6 ม.ค. 2020 เวลา 02:48 • การศึกษา
ปรัชญา ของ คาลิล ยิบราน (ตอนที่ 2)
[4]
“ ทุกคนล้วนยิ่งใหญ่
ไม่มีใครเด่นกว่าใคร ”
เราอย่าได้แบ่งแยกกันเลย
ว่าใครเด่นใครด้อย
จิตใจของกวีและหางแมงป่อง
มันก็ชูขึ้นจากแผ่นดินเดียวกันนั่นแหละ
ท่านคาลิล ยิบราน ในฐานะที่ท่านเป็นปราชญ์และกวี ท่านบอกว่าเราไม่ต้องไปบอกหรอกว่าใครเด่นกว่า ใครดีกว่าใคร ทุกๆคนมีความสำคัญด้วยกันทั้งหมด ท่านบอกว่าไม่ว่าจะเป็นจิตใจของกวีหรือหางแมงป่องก็ชูขึ้นจากแผ่นดินเดียวกัน
การที่มี คนเด่น คนดี คนดัง คนเก่ง เกิดขึ้นมามากมายนั้นย่อมเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้นจะได้ช่วยกันสร้างสิ่งดีงามสร้างความเจริญให้แก่สังคมประเทศชาติและโลกของเรา
ในบทนี้ผมคิดว่าท่านน่าจะกล่าวให้เห็นถึงความนับถือในตัวเอง ความภาคภูมิใจในตัวตนของเรา คุณค่าของความเป็นคน
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต่างต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เคารพนับถือ
[5]
“ คนจริงนั้นผ่านโลกมาหมด
แต่กบถมันทุกอย่าง “
โลกเป็นสิ่งสำหรับเรียนรู้ มิใช่เครื่องยึดติด การที่เราได้ประสบการณ์ต่างๆ มามากมายนั่น คือ บทเรียนในการศึกษาโลก ในโลกมีอะไรให้ศึกษามากมาย ทั้งดีและเลว ทั้งบวกและลบ สามารถเลือกศึกษากันได้ตามใจชอบ
บางคนนั้นเขาลองทุกอย่าง ทั้งผิดถูก ชั่วดีมีครบ ชั่วก็ไม่ละส่วนดีก็จะทำ เลยทำทั้งดีทั้งชั่วเกลือกกลั้วกันไป คนส่วนมากเป็นอย่างนี้ จึงหาคนดีจริงๆ ไม่ค่อยจะได้ จะประณามว่าเป็นคนเลวก็ไม่ได้ เพราะก็มีดีอยู่เหมือนกัน จะยกย่องให้เป็นคนดีก็ไม่เหมาะ เพราะความชั่วก็ยังทำอยู่ คนในกลุ่มนี้จะหาความจริงจังอะไรไม่ค่อยได้สักเท่าใด จะมีลักษณะเป็นคนเรื่อยเฉื่อยเสียมากกว่า เป็นคนประเภทที่เรียกว่า เอายังไงก็ได้ แต่บางคนเขาก็เรียนรู้มาทุกอย่างดีชั่วอย่างไรมีความชำชอง จนได้ชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญ
นั้นสิ ทำมาสารพัดอย่างแต่แล้วเมื่อเขาคิดจะเลิก เขาก็เลิก ได้กบถต่อสิ่งเหล่านั้น โดยไม่หันหลังกลับไปอีกเลย คนเช่นนี้สิจึงจะเรียกว่า คนมีวิญญาณที่แท้จริง วิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์
ในห้วงความนึกคิดของผม อาจแปลความไปในทางที่เมื่อเราผ่านอะไรมา เราได้เรียนรู้อะไร การกบถคือการท้าทายอำนาจความต้องการของตัวเอง อำนาจของความอยากในสันดานของความเป็นคน
การยึดติดจึงเป็นธรรมดา หากการเลิกจะยึดติดจะยากเย็นกว่ามาก ลองเอาเทปกาวแปะลงบนกระดาษถ้าจะต้องแกะกาวนั้นออกใหม่มันจึงยาก
มองในแง่ดี หากเราต้องการทำอะไรดีๆ ก็ไปยึดติดสิ่งดีๆ ไม่นานนักเราจะยึดติดกับสิ่งนั้นเอง
[6]
“อวดโง่ได้เป็นนักปราชญ์
อวดฉลาดเป็นคนขลาดเขลา”
ท่านคาลิล บอกว่า ถ้าเราเหตุแห่งความโง่ของเรา เราก็จะสามารถเป็นนักปราชญ์ได้สักวันหนึ่ง เพราะเมื่อคนเรารู้ว่าตัวโง่แล้วก็จะขวนขวายหาทาง ที่จะทำตนให้ฉลาดขึ้น
ความรู้สึกว่าตัวเองโง่
เท่ากับว่าเราได้ลากตัวเองเข้าไปสู่ข่ายของความฉลาดถึง 25% แล้ว ต่อไปเราจะต้องค้นคว้าหาสาเหตุของความโง่ให้ได้ว่า แต่ละอย่างๆที่เราโง่นั้น มันเกิดมาจากอะไร แล้วไปแก้ไขในจุดนั้น
สาเหตุของความโง่
ความรู้สาเหตุของมันนั้น ทำให้เรากลายเป็นคนฉลาดขึ้นอีก 25% เป็น 50% ต่อจากนั้นเราจะต้องมีความปรารถนามีความต้องการที่จะแก้ไขด้วย หากรู้แล้วแต่ไม่อยากแก้ไขมันก็ต้องโง่ต่อไป
ปรารถนาที่จะแก้ไขความโง่
ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแก้ไขความโง่ให้เป็นความฉลาดนี่แหละ เราได้ฉลาดเพิ่มขึ้นอีก 25% เป็น 75% แล้วอันดับสุดท้าย เราก็จะต้องหาหนทางวิธีการแก้ไขว่ามีทางแก้ไขให้ฉลาดได้อย่างไรบ้าง ทำเป็นข้อปฏิบัติและปฏิบัติอย่างจริงจัง ในที่สุดเราก็เป็นนักปราชญ์เป็นคนฉลาดได้เต็ม 100%
ในหนังสือหลายๆเล่มที่กล่าวถึงความโง่ เช่น เรื่องคนฉลาดแสร้งโง่ ที่พูดเกี่ยวกับความโง่ไว้ละเอียดสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้สามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้
ในโลกแห่งความจริง ความรู้ที่เรามีนั้นไม่ถึง 2-3% ความหมายว่าเราแทบไม่รู้อะไรเลย เราอาจโง่ในหลายๆเรื่องซึ่งสถิติเราอาจโง่ทุกเรื่อง การอวดฉลาดทำให้ยิ่งโง่เข้าไปอีก ทำให้ปิดกั้นความรู้ที่จะได้รับจากคนรอบข้าง
ยอมเป็นคนโง่ไม่ใช่เรื่องน่าเกียจอะไร แต่การเป็นคนโง่ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่หาความรู้เพิ่ม ไม่ยอมพัฒนา อาจทำให้เราเป็น คนโง่ที่บริสุทธิ์ก็เป็นได้ อาจจะน่ากลัวมากกว่า
[7]
“ จะเข้าใจคนได้ดี
ดูในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ “
ตามความคิดของคาลิล ยิบราน ท่านกล่าวว่า สิ่งที่เขาต้องการจะทำ ความตั้งใจของเขา ปณิธาน ความมุ่งมั่น ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นั้นแหละแสดงถึงใจของเขา
ความตั้งใจของเขาที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ย่อมพิสูจน์จิตใจของเขาว่าดีเลวเช่นไร
จะเข้าใจคนไม่ใช่ดูสิ่งที่เขาทำสำเร็จแล้ว เพราะยังเอาแน่ไม่ได้ ผลงานที่ทำสำเร็จแล้วนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการทำจริงๆ เพราะมีคนเยอะแยะไปที่สร้างผลงานออกมาอย่างไม่ตั้งใจมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นนักทำงานแล้วเขาบอกว่า
“ สิ่งที่ผมต้องการทำจริงๆ ผมยังไม่ได้ทำเลยต่อไปนี้จะได้ทำในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์เสียที ”
อย่างนี้ก็มีบางคนนั้นก็ตายไปเสียก่อนที่จะได้ทำในสิ่งที่หวังไว้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ของชีวิตที่ตั้งใจว่าจะทำอย่างจริงจังนั้นเป็นของสูง ซึ่งมีความยากต้องใช้เวลามากอีกด้วย จึงผัดผ่อนมาเรื่อยๆ รอโอกาสอันเหมาะสม แต่ก็หาโอกาสดีๆไม่ได้เลย ชีวิตก็ชิงตายไปเสียก่อน
การเข้าถึงใจคนตามแนวคิดของท่านคาลิลนั้นหมายรวมถึงจิตใจเราเองด้วยเช่นกัน
ลองดูความต้องการของตัวเองหรือคนรอบข้างคุณ อาจทำให้เข้าถึงจิตใจมากขึ้นก็เป็นได้
แล้วพบกันใหม่ในตอนต่อไปนะครับ
ยังเหลืออีกหลายบทให้ศึกษากัน.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา