Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ใจที่ตื่นรู้
•
ติดตาม
5 ม.ค. 2020 เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์
ความยึดติดถือมั่นมันแผ่ไปในหลายสิ่งหลายอย่างที่เราครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง ฯลฯ ซึ่งหากเราบอกว่าของเหล่านั้นเป็นของฉัน สิ่งของเหล่านั้นอาจจะตอบว่า คนพวกนี้เป็นของฉันเช่นกัน
1
สมมติว่าเรามีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอยู่เครื่องหนึ่ง ไม่มีใครโทรมาก็ยังหยิบออกมาดูด้วยความภูมิใจว่าฉันมีไฮเทคโนโลยีชั้นสูงอยู่ในมือ ก่อนนอนเอาวางที่หมอน กราบสามครั้งแล้วก็เสียบปลั๊กรักเหลือเกิน
ถามว่า เราเป็นของมัน หรือ มันเป็นของเรา กันแน่!
ในมุมมองของทางโลก เรามักคิดว่าเวลาครอบครองสิ่งใด เราเป็นเจ้าของของสิ่งนั้น ตรงกันข้ามกับทางธรรม ซึ่งจะบอกว่าเราครอบครองสิ่งใด แท้ที่จริงเราก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ยศ ทรัพย์ อำนาจ ตำแหน่งหรือแม้แต่สมาร์ทโฟน
ทุกวันนี้เรายึดติดถือมั่นกับตำแหน่งของเราแค่ไหน สังเกตง่าย ๆ จากตำแหน่งบนนามบัตร บางคนใส่ตำแหน่งในอดีตไว้ครบทุกตำแหน่งเลย นั่นคือการยึดติดรูปแบบหนึ่ง และหากปล่อยไม่ลงปลงไม่ได้จากการเป็นผู้ครอบครองตำแหน่ง ในที่สุดแล้วเราจะกลายเป็นผู้ที่ถูกตำแหน่งครอบครอง
เช่นเดียวกับชื่อเสียง เกือบร้อยทั้งร้อยของปุถุชนล้วนอยากเป็นคนสำคัญกันทั้งนั้น หลายคนพยายามทำทุกอย่างให้ตัวเองมีชื่อเสียงนั้นกลับมาเป็นทุกข์แทบล้มประดาตายอีก อย่างนี้จะเรียกว่า เราเป็นของชื่อเสียง หรือ ชื่อเสียงเป็นของเรา
แต่หากเราไม่ยึดติดตัวกูของกูที่มีอยู่ในยศ ทรัพย์ อำนาจ ชื่อเสียง ความทุกข์เหล่านี้ก็จะไม่เกิด ตรงกันข้ามหากใครยึดติดถือมั่น ความทุกข์ก็จะเป็นเงาตามตัว ยิ่งยึดติดมากก็ทุกข์มาก ยึดติดน้อยก็ทุกข์น้อย แต่ถ้าไม่ยึดติดก็ไม่ทุกข์
บางคนสู้มาทั้งชีวิตเพื่อมีทรัพย์สินเงินทองเป็นแสนเป็นล้าน บางครั้งตัวเองก็ไม่ใช้ และแทนที่จะให้คนอื่นใช้ก็กลับหวงอีก พอวันหนึ่งล่วงลับดับขันธ์ไปแทนที่จะตายไปอย่างสงบ กลับยึดติดอยู่กับทรัพย์ นอนตายตาไม่หลับ ต้องเดือดร้อนให้พระไปช่วยปิดตา
คนจำนวนมากมักจะคิดว่าเงินเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต จึงยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา และเมื่อได้เงินมาแล้ว ไม่ใช้ด้วยตนเอง และไม่ให้คนอื่นใช้ สุดท้ายก็ตายไปพร้อมกับการยึดติดถือมั่นในทรัพย์สินที่ตัวเองมี เรียกว่าเสียแรงเปล่าที่หาเงินมา แต่ทว่าไม่เคยได้รับประโยชน์จากเงินมหาศาลเหล่านั้นเลย
นอกจากเงิน คนส่วนใหญ่ยังยึดติดกับ " อ ำ น า จ " ใคร ๆ ก็อยากมีอำนาจกันทั้งนั้น เพราะอำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวาน เรียกว่า ดอกไม้ที่ว่าหอมที่สุดในโลกยังไม่เท่ากับความหอมของอำนาจ เมื่อใครได้อำนาจไปแล้วก็มักจะเสพติดอำนาจ ดังนั้น ใครก็ตามที่เคยมีอำนาจแล้วก็มักจะตะเกียกตะกายกลับไปสู่บัลลังก์แห่งอำนาจเหมือนเดิม โดยหารู้ไม่ว่าคนที่มีอำนาจมากที่สุด บางครั้งก็กลายเป็นคนที่เจ็บปวดมากที่สุดเช่นกัน
ความดี และการสำคัญตนว่า " ฉั น เ ป็ น ค น ดี " ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่คนชอบยึดติด ทุกวันนี้คนดีจำนวนมากไม่ได้ทุกข์เพราะความชั่ว แต่ทุกข์เพราะยึดติดที่ตนเป็นคนดี ไปที่ไหนเห็นตัวเองดีกว่าคนอื่น ตำหนินินทา วิจารณ์ดูหมิ่นถิ่นแคลนคนอื่นที่ดีไม่เท่าตัวเอง
เช่น การกินเจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว คือ งดจากการไม่เบียดเบียนสัตว์ แต่เมื่อใดก็ตามที่คนกินเจเอาดีที่ตัวมีไปเหยียดหยามคนอื่นก็เริ่มจะไม่ดีแล้ว นี่แหละคือทุกข์ของคนดี ทำดีแล้วยังไปติดดี ยึดติดถือมั่นในความดี
ครั้งหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเคยเป็นโยมอุปัฏฐากสวนโมกขพลารามของท่านพุทธทาสเมื่อครั้งสร้างเสนาสนะสงฆ์ โยมคนนี้ถวายเงินหลายล้านบาททีเดียว แต่พอถวายแล้วก็ยึดติดถือมั่นว่า ฉันนี่แหละเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญ วันหนึ่งเธอพาเพื่อนคุณหญิงคุณนาย 4-5 คน นั่งรถไปกราบท่านพุทธทาสที่สวนโมกข์ ระหว่างนั้นเธออยากแสดงให้เพื่อนเห็นว่าตนมีความสำคัญต่อสวนโมกข์แค่ไหน
เมื่อกราบท่านพุทธทาสแล้ว เธอก็ถามท่านว่า
"หลวงพ่อเจ้าคะ จำโยมได้ไหมเจ้าคะ"
ท่านพุทธทาสตอบว่า "จำไม่ได้ โยม"
เธออัตตาแตกทันที เพราะตั้งใจเดินทางไปหาท่านพุทธทาสเพื่อแสดงอัตตาให้คนอื่นเห็นว่า ฉันเป็นคนสำคัญของสวนโมกข์ โดยลืมไปว่าท่านพุทธทาสนั้นสอนเรื่องความไม่ยึดติดถือมั่นมาตลอด และตัวท่านเองก็เป็นตัวอย่างให้เห็น คือ ท่านไม่เคยคิดว่าลูกศิษย์ทั้งหลายเป็นลูกศิษย์ของฉัน ในประวัติท่านพุทธทาสไม่เคยไปทะเลาะกับใครเรื่องแย่งลูกศิษย์ ไม่เคยหวงลูกศิษย์ ไม่ว่าเป็นใคร ท่านให้ราคาเท่ากันหมด เพราะท่านไม่ยึดติด
มีนักเขียนคนหนึ่งอ่านงานท่านพุทธทาสมาตั้งแต่มัธยมจนจบอุดมศึกษา และเกิดความศรัทธาในตัวท่านพุทธทาสหมดหัวจิตหัวใจ ยกให้ท่านพุทธทาสเป็นดังรูปปฏิมาในดวงจิตดวงใจของเขาเป็นดังหนึ่งหิมาลัยทางจิตวิญญาณ
หลังจากเรียนจบก็สัญญากับรถจักรยานว่า. . .
"ข้าแต่จักรยานที่เคารพ ข้าขอสัญญาว่า เราจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และข้าจะขอใช้จักรยานนี้เป็นยานพาหนะทางจิตวิญญาณ ปั่นเจ้าไปสู่สวนโมกขพลารามอันเป็นที่อยู่ของบุคคลสำคัญทางพระพุทธศาสนา"
จากนั้นก็กราบจักรยานแล้วขึ้นขี่ควบจากบ้านเกิดทะลุถึงสุราษฎร์ธานี ก้นด้านชาไปหมด จะเลิกกลางทางก็หลายครั้ง แต่เพราะให้สัญญากับจักรยานจึงไม่เลิก ทนตากแดดตากฝนไป
กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เขาไปถึงสวนโมกข์ ด้วยศรัทธาเปี่ยมล้นหัวใจ ขณะนั้นท่านพุทธทาสกำลังเดินเล่นอยู่พอดี เขาก็เดินเข้าไปหา
"มาทำไม" ท่านพุทธทาสทักขึ้นก่อน
"มากราบหลวงพ่อครับ" เขาตอบ
"ก็กราบเสียสิ" ท่านพุทธทาสตอบ
พอเขากราบท่านสามครั้งแล้วเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็เดินหายไปแล้ว ภูเขาหิมาลัยแห่งความเคารพพังครืนลงมา เขาโกรธท่านพุทธทาสมาก โกรธสุดชีวิตจิตใจ
"นี่หรือคือพระที่ฉันเคารพ ทำไมพูดไม่เพราะเลย"
ภาพแห่งอุดมคติที่เขายึดเอาไว้กับตัวจริงของท่านทำไมต่างกันลิบลับ หมดแล้วชีวิตฉัน เขาลูบอานจักรยานก่อนจะพูดว่า
"เรากลับกันเถอะ มาทางไหนเราก็ไปทางนั้น"
จากนั้นเขาปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดทางจิตวิญญาณ และนับแต่นั้นมา ศิลปินคนนี้คลายความเคารพในตัวท่านพุทธทาสลงไปครึ่งต่อครึ่ง
กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ข่าวท่านพุทธทาสถึงแก่มรณภาพจากหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ โทรทัศน์ทุกช่อง รายงานข่าวท่านเป็นข่าวใหญ่โต ศิลปินคนนี้ลุกขึ้นมาศึกษาผลงานของท่านพุทธทาสอีกครั้ง คราวนี้เขาอายุเลยวัย 30 ปีแล้ว ยิ่งอ่านยิ่งรู้ ยิ่งแจ่มกระจ่างอยู่กลางหัวจิตหัวใจ อ่านไปซึ้งไป กระทั่งไปถึงคำสอนของท่านพุทธทาสในเรื่อง สัพเพ ธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ศิลปินคนนี้ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงไปเปื้อนหน้าหนังสือที่กำลังอ่าน
1
เขาโกรธตัวเองอยู่ครึ่งวัน เขาบอกว่าท่านพุทธทาสได้มอบยอดเพชรที่อยู่บนมงกุฎให้เขาตั้งแต่นาทีแรกที่พบกัน แต่เขากลับอ่านรหัสไม่ออก
"ผมกลับโกรธท่านเป็นสิบปี" เขากล่าว
โกรธใครไม่โกรธ ไปโกรธท่านพุทธทาส ดูสิ เหมือนคนโง่เอาอุจจาระไปปาพระจันทร์ คิดดูสิพระจันทร์เปื้อนไหม ไม่เปื้อนหรอก ก็เปื้อนหน้าตัวเองเท่านั้นแหละ
ครูบาอาจารย์ให้สิ่งดี ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน แต่เขาถอดรหัสไม่เป็น ซึ่งเป็นวิสัยของมนุษย์ทั่วไป แม้จะอยู่กับศาสนาที่สอนไม่ให้เรายึดติดถือมั่น แต่กระนั้นก็ยึดติดเอาไว้ แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง
บางคนเมื่อนับถือครูบาอาจารย์แล้วก็ยึดติดถือมั่น จนกระทั่งทะเลาะกัน เพราะอยากอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ เอาครูบาอาจารย์มาเป็นครูของเรา
ครูบาอาจารย์บางท่านไม่รู้จักกิเลสของญาติโยม ปล่อยให้ญาติโยมสัมปทานตัวเอง เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีอิสรภาพในชีวิต ชีวิตของท่านถูกญาติโยมสัมปทานไปเรียบร้อยแล้ว ถามว่าอำนาจของญาติโยมมาจากไหน ก็มาจากทรัพย์สินที่ถวายครูบาอาจารย์ ถวายมากก็ดึงครูบาอาจารย์ไปได้มาก นิมนต์ได้ง่าย บางรายมีอิทธิพลต่อครูอาจารย์อย่างมาก เลยไปครอบงำท่านด้วยก็เคยมี
มีครูบาอาจารย์น้อยรูปที่จะวางตนเหมือนแท่งทองชมพูนุชเหมือนท่านพุทธทาส โยมถวายเป็นล้าน พอโยมกลับไปถาม "หลวงพ่อจำดิฉันได้ไหมเจ้าคะ" ท่านตอบว่า "จำไม่ได้" นี่คือแท่งทองชมพูนุชบริสุทธิ์หลุดพ้นจากยึดติดถือมั่นโดยตัวเอง ไม่ไปยึดมั่นใคร และไม่ยอมให้ใครมายึดมั่นตัวเอง
อย่างนี้. . .เราทำได้ไหม ?
#ยึดติดมากยิ่งทุกข์มาก
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ที่มา : หนังสือ "กลั่นทุกข์ให้เป็นสุข" Suffering | ว.วชิรเมธี
1 บันทึก
2
8
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
กลั่นทุกข์ให้เป็นสุข (Suffering) | ว.วชิรเมธี 🌻
1
2
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย