฉาบฉวย เมื่อข้าถึงจวนว่าการ ข้าเห็นระเบียงภายในสงบร่มเย็น ราชบุรุษล้วนทำงานอย่างแข็งขัน ข้าจึงรู้ว่าจื่อลู่ทำงานรอบคอบและเด็ดขาด ดังนั้นราชบุรุษจึงทำงานอย่างสามัคคี จากเรื่องเหล่านี้ ข้าจึงได้ชมจื่อลู่ถึงสามครั้งไงล่ะ ความจริงยังมีข้อดีประการอื่นอีก แต่ข้าจะสามารถกล่าวให้หมดสิ้นอย่างไรได้ ?”
เนื่องจากจื่อลู่มีพรสวรรค์ด้านการเมืองและการทหาร ดังนั้นจึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์แห่งสำนักขงจื่อในหมวดการเมือง โดยมีคติประจำใจว่า “การรับราชการแห่งวิญญูชนนั้น แท้จริงคือการทำหน้าที่ของตนเท่านั้นเอง”
และสาเหตุอันสำคัญที่ทำให้จื่อลู่ประสบผลสำเร็จในการบริหารได้ก็คือการรักษาสัจจะ ในเรื่องนี้จะสามารถเห็นได้จากคำชมที่ขงจื่อให้กับจื่อลู่ว่า “ผู้ที่อาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำก็สามารถตัดสินคดีความได้นั้น ก็คือจื่อลู่คนนี้เองแล”
เนื่องด้วยจื่อลู่เป็นคนที่ยึดมั่นในสัจจะ ดังนั้นผู้คนจึงไม่เคยกังขาในคำตัดสินของท่าน กิตติศัพท์เรื่องการรักษาสัจจะของท่านเลื่องลือไกล จนแม้แต่เจ้าแคว้นเมืองเสี่ยวจูก็ยังทรงมีพระรับสั่งให้จื่อลู่เป็นตัวแทนฝ่ายแคว้นหลู่ในการทำสนธิสัญญา หามิเช่นนั้นก็จะมิยอมทำสัญญาใด ๆ กับแคว้นหลู่ทั้งสิ้น
ในคัมภีร์หลุนอวี่ ส่วนที่มีการบันทึกถึงจื่อลู่มีทั้งสิ้น ๓๙ ตอน นับว่าถูกเอ่ยถึงมากที่สุดในคัมภีร์หลุนอวี่ หรือก็คือทุก ๑๒ ตอนจะมีปรากฏเรื่องราวของจื่อลู่หนึ่งครั้ง ความสำคัญของจื่อลู่จึงสามารถเห็นจากจุดนี้โดยมิพักสงสัย
โดยสรุปก็คือ จื่อลู่เป็นคนที่พูดแล้วต้องทำ เป็นคนห้าวหาญ อารมณ์ร้อน พูดจาตรงไปตรงมา หากมีจิตใจกว้างขวาง ท่านเคยกล่าวว่า “ยินดีให้เพื่อนยืมรถม้า ชุดหนังที่พลิ้วเบา แม้นจะใช้จนเสียไปก็หาได้รู้สึกโกรธเคืองไม่”
ทั้งนี้ ท่านยังเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นมานะ ครั้นได้ยินสิ่งใดที่เป็นเรื่องดี หากท่านยังทำไม่สำเร็จ ก็เกรงว่าจะได้ยินเรื่องใหม่อีก และเนื่องด้วยจื่อลู่เป็นคนที่องอาจห้าวหาญ ขงจื่อจึงมักเตือนให้รู้จักยั้งคิด อย่าได้วู่วามตามอารมณ์ และสอนให้จื่อลู่รู้จัก ๖ คุณธรรมและ ๖ ปิดกั้นว่า “ใฝ่เมตตาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความเขลา ใฝ่ปัญญาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความเห่อเหิม ใฝ่สัจจาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือการบีฑา ใฝ่เที่ยงตรงโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความมุทะลุ ใฝ่ยรรยงโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือการพิพาท ใฝ่กล้าแกร่งโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความอหังการ์”
จากเนื้อหาที่บันทึกในคัมภีร์หลุนอวี่ ก็พอจะทราบได้ว่าจื่อลู่เป็นทั้งธรรมรักษ์และองครักษ์ให้กับขงจื่อ ดังนั้นในขณะที่ขงจื่อออกสัญจรเผยแพร่ธรรม จื่อลู่จึงมักเดินนำหน้าอยู่เสมอ ด้วยเหตุที่มีหน้าที่เช่นนี้ จึงทำให้จื่อลู่ได้ประสบกับเหตุการณ์ที่น่าสนใจมากมาย ดังเช่นได้พบกับบัณฑิตผู้ปลีกวิเวกอย่างฉางจวีและเจี๋ยนี่ เป็นต้น ซึ่งจื่อลู่ล้วนทำหน้าที่เป็นตัวแทนขงจื่อออกสนทนาด้วยทั้งสิ้น
และที่ทำให้ขงจื่อต้องเสียใจอย่างที่สุดก็คือ เมื่อคราวที่แคว้นเว่ยเกิดรัฐประหาร จื่อลู่ได้บุกเข้าช่วยเหลือข่งหลีซึ่งเป็นนายจนต้องเสียชีวิต อีกยังถูกฝ่ายศัตรูรุมสับจนร่างแหลกเหลว จึงทำให้ทุกครั้งที่ขงจื่อนึกถึงเรื่องนี้ต้องร่ำไห้เสียใจอยู่มิขาด และด้วยเหตุนี้ ขงจื่อจึงสาบานว่าจะไม่ทานอาหารประเภทเนื้อสับอีกต่อไป
มหาบุรุษได้จากลาเราไปไกล แต่น้ำเสียงอันหาญห้าว เสียงหัวเราะอันกังวาน ก็ยังคงกึกก้องอยู่ในหัวใจของพวกเราอยู่มิคลาย แม้นสังขารจะดับสิ้นไปกับกาลเวลา แต่ความกตัญญูและความจงรักภักดีของท่านจะยังคงเป็นอนุสรณ์ให้อนุชนได้รำลึกนึกถึงตลอดไป
โฆษณา