8 พ.ย. 2019 เวลา 04:15 • ธุรกิจ
วิกฤตการเงินสหรัฐปี 1907 วิกฤตที่ก่อให้เกิดธนาคารกลางสหรัฐ... ตอนที่ 1...
“คนส่วนมากไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร กิจการต่าง ๆ กำลัง ไปได้ด้วยดี ทุกคนต่างมีความหวังและความมั่นใจในอนาคตอันสวยงาม แต่แล้วอยู่ดี ๆ ธนาคารก็หยุดการจ่ายเงินและบอกว่าไม่สามารถจ่ายเงินได้ทันทีที่ขอถอนเงิน กิจการต่าง ๆ หยุดชะงัก ประชาชนเข้าแถวยาวเหยียดบนถนนเพื่อรอถอนเงินฝากของตัวเองที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้คืน”
1
เหตุการณ์นี้ส่อเค้ามาตั้งแต่ปี 1903 ที่เศรษฐกิจสหรัฐเกิดภาวะถดถอยครั้งใหญ่ จนมีเสียงเตือนจากบรรดาวาณิชธนากรให้รัฐบาลปฏิรูประบบการเงินของประเทศ ไม่เช่นนั้นจะได้เห็นวิกฤติที่รุนแรงเกินกว่าจะคาดเดา แต่คำเตือนเหล่านั้นก็เป็นได้แค่คำเตือน
จนกระทั่งปี 1905 อัตราดอกเบี้ยแบบเรียกคืนได้ทันทีในนิวยอร์กพุ่งสูงถึงร้อยละ 25 ต่อปี และสูงถึงร้อยละ 60 ในปีต่อมา อัตราดอกเบี้ยที่สูงเช่นนี้ทำให้กิจการหลายอย่างประสบปัญหา แล้วในปี 1907 อยู่ ๆ เงินสดและสินเชื่อก็มีน้อยลงอย่างกะทันหัน
2
ว่ากันว่าวิกฤตครั้งนั้นเกิดจากการเก็งกำไรของนายธนาคารกลุ่มหนึ่งที่เอาหุ้นของธนาคารไปวางเพื่อขอกู้เงิน แล้วนำเงินนั้นไปซื้อหุ้นธนาคารอื่นทำแบบนี้เป็นทอด ๆ จนทำให้มีอำนาจควบคุมได้หลายธนาคาร
นอกจากนั้นนายธนาคารกลุ่มนี้ยังร่วมกันปั่นราคาทองแดงและหุ้นของบริษัทเหมืองทองแดงโดยนำเงินฝากของประชาชนไปเล่นเก็งกำไร เมื่อตลาดหุ้นมีปัญหาราคาทองแดงตก ทำให้เกิดการขายหุ้นแบบชอร์ตเซลที่เป็นการขายแบบไม่มีหุ้นอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก
เมื่อธุรกิจทองแดงที่เข้าไปเก็งกำไรเกิดปัญหา บริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของนายธนาคารกลุ่มนี้ล้ม ธนาคารที่เป็นต้นตอถูกผู้ฝากระดมถอนเงินจนไม่สามารถหาเงินมาคืนผู้ฝากเงินได้
ส่วนธนาคารที่มีความสามารถปล่อยกู้ได้ก็ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือนายธนาคารกลุ่มนี้ เพียงไม่นานธนาคารกลุ่มนี้ก็ต้องปิดตัวลง ผู้จัดการใหญ่ของธนาคารยิงตัวตาย และทำให้ผู้ฝากเงินของทรัสต์อีกหลายรายหมดตัวจนต้องฆ่าตัวตายตาม
1
จากพฤติกรรมการเล่นแร่แปรธาตุของนักการเงินจนทำให้เกิดการล่มสลายของธนาคารในครั้งนั้นสร้างความแตกตื่นให้ประชาชนจำนวนมากจนส่งผลลุกลามไปสู่ธนาคารอื่น
คิวรอถอนเงินหน้าธนาคารต่าง ๆ ยาวเหยียด เมื่อประชาชนระดมถอนเงิน ธนาคารที่มีสถานะทางการเงินไม่แข็งแกร่งนักหรือทรัสต์ในเครือมีปัญหาก็เกิดปัญหาด้านสภาพคล่องตามไปด้วย
ธนาคารท้องถิ่นที่ฝากเงินไว้กับธนาคารที่เป็นศูนย์กลางก็เร่งถอนเงินเพื่อไปจ่ายคืนให้ประชาชนจนทำให้ดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารถีบตัวสูงขึ้นไปถึง 125 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
นายหน้าค้าหุ้นที่ทำงานโดยใช้เงินกู้เริ่มเรียกให้ลูกค้าวางมาร์จิ้นให้สูงขึ้น คนที่ไม่มีเงินสดมาวางจึงต้องเร่งขายหุ้นทิ้ง ซึ่งสร้างความกดดันในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก จนทำให้ตลาดหุ้นในเมืองพิตต์สเบิร์กต้องปิดทำการ
เรื่องราวยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อธนาคารที่เป็นศูนย์กลางไม่ยอมให้ธนาคารในเครือถอนเงิน ผู้ฝากเงินแบบออมทรัพย์ต้องแจ้งล่วงหน้า 60-90 วันจึงจะสามารถนำเงินของตัวเองออกไปได้
ประชาชนหรือธุรกิจที่พอมีเงินสดอยู่ในมือก็กำเงินไว้ ทำให้เงินสดที่ควรหมุนเวียนอยู่ในตลาดหดหายไปจำนวนมาก ทำให้บริษัทกว่า 2000 แห่งไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ state bank กว่าร้อยแห่ง และ national bank อีกประมาณ 30 แห่งปิดกิจการ
ว่ากันว่าวิกฤตครั้งนี้รัฐบาลกลางสหรัฐไม่สามารถทำอะไรได้เลย เอกชนต่างต้องดูแลกันเอง โดยสำนักงานหักบัญชีได้ออกบัตรเงินกู้ให้สมาชิกนำไปใช้แทนเงินสด
1
ถึงแม้ว่าคณะทำงานของรัฐบาลจะออกมาเตือนว่าบัตรเงินกู้ของสำนักงานหักบัญชีเหล่านั้นออกโดยไม่มีกฎหมายรองรับ และรัฐไม่รับรองการชำระหนี้ของหลักฐานทางการเงินเหล่านี้ แต่ประชาชนก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
1
ในเมื่อรัฐบาลกลางไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วใครจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยแก้ปัญหาให้วิกฤตทางการเงินของสหรัฐในปี 1907 ขอเล่าต่อในตอนหน้านะคะ
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา