20 ต.ค. 2019 เวลา 06:00 • หนังสือ
อิสระเราราคาเท่าไหร่?
50 เคล็ดลับเปลี่ยนความคิด
อิสระเราราคาเท่าไหร่? มนุษย์เราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า "ชีวิตที่ตัวเองออกแบบได้" แต่ชีวิตต้องใช้เงิน และหลายงานก็ให้ผลตอบแทนดีมาก แม้ชีวิตจะต้องยอมถูกออกแบบโดยคนอื่นก็ตาม
ถึงอย่างนั้น หลายครั้ง "อิสระ" ก็มีค่ากว่าเงิน หลายคนจึงออกมาเดินบนทางที่เลือกเองด้วยการทำ "งานไม่ประจำ" แม้อาจจะเจอกับความไม่แน่นอน หรือรายได้ที่อาจจะลดลง
คำถามก็คือ "แล้วทำไมเราต้องเลือก?" ฟังเหมือนได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ถ้ามีเงินก็ไม่มีอิสระ ถ้ามีอิสระก็ไม่มีเงิน ทั้งที่เรามีสองอย่างพร้อมกันได้ และเคล็ดลับทั้งหมดก็อยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
อย่าเข้าใจผิดว่านี่คือหนังสือคู่มือของคนที่อยากจะลาออกจากงานประจำ แต่นี่คือหนังสือสำหรับคนที่อยากเป็นนายของชีวิตตัวเอง แม้วันนี้จะเป็นลูกจ้างอยู่ก็ตาม
นี่คือหนังสือของคนที่อยากออกแบบชีวิตตัวเองได้ และนี่คือหนังสือสำหรับคนที่อยากตอบตัวเองให้ได้ว่า "วันที่ฉันไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ฉันอยากให้คนจดจำว่าฉันเป็นใคร ทำอะไรให้โลกนี้ไว้บ้าง?"
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องถามตัวเองว่า "อิสระเรา ราคาเท่าไหร่?"
"ถ้าอยากมีมากกว่าที่เคยมี คุณต้องเป็นมากกว่าที่คุณเคยเป็น"
บนพื้นราบนั้นรถติด
บนทางยกระดับนั้นรถติดน้อยลง
ส่วนบนท้องฟ้า รถไม่เคยติดเลย
ถ้ายังอยู่ที่พื้น คนก็แน่น แข่งขันกันธรรมดา แต่วันที่เราพัฒนาตัวเองขึ้นสูง วันนั้นเราจะแทบไม่มีคู่แข่งเลย
"มันเป็นการยากที่จะทำให้คนคนนึงเข้าใจในสิ่งที่รายได้ของเค้ายังไปไม่ถึง"
เป็นเรื่องน่าเสียใจ ถ้าเรามี "ค่าตัว" น้อยกว่าความสามารถที่แท้จริง แต่กลับเป็นเรื่องอันตรายในระยะยาวถ้าเรามี "ค่าตัว" มากกว่าความสามารถที่แท้จริง โปรดระวัง! นั่นคือการ "ฆ่าตัว" ตายวันละนิด เพราะไม่วันใดก็วันนึง เมื่อความจริงปรากฎ รายได้ของเราจะลดลงมาเท่ากับความสามารถที่แท้จริง
1
"ผมเป็นคนที่เชื่อในโชค ยิ่งผมทำงานหนักเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งโชคดีมากขึ้นเท่านั้น"
มันมีเหตุผลที่เรามาอยู่ตรงจุดนี้เสมอ ไม่ใช่เรื่องดวงดี ดวงไม่ดี หรือเพราะฟลุกแน่นอน ไม่ต้องโทรไป 1900-1900-XX เพื่อสอบถามดวงว่าทำไมฉันถึงล้มเหลว ทำอย่างไรฉันถึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ต้องโทษคนอื่น ไม่ต้องโทษสถานการณ์ ลองกลับไปค้นดี ๆ แล้วจะพบว่าความล้มเหลวหรือความสำเร็จในวันนี้ของเรา ทิ้งร่องรอยไว้เสมอ
"ชีวิตเรามีเวลาจำกัด อย่าเสียไปกับการทำตัวให้เหมือนคนอื่น"
กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว และอยุธยาก็ไม่เคยสิ้นคนดี เรามีดีในตัว แต่มันต้องวางแผนหน่อยมั้ยครับ?
เย็นนี้จะไปดูหนังยังต้องวางแผน เช็ครอบ จองที่นั่ง แล้ว "หนังชีวิต" มันน่าจะต้องวางแผนหน่อยมั้ย? เราเป็นผู้กำกับและอำนวยการสร้างเองเชียวนะครับ
"คนที่ได้ใช้เวลาทำสิ่งที่อยากทำตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน คนนั้นคือคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว"
ชีวิตอย่างที่เราฝัน ไม่ใช่ทางเลือกว่าเราจะมีหรือไม่มีมันดี แต่มันคือ "ทางเดียวเท่านั่น" ที่เราจะเลือกนั่นคือ "เราต้องดื้อด้านที่จะมีมัน"
"เวลาที่ดีที่สุดในการมีความสุขคือ เดี๋ยวนี้! สถานที่ที่มีความสุขคือ ที่นี่! และวิธีที่จะมีความสุขก็คือการทำให้คนอื่นมีความสุข"
ความสุขกลายเป็นเหมือนกระดูกผูกเบ็ดไว้ที่คอ ยื่นออกไปเพื่อล่อหลอก ยิ่งวิ่งตามมันก็ยิ่งห่างออกไป ไม่ผิดหรอกครับที่จะวิ่งไล่ล่าความฝัน ไม่ผิดหรอกครับที่จะอยากหยุดทำงาน อยากมีอิสรภาพในชีวิต แต่บางครั้งผมว่าเราน่าจะหาจุดพอดี
"ทำงานราวกับคุณไม่ต้องการเงิน รักราวกับคุณจะไม่มีวันเจ็บปวด เต้นรำราวกับไม่มีใครมองคุณอยู่"
งานที่ดีจึงควรประกอบไปด้วยสองสิ่งนี้
นั่นคือมีอุดมการณ์ในการทำงาน รู้ว่างานนี้ทำไปเพื่ออะไร? เพื่อใคร? ทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นอย่างไร? และในขณะเดียวกันก็ต้องมีเงินให้เรากินเราใช้อย่างสบาย ๆ ด้วย ไม่งั้นเราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร ถ้าท้องเรายังร้อง ถ้าลูกเรายังลำบาก
งานที่ดีจึงไม่ใช่แค่ทำให้กระเป๋าพองโต แต่มันต้องทำให้หัวใจพองโตด้วย
"คนสำเร็จถามคำถามได้ดีกว่า ผลลัพธ์ก็คือเค้าได้คำตอบที่ดีกว่า"
ถ้าอยากสำเร็จในชีวิต มีแค่สองอย่างที่ต้องทำ
หนึ่ง : ดูว่าคนล้มเหลวคิด พูด ทำอะไร แล้ว "อย่าทำ"
1
สอง : ดูว่าคนสำเร็จคิด พูด ทำอะไร แล้ว "ทำตาม"
มีเท่านี้จริง ๆ ที่เราต้องโปรแกรมความสำเร็จให้ตัวเอง เกมของความสำเร็จนั้นไม่ต่างอะไรกับเกมจับผิดภาพ กติกามีอยู่ว่ามีสองภาพ
ภาพซ้าย คือ สิ่งที่เราทำอยู่
ภาพขวา คือ สิ่งที่ต้องทำอะไรถึงจะสำเร็จ
2
จากนั้นก็หาว่าสองภาพนี้ต่างกันตรงไหน แล้วก็ทำภาพซ้ายให้เหมือนภาพขวา เท่านั้นก็ชนะเกมนี้แล้ว
3
"สำหรับคนรวยชีวิตคือเรื่องตลก สำหรับคนจนชีวิตคือโศกนาฏกรรม"
ว่ากันว่าในอนาคตชนชั้นกลางจะหายไป เปล่าครับไม่ใช่ขยับไปเป็นคนรวย แต่ขยับลงมาเป็นคนจนต่างหาก คำว่า "คนชั้นกลาง" จะกลายเป็นคำสุภาพของคำว่า "คนจนที่ดูดี"
ถ้าเราไม่ขยัน ถ้าเราไม่ทำตัวเองให้เก่งขึ้น ถ้าเราไม่หัดสร้างคอนเน็คชั่น (ซึ่งสำคัญมากในยุคนี้) มันก็มีแค่สองทาง "รวย" หรือไม่ก็ "จนไปเลย"
"เงินไม่ใช่รากฐานของความชั่วร้าย แต่การไม่มีเงินต่างหาก"
หนึ่ง : หาคนรวยต้นแบบที่เป็นคนดี ช่วยเหลือผู้คน แล้วยกย่องและอยากเป็นอย่างเค้า
สอง : เลิกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่า จากนั้นขอบคุณสิ่งที่มีอยู่
อย่างน้อยแค่คุณอ่านข้อความนี้ออก ก็ดีกว่าคนไม่รู้กี่ล้านคนบนโลกที่อ่านหนังสือไม่ออก เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ความร่ำรวยนั้นเริ่มที่วิธีคิดก่อนครับไม่ใช่วิธีการ
"กุญแจสู่ความเป็นอมตะก็คือ ใช้ชีวิตให้เป็นที่จดจำของผู้อื่น"
ผมว่ามนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุขนะครับ ถ้าเรายังไม่มีความสุขกับงานที่ทำบางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องถามกับตัวเองว่า "อิสระเรา ราคาเท่าไหร่?"
"เวลาคือสิ่งที่เราต้องการที่สุด แต่เรามักจะใช้มันไปอย่างเปล่าประโยชน์ที่สุด"
มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อาจดูไร้ค่าแล้วสำหรับเงินเฟ้อยุคนี้ แต่มีนาทีพึงบรรจบให้ครบชั่วโมงยังมีค่าเสมอเพราะไม่มี "เวลาเฟ้อ" อย่าดูถูก "เศษเวลา" ใช้มันให้คุ้มค่าแล้ว "เศษเวลา" จะเปลี่ยนชีวิตเรา
"ประสบการณ์คือโรงเรียนที่ดี แต่ค่าเทอมมันก็แพงเอาเรื่อง"
เซียนหุ้นคนไหนไม่เคยขาดทุนมาก่อน?
นักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่คนไหนไม่เคยเจ๊ง?
ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์
ผมสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อย ๆ ไปลองทำอะไรใหม่ ๆ ไปลองพลาด ไปลองล้ม ไปลองเจ๊ง (ในขอบเขตที่รับได้) แล้วจะได้อะไรกลับมาเยอะเลย
"ความล้มเหลวคือโอกาสที่จะเริ่มต้นอีกครั้งในแบบที่ฉลาดขึ้น"
ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้คุณกำลังเผชิญกับอะไรอยู่
คุณอาจเบื่องานที่ทำ
คุณอาจจะกำลังสู้กับธุรกิจของคุณอยู่
คุณอาจจะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
คุณอาจจะรู้สึกว่าคุณไม่มีใครแล้ว
คุณอาจจะกำลังนั่งร้องไห้คนเดียว
ถ้ามีหลายคนผ่านมันมาได้ คุณก็ต้องผ่านมันมาได้ เชื่อผมสิ เป็นกำลังใจให้นักสู้ทุกคนครับ
"คนที่เก่งเรื่องหาข้อแก้ตัว เค้าจะไม่เก่งเรื่องอื่นเลยสักเรื่อง"
ถ้าชีวิตคุณมันกำลัง "เละ" อยู่ คุณเท่านั้นที่ต้องเก็บ กวาด กอบมันขึ้นมาใหม่ จัดระเบียบชีวิตอีกครั้งแล้วทำให้มันหอมสะอาด น่าอยู่ อย่ามัวไปรอ "นางฟ้ามหัศจรรย์" ละครับ
"มีคนเพียงคนเดียวที่จะรับผิดชอบคุณภาพชีวิตของคุณได้ คนนั้นก็คือตัวคุณเอง"
ใช่ครับ! ชีวิตอยู่ในกำมือเรา เราต้องเข้าควบคุมมันด้วยตัวเราเอง
"เริ่มแรกเราสร้างนิสัย หลังจากนั้นนิสัยก็สร้างเรา"
เมื่อโลกเปลี่ยนจากยุคเกษตรกรรมมาเป็นยุคอุตสาหกรรม คำว่า "พนักงานประจำ" ก็เกิดขึ้น ผู้คนละทิ้งเรือกสวนไร่นา พากันเข้าเมืองเพื่อไปหา "ชีวิตที่ดีกว่า" เพื่อที่จะพบความจริงว่าพวกเค้าต้องขายเวลา ขายหยาดเหงื่อ แรงกาย บ่อยครั้งที่ต้องทำงานที่อันตราย งานที่ขโมยจิตวิญญาณไป งานที่ทำให้คนเป็นเครื่องจักร ทั้งหมดก็เพื่อแลกกับเงินประทังชีวิตไปเดือน ๆ เท่านั้น ชื่อก็บอกอยู่ว่าเงินเดือน ใช้ได้แค่เดือนเดียว หมดแล้วก็ต้องหาใหม่
"การผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็คือการใช้ชีวิตได้อย่างที่ฝัน"
ถ้าเพียงแต่เราจะรู้เท่าทัน "งาน" กับ "อาชีพ" ไม่เหมือนกัน
"อาชีพ" ทำเพราะพอใจที่จะทำ
"งาน" ทำเพราะได้เงินเดือนประจำ
ไม่ใช่เรื่องผิดที่บางช่วงของชีวิตเราจำเป็นต้องมี "งาน" ไว้เลี้ยงชีพ แต่จงมองหา "อาชีพ" ได้โปรด Please!
"การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่สิ่งที่จำเป็นกับชีวิต แต่มันคือชีวิต"
มีวาระแห่งชาติอยู่ 3 เรื่องที่คนยังไม่ค่อยพูดถึง
หนึ่ง : เดี๋ยวนี้พนักงานเกือบทุกคนต้องมีงานที่สอง เพราะงานประจำเริ่มทำเงินไม่พอค่าใช้จ่ายแล้ว เราจึงได้เห็นพนักงานรับงานนอก ขายของตลาดนัด ขายเสื้อผ้าในอินสตาแกรม ขับแท๊กซี่หลังเลิกงาน ขายประกัน ทำเครือข่าย และอีกมาก
สอง : เด็กรุ่นใหม่เริ่มไม่อยากทำงานประจำ พวกเค้าอยาเป็นเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง หรือไม่ก็เล่นหุ้น การหาพนักงานประจำที่ดีและอยู่ทน เริ่มเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของบริษัท
สาม : ตรงกันข้ามกับข้อสอง บริษัทรุ่นใหม่ ๆ เองก็เริ่มไม่อยากจ้างพนักงานประจำ เพราะไม่อยากแบกรับสวัสดิการ ค่าฝึกอบรมต่าง ๆ การ Outsource งานจึงเกิดขึ้น วันนี้อาจจะแค่ภายในประเทศ แต่ไม่นานคนไทยจะได้เห็นการ Outsource งานข้ามประเทศ คู่แข่งเราจะไม่ใช่คนในประเทศอีกต่อไป
"ชีวิตกับความตายคือเชือกเส้นเดียวกัน เพียงแต่อยู่ปลายคนละด้านเท่านั้นเอง"
สิบปีแรก หมดไปกับความไร้เดียงสา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
สิบปีต่อมา หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
สิบปีต่อมา หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
สิบปีต่อมา หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่สร้างมา
สิบปีต่อมา หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจ
สิบปีต่อมา หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่ง รอคอยการกลับบ้าน
"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน" ใช้สิบปีเจ็ดครั้งของเราให้คุ้มค่าครับ
"ถ้าคุณไม่มีความฝันแล้วคุณจะทำฝันให้มันเป็นจริงได้อย่างไร?"
อยากฝันใหญ่มั้ยครับ? ถ้าอยากลองไปอยู่ใกล้ ๆ คนฝันใหญ่ดูสิครับ ทีแรกเราอาจจะพบว่ามันอึดอัดเพราะเราถูกขยายขนาดความคิดว่า คนเราฝันใหญ่ขนาดนั้นได้ด้วยเหรอวะเนี่ย? ไม่นานเมื่อความคิดเราขยายขึ้นจากนั้นเราจะฝันเล็กไม่เป็น
ครับ! คนใหญ่ฝันใหญ่ คนเล็กฝันเล็ก แต่ถ้าคนเล็กอยากจะยิ่งใหญ่ เค้าผู้นั้นไซร้ต้องเริ่มจากฝันใหญ่พลัน และฝันใหญ่นั้นไม่เคยฝันเพื่อตนเอง แต่ฝันเพื่อทำให้คนอื่นดีขึ้นครับ
"เราเกิดมาเพื่อชนะ แต่การจะเป็นผู้ชนะนั้นต้องวางแผน"
ถามตัวเองในวันที่ใจสงบว่าเรามีแผนอะไร? วันนี้จะทำอะไร? วันพรุ่งนี้จะทำอะไร? อาทิตย์หน้าล่ะ? เดือนหน้า? ปีหน้า? ห้าปีข้างหน้า? สิบปีข้างหน้า? บั้นปลายชีวิตล่ะ?
คนสำเร็จจึงไม่เคยตื่นมาแล้วค่อยถามตัวเองว่า วันนี้ทำอะไรดี? เพราะเค้ามีแผนไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อปีที่แล้ว
"เริ่มต้นด้วยการเห็นภาพผลลัพธ์ให้ชัดเจนในใจ"
โนบิตะ เด็กชายผู้ไม่เอาไหน ปรับปรุงตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ล้ม พลาด ลุกใหม่ ในที่สุดเค้าก็ได้แต่งงานกับชิซูกะ
โนบิตะสอนอะไรเรา? โนบิตะกำลังจะบอกว่า เราทุกคนเปลี่ยนอนาคตของตัวเองได้ ขอเพียงแต่เรารู้ว่า เราอยากเห็นภาพอนาคตของเราเป็นแบบไหน จากนั้นก็ปรับปรุงตัวเองเพื่อให้ภาพอนาคตนั้นเป็นจริง
"ในการที่จะทำอะไรสักอย่างคนเรามีสองเหตุผลเสมอ หนึ่งเหตุผลที่ดี สองเหตุผลที่แท้จริง"
ท่อนแรก : What? : ความฝันของเราคืออะไร?
= เราเรียกมันว่า "เป้าหมาย"
ท่อนสอง : How? : ทำอย่างไรจะได้ตามความฝันนั้น?
= เราเรียกมันว่า "วิธีการ"
ท่อนสุดท้าย : Why? : ทำไมต้องได้มาครอบครอง?
= เราเรียกว่ามันว่า "เหตุผล"
คนอ้วนที่พยายามลดน้ำหนัก แต่ไม่รู้ว่าลดไปเพื่ออะไร เค้าผู้นั้นไม่มีทางผอมได้ เช่นเดียวกับคนที่มีเป้าหมาย แต่ไม่รู้ว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นไปเพื่ออะไร เค้าผู้นั้นย่อมไม่มีทางสำเร็จ เพราะเค้าจะยอมแพ้ระหว่างทางในที่สุด
หนึ่ง : ถามเอง! ตอบเอง!
= ชีวิตนี้ต้องการอะไร? / แล้วทำไมต้องได้สิ่งนั้น?
สอง : โลภมาก!
= ได้ทำในสิ่งที่รักและต้องทำให้ร่ำรวยด้วย
สาม : ตั้งเป้าเร้าใจ!
= เป้าหมายที่ทำเพื่อคนอื่น เร้าใจกว่าเป้าหมายที่ทำเพื่อตัวเองเสมอ
สี่ : เขียนลงไป!
= เป้าหมายที่ไม่ได้เขียน อย่าเรียกมันว่าเป้าหมาย
ห้า : สำเร็จสองครั้ง!
= ครั้งแรกในจินตนาการ ครั้งสองเกิดขึ้นจริง
หก : ลุย!
= ลุยโลด! โปรดระวังความสำเร็จมาแน่!
เจ็ด : สะสมล้มเหลว!
= ความล้มเหลวจะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ และประสบการณ์จะเปลี่ยนเป็นความสำเร็จ
แปด : (อย่า)งดเชื่อ! (อย่า)เบื่อทวง!
= นับความสำเร็จทุกเรื่อง แม้จะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
เก้า : สุขก่อน! สำเร็จก่อน!
= อย่าเอาความสุขไปฝากไว้ที่เป้าหมาย มันอยู่ที่นี้ เดี๋ยวนี้ อยู่แล้ว
สิบ : เงียบ ๆ คนเดียว!
= ความเงียบคือเพื่อนที่น่าคบ ปัญญาจะปรากฏ และนั่นคือขุมพลังอันยิ่งใหญ่ ที่น้อยคนจะใช้มัน
"ความสำเร็จของคนคนนึงไม่ได้ดูจากการที่เค้าปีนขึ้นมาได้สูงแค่ไหน แต่ดูจากหลังที่ตกลงไปแล้วปีนกลับขึ้นมาได้สูงแค่ไหนต่างหาก"
หลอกตัวเอง คือ การประวิงเวลาความเจ็บปวดวันนี้เพื่อไปเจ็บวันหน้า แต่รับความจริง คือ การยอมเจ็บปวดวันนี้เพื่อวันหน้าสำเร็จแน่ ด้วยดวงตาคู่เดียวกันนี่ล่ะครับ มองหาหลักฐานความสำเร็จ ไม่ใช่ล้มเหลว แล้วความสำเร็จจะเป็นของเรา
"ความคิดคือบิดาของการกระทำทั้งปวง"
ครับ! เรื่องของเรื่องมันก็มีเท่านี้แหละ
วงจรแรกคือ "วงจรอุบาทว์" กูว่าแล้วว่ากูทำไม่ได้
วงจรหลังคือ "วงจรสำเร็จ" กูว่าแล้วกูทำได้จริงด้วย!
"อย่าจ้างคนที่ทำงานเพื่อเงินมาทำงานให้คุณ แต่จงจ้างคนที่ทำงานเพราะความรัก"
เปลี่ยน "ความชอบ" ให้เป็น "อาชีพ" แล้วคนอื่นจะแยกไม่ออกว่า ตกลงไอหมอนี่กำลังทำงานหรือกำลังทำกิจกรรมยามว่างกันแน่?
"ถ้าคุณล้มเหลวที่จะวางแผน นั่นคือคุณกำลังวางแผนที่จะล้มเหลว"
"ทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่วางแผนชีวิต?" ผมว่านี่คือเรื่องสำคัญที่เราซุกไว้ใต้พรม ไม่ใช่แค่เศษแอปเปิ้ลหรือแผ่นแฮม แต่ระดับ "ทุเรียนบวกปลาเค็ม" เลยล่ะครับ ขืนไปปล่อยไว้นาน มีเน่าแน่
"ความสำเร็จคือผลรวมของความพยายามเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำซ้ำกันวันแล้ววันเล่า"
โลกนี้มีอยู่สี่เรื่อง สี่สถานการณ์ที่เราต้องเจอ
หนึ่ง : เรื่องไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
สอง : เรื่องไม่เร่งด่วน แต่ชอบไปทำให้มันสำคัญ
สาม : เรื่องสำคัญ และเร่งด่วนแล้ว
สี่ : เรื่องสำคัญ แต่ยังไม่เร่งด่วน
ถ้าเปิดตูดคนส่วนใหญ่ดู จะพบว่ามันไหม้เป็นรอยดำ เพราะเค้าเหล่านั้นชอบปล่อยให้ "ไฟลนก้น" ปล่อยให้ไม่ทัน แล้วถึงทำ บางครั้งกว่าจะลงมือทำ ก็สายไปแล้ว นั่นล่ะ เค้าชอบทำเรื่องสำคัญเมื่อมันเร่งด่วนมาก ๆ แล้ว
สิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตเราไปในทางที่ดีได้มากที่สุดจะเกิดขึ้นเมื่อ "เราทำสิ่งสำคัญในวันที่มันยังไม่เร่งด่วน"
ออกกำลังตั้งแต่วันที่ยังสุขภาพดี ฝึกภาษาอังกฤษตั้งแต่วันที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ ออมเงิน ทำประกัน รู้จักลงทุน ตั้งแต่วันที่ยังไม่จำเป็น บอกรักคนที่เรารักตั้งแต่วันที่เรายังบอกเค้าได้อยู่
1
"มีแต่คนพูดว่าจะเปลี่ยนโลก แต่ไม่เห็นมีใครคิดจะเปลี่ยนตัวเอง"
ถ้าคุณหงุดหงิดกับชีวิต "ติด ๆ" รถติด คนติด มันก็มีแค่สองทาง คือ "ชิน" หรือไม่ก็ "Change" ยูเทิร์นกลับไปขับในเลนที่สวนกับคนอื่น มันอาจจะอ้อมหน่อย ถนนเล็ก แต่โล่งดี
"ความสำเร็จคือผลรวมของความพยายามเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำซ้ำกันวันแล้ววันเล่า"
หนึ่ง : ทำงานประจำให้ดีเสียก่อน
สอง : รู้จักสร้างคอนเน็คชั่น
สาม : อย่าวู่วามด้วยการลาออกทันที
สี่ : อย่าโลกสวย
ห้า : ขอให้เป็นงานที่รักและทำเงินกว่าเท่านั้น
หก : ไม่ใช่งานที่เอาเวลาไปแลก
เจ็ด : หาลูกค้ารายแรกของเราให้เจอ
แปด : อย่าหน้ามืดตามัว รับมันทุกงาน
เก้า : สร้างความแตกต่าง สร้างแบรนด์
สิบ : กลับไปขอบคุณที่ทำงานประจำ
"อิสรภาพเริ่มจากข้างใน"
เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีรถสักคัน เค้าบอกผมว่าถ้าอยากประหยัดเวลาเดินทางได้วันละ 3-4 ชั่วโมง เราจะทำอะไรได้อีกมากมาย เค้าจึงอยู่คอนโดติดรถไฟฟ้าและไม่มีรถยนต์สักคัน
เศรษฐีอีกคน บ้านอยู่ห่างจากบริษัทแค่เดินห้านาที เค้าไม่รู้จักรถติด ไม่ต้องเอาพลังงานไปจ่ายบนท้องถนน
เศรษฐีอีกคนบอกผมว่า แต่ไหนแต่ไรคนเราก็ทำงานอยู่ที่บ้าน และยุคนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต เราเชื่อมถึงกันหมดแล้ว ทำไมต้องออกไปติดบนถนน ซึ่งเป็นเรื่องที่เค้าเบื่อที่สุด
"วิธีง่ายที่สุดในการเป็น CEO ก็คือตั้งบริษัทเองซะเลย"
"เมื่อใครก็ตามลาออกจากงานประจำมาเป็นผู้ประกอบการ สิ่งต่าง ๆ ที่เค้าไม่รู้จะปรากฏขึ้นต่อหน้าทันที"
สาเหตุที่ 95% ของธุรกิจขนาดเล็กมีอันต้องล่มสลายภายในระยะเวลาไม่กี่ปีก็เพราะเจ้าของธุรกิจเหล่านั้นแค่ "ชอบทำ" สิ่งนั้น แต่ไม่ได้ "ชอบขาย" สิ่งนั้น พวกเค้าแค่ "ทำ" สิ่งนั้นเป็นแต่ "ขาย" สิ่งนั้นไม่เป็นและนั่นคือรอยร้าวบนกำแพงที่นานวันจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ รอวันที่กำแพงจะพังลงมา
"สมัยก่อนผู้นำคือเจ้านาย สมัยนี้ผู้นำต้องเป็นเพื่อนร่วมงานกับคนของเค้า"
"ประตูบานเดียว" มีผลกับความก้าวหน้าของบริษัท ถึงจะไม่มีผลวิจัยจากคิงส์คอลเลจมายืนยัน แต่ผมมั่นใจว่าบริษัทที่ห้องทำงานของเจ้านายเปิดประตูทิ้งไว้ มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จกว่าบริษัทที่ห้องทำงานของเจ้านายปิดประตู
"ความเป็นผู้นำอาจอธิบายได้ด้วยความมีอิทธิพลของเค้าที่ส่งถึงคนอื่น"
ผู้ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรมล้วน "เคลื่อนคน" ได้จำนวนมากทั้งนั้น ผู้มีอำนาจ ผู้ประสบความสำเร็จ เค้าจะไม่เคลื่อนไปหาใคร แต่เค้าจะ "ดึงดูด" ให้ผู้คนเคลื่อนมาหาเค้า พวกเค้า "ย้ายคน" จากที่นึงมาอีกที่นึงได้จำนวนมาก
"โลกนี้มีทั้งคนที่มีเงิน และคนรวย"
ชั้นล่างสุด : มนุษย์ผู้นั้นจะขาดแคลนอาหาร
ชั้นต่อมา : มนุษย์ผู้นั้นจะขาดแคลนเงินทอง
ชั้นต่อมา : มนุษย์ผู้นั้นจะขาดแคลนเวลา
ชั้นสูงสุดที่ใครไปถึงได้ นับเป็นยอดคนเพราะเค้าจะไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร เรื่องเงินทอง เรื่องเวลา เพราะเค้าจะมีมันทั้งหมด และนั่นอาจเรียกได้ว่า "อิสรภาพอย่างแท้จริง"
"รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง"
ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อมาทำธุรกิจส่วนตัว เพื่อเปิดร้านเล็ก ๆ ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องกลายมาเป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ มีลูกน้องเป็นร้อยเป็นพัน แล้วก็ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องมาเป็นนักลงทุน นั่งเฝ้าหน้าจอ รอลุ้นราคาหุ้น ราคาทอง
มันอยู่ที่ว่า "สนาม" ไหนที่ประเมินแล้วเรามีโอกาสชนะสูง มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
"ถ้าอยากให้คนอื่นนับถือ เราต้องนับถือตัวเองก่อน"
"คนแบบเรามีคนเดียวในโลก" ใครที่เข้าใจประโยคนี้ชีวิตนี้รุ่งแน่
ถึงเป็ดจะบินสู้นกไม่ได้ ว่ายน้ำสู้ปลาก็ไม่ได้ แต่ "เป็ด" ก็เป็น "เป็ดทองคำ" ได้ ถ้ารู้ว่าความสามารถในแบบของเป็ดคืออะไร
"การลงทุนที่สำคัญที่สุดก็คือการลงทุนในตัวคุณเอง"
ความสามารถที่โดดเด่น แตกต่างจากคนอื่น สิ่งนี้ต่างหากคือ "ทำเล" ของคนยุคนี้ ถ้าเราโดดเด้งจากคนธรรมดา ๆ มันก็ไม่ต่างกับเรามีทำเลทองที่หัวมุมถนนสาทรสักไร่นึงเลยล่ะ ลูกค้าจะวิ่งเข้ามาหาเราเอง
"การตลาดคือการแข่งขันดึงดูดความสนใจจากผู้คน"
ระหว่างคิดเรื่องใหม่ 100 เรื่องกับหาวิธีเล่าหนึ่งเรื่องเดิมได้ 100 วิธี
เชื่อผม! อย่างหลังทรงพลังกว่าเยอะ มนุษย์เราขี้เบื่อ แต่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
"การถ่อมตัวจะเหมาะมากถ้าคุณเป็นแม่ชี แต่ถ้าทำธุรกิจคุณต้องประกาศให้โลกรู้ถึงความเจ๋งของคุณ"
โจทย์ของยุคสมัยนี้ ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะขายสินค้า บริการ หรือขายตัวเองก็ตาม คุณต้องรู้จัก "ห่อ" ข้างนอกให้สวย เตะตา น่าสนใจด้วย
ตอนเด็ก ๆ เราเลือกซื้อขนมเพียงเพราะถุงมันมีรูปการ์ตูนที่ชอบ ตอนโตคนเราก็ไม่เปลี่ยนหรอกครับ เรายังเลือกเปลือกที่ชอบ "ห่อ" ให้สวยแล้วมันจะกวักมือเรียกลูกค้าให้เดินมาหาเราเอง
"มีชีวิตอย่างเสือแค่ปีเดียวดีกว่ามีชีวิตอย่างลูกแกะไปร้อยปี"
ไม่มีงานไหนที่ดีที่สุด ทุกงานมีดีมีด้อยต่างกัน แต่ชีวิตน่าจะมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทาง ถ้ามีความสุขกับงานประจำอย่างไม่หลอกตัวเองก็ทำต่อไปครับ คุณมาถูกทางแล้ว แต่ถ้าไม่มีความสุขกับงานประจำก็อย่าหลอกตัวเอง และอย่าหลอกบริษัทเลยครับ
"อิสรภาพไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเอง แต่เป็นเรื่องที่เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้มันมา"
พร้อมหรือไม่พร้อม เมื่อมีโอกาสมาถึงเราก็ต้องก้าวไป อย่ารอให้พร้อมค่อยก้าว เพราะบางทีเราอาจไม่ได้ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
"เหตุผลที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นโอกาสก็เพราะมันซ่อนตัวอยู่ในการทำงานหนัก"
งานดี ๆ ไม่เคยอยู่ในเว็บหางาน
งานดี ๆ ไม่เคยต้องกรอกใบสมัครงาน
งานดี ๆ โอกาสดี ๆ จึงมาจากคุณภาพงานที่ดีของเราเอง ดีจนคนบอกต่อ ดีจนคนเรียกหา ดีจนโดดเด่น ดีจนลูกค้ามาหาเราเอง แล้วไม่นาน "งานจะวิ่งมาหาเรา" ไม่ใช่ "วิ่งไล่หางาน" แบบที่คนส่วนใหญ่เป็น
"ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราจะคิดถึงเรื่องเกษียณก็คือ ก่อนเจ้านายจะเดินมาบอกให้เราเกษียณได้แล้ว"
Steve ยังมีหลาย Jobs
Bill ยังมีหลาย Gates
แล้วเหตุใด เราเป็นใครเล่าจึงมี Job เดียว?
แถมยังเฝ้าคิดว่าชีวิตมีทางออกแค่ Gate เดียว
"ชีวิตเกิดขึ้นตอนที่คุณกำลังวุ่น ๆ วางแผนเรื่องอื่นอยู่"
ใช่ครับ! บางทีชีวิตก็ลากเราอ้อมไปอ้อมมาหลงไปในป่า โดนใบไม้บาดเลือดซิบ เพื่อที่จะให้เราพบกับแม่น้ำใสสะอาดชื่นใจที่รออยู่ปลายทาง
"ผมเรียนรู้ว่าความผิดพลาดเป็นครูที่ดีพอ ๆ กับความสำเร็จ"
ไม่ปฏิเสธหรอกครับว่าวันที่กำลังเจอความล้มเหลวอยู่มันโคตรเจ็บ เจ็บมาก แต่พอผ่านมันมาได้แล้วเราจะได้เข้าใจว่า ที่แท้เราต้องไป "เจ็บมาก่อน" จึงจะ "คู่ควร" กับความสำเร็จ ความสำเร็จที่ยืนรอจับมือเราอยู่ที่หลังกำแพงอุปสรรคนั่นเอง
"ศัตรูตัวฉกาจของอิสรภาพก็คือตัวอิสรภาพเอง"
"อิสรภาพ" ไม่ใช่การออกไปยืนกางแขนรับแสงอาทิตย์บนหุบเขา แต่คนส่วนใหญ่มาองภาพอิสระไว้แค่นั้น ประเด็นก็คือ ถ้ายืนกางแขนรับแสงอาทิตย์บนหุบเขาทั้งวัน หนึ่ง ตัวเราจะดำ สอง เราจะเมื่อยจั๊กกะแร้
.
ใครทำควบคุมอิสรภาพไว้ไม่อยู่ อิสรภาพจะเป็นฝ่ายครอบงำเรา เราจะกลายเป็นคนขี้เกียจ เฉื่อยชา ใช้เวลาทำงานมากกว่าเดิม เราจะเริ่มห่างจากสังคม ทักษะในการสื่อสารแย่ขึ้นเรื่อย ๆ นอนดึกขึ้นเรื่อย ๆ ตื่นมาแล้วเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็หมดวัน
"มองเข้าไปในดวงตาแล้วถามตัวเองว่า เราพอใจกับชีวิตหรือเปล่า?"
อยากได้เงินเพิ่ม จึงไม่ใช่การเดินไปบอกกับเจ้านายเพื่อขอขึ้นเงินเดือน แต่คือการเดินไปบอกกับคนในกระจกว่า "เฮ้ย! เอ็งอ่ะ พัฒนาตัวเองได้แล้ว"
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มต่อจากเล่มที่แล้วที่ชื่อ "งานไม่ประจำทำเงินกว่า" ส่วนเล่มนี้ชื่อ "อิสระเราราคาเท่าไหร่?" ทั้งสองเล่มเป็นซีรี่ย์เดียวกันตระกูลของงานไม่ประจำ เนื้อหาทั้ง 2 เล่มที่ผมอ่านมาเป็นเคล็ดลับที่ถูกกลั่นกรองออกมาอย่างละเอียดประมาณเล่มละ 50 เคล็ดลับต่อเล่ม รวมเคล็ดลับที่ได้จากการอ่านทั้ง 2 เล่มนี้มากถึง 100+ เคล็ดลับกันเลยครับ(บางหัวข้อมีเคล็ดลับแฝงในนั้นอีกด้วย) เป็นอีกเล่มที่อยากแนะนำให้หามาอ่านกันให้ได้ ไม่ผิดหวังแน่นอน
>>> อ่านหนังสือพัฒนาตนเอง <<<
20.10.2019

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา