23 ม.ค. 2020 เวลา 23:34
เรื่องของบักจ่อยเด็กวัด😊
ไอ้จ่อยเป็นคนขี้สงสัยขอรับ มีเพื่อนคนหนึ่งเขาอยู่ชมรมพุทธในมหาวิทยาลัย เขาจะมีลักษณะเหมือนสมภาร ด้วยกิริยาคำพูดคำจา และมีศัพท์แปลกๆมาพูดเสมอ ไอ้จ่อยมีที่มาก็คือเณรอ้วน เณรจรจัด คนที่เจอกับพระสังฆราช ถ้ายังจำได้เมื่อโพสต์ก่อนๆได้นะขอรับ พอเข้ามหาวิทยาลัยเลยจ่อย
ไอ้จ่อยสนใจเพื่อนคนนี้มาก ตอนนั้น ข้างมหาวิทยาลัยจะมีวัดป่า เพื่อนคนนี้ก็ไปเสมอ ไอ้จ่อยเลยติดสอยห้อยตาม พร้อมกับเพื่อนๆ3-4คน ก็จะไปช่วยลอกจอกเเหนสระน้ำท้ายวัด หลังเลิกเรียน ทำทุกๆวัน ร่วมเดือนจึงสะอาด แลดูร่มรื่น
ตอนเย็นจะมีครูบา(หมายถึงพระ คนทางอีสานเรียกครูบา)ท่านหนึ่งจะปันอาหารและมาม่าให้ชาวคณะเด็กวัด ได้กินหลังจากลอกจอกแหน และปลูกป่าท้ายวัด จนสนิทสนมกับท่าน ท่านคงเห็นแววก็เลยสอนการปฏิบัติภาวนา เพื่อนๆหลายคนไม่ใคร่สนใจ มีเพียงไอ้จ่อยกระมังที่นั่งตาแป๋วมีแววตาอยากรู้อยากเห็นอยากลอง
"เอ้า..ภาวนาพุทโธนะ" ให้นั่งอยู่ศาลานั่นคนเดียว ทั้งคืน
กลัวด้วย มืดด้วย แต่เพราะความอยากรู้ จึงยอม
ทำอยู่หลายเดือนก็พบกับความสงบที่ละเอียดมากขึ้น ท่านก็เชียร์บอกว่าปริ่มแล้ว..ปริ่มแล้ว
ก็ยิ่งทำให้ไอ้จ่อยฮึกเหิม ใคร่รู้มากไปกว่านี้ กลับจากเรียนก็ตรงดิ่งมาที่วัด ถือศีล8แบบเข้มข้น ภาวนาในทุกอิริยาบถ ยืนเดิน นั่ง นอน แม้กระทั่งหลับ สลับกับการพิจารณากาย ฉีกทุกอวัยวะมาส่องดูไล่ไปเรื่อย ถ้าผีโผล่มาตอนนั้นคงถูกไอ้จ่อยฉีกออกเป็นชิ้นๆเป็นแน่แท้
คราวหนึ่งไอ้จ่อย ล้มตัวลงนอนได้สักพัก เกิดตัวหมุนในความรู้สึก ตัวหนา สุดท้ายเห็นกระดูกอย่างแจ่มชัด
รุ่งเช้ามา..ก็ไปบอกท่าน ท่านก็กล่าวกลางศาลาเลยว่าเมื่อคืนมีคนภาวนาเห็นกระดูก แต่ลึกๆไอ้จ่อยยังสงสัยว่าทำขนาดนี้แล้วกิเลสใยมิลดลง
ในทุกๆวันตอนเช้า จะรับบาตรพระ มาจัดการถลกบาตร นำไปวางเรียง บนศาลาฉัน หลังท่านฉันเสร็จก็จะรับบาตรไปล้าง นำมาเช็ด ในระหว่างนั้นท่านก็จะสอน การล้างบาตร ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าล้าง ให้ล้างด้วยผ้าไม่ใช่ฟองน้ำ และเช็ดด้วยผ้าเฉพาะของแต่ละองค์ จะมีน้ำเข้าข้างตะเข็บขอบบาตร ก็ต้องเคาะซับน้ำให้หมดกันสนิม ใส่ถลกบาตรถวายท่านคืน เมื่อท่านเอากลับกุฏิ ก็จะนำออกมาผึ่ง
ส่วนไอ้จ่อยมักจะแยกตัวออกมา โดยปันอาหารก้นบาตรใส่ถาด มากินเงียบๆและพิจารณาคำข้าว ทุกคำ และอุทิศบุญให้กับผู้ที่นำอาหารมาใส่บาตร
เวลาเข้าห้องน้ำจะถูกสอนไม่ให้ยืนปัสสาวะ เวลาดื่มน้ำจะต้องนั่งให้เรียบร้อย ก่อนถึงจะดื่ม
ไอ้จ่อยก็ทำทุกอย่างเพราะความอยากรู้
วันหนึ่ง ท่านถามว่ามีความสุขมั้ย
ไอ้จ่อยก็ตอบว่ามีความสุข
ท่านก็ให้เพื่อนอีกคนเคาะหัว
ท่านก็ถามอีกครั้ง
ไอ้จ่อยก็งงไม่ได้ตอบอะไร
ท่านจึงให้ไปทำทางเดินจงกรมกับเพื่อนอีกคน
อีกวัน..
ท่านก็ถามไอ้จ่อยก็ตอบแบบเดิม
ท่านก็ให้เพื่อนเคาะหัวอีก
ไอ้จ่อยก็งงอีก ท่านครูบาก็ชมบ่อยนะว่าปริ่มแล้วปริ่มแล้ว ทำไมยังโดนเคาะหัว
แล้วก็ให้ไอ้จ่อยไปเดินจงกรม..
แต่น่าสังเกตคือ ไอ้จ่อยอยากอยู่คนเดียวมากขึ้น
ว่างๆ ไอ้จ่อยจะหนีไปนั่งสมาธิ และเคลิบเคลิ้ม กับความสุขตรงนี้น จนไม่อยากทำอะไร
วันหนึ่งหลังจากโดนเคาะอีกครั้ง
ท่านจึงอธิบายว่า ที่ทำอยู่กำลังติดสุข มันจะอยู่บนโลกไม่ได้ มันจะไม่เห็นความจริง
ท่านจึงให้เริ่มหัดพิจารณา สิ่งรอบตัว เช่นเสื่อ แยกออกมาเป็นส่วนๆ หลังจากนั้นก็ให้ย้อนมาดูกายให้แยกเป็นส่วนๆพิจารณา หนัง ขน เล็บ
แต่ด้วยความดื้อของไอ้จ่อยก็พิจารณาด้วย แต่มันก็ไหลเข้าสมาธิตามความเคยชิน
ถึงว่าติดสุขนี่แก้ยากมาก เป็นหนึ่งในหลุมพรางของนักปฏิบัติเลยทีเดียว
ไอ้จ่อยติดอยู่ตรงนี้นานมาก และไม่มีใครแก้ได้ ด้วยความไม่ได้เรียนปริยัติ เพียงแต่ทำตามที่ท่านบอก สมถะ วิปัสสนาไม่เคยรู้ รู้แต่พุทโธ ดูลมหายใจออก และแอบฝึกเพ่งกสิณบ้างครั้ง ครูบาท่านก็พาไปหาท่านอื่นๆ ท่านทั้งหลายก็ให้กำลังใจ แต่ไม่มีผู้ใดแก้ได้
ครูบาท่านก็สงสัยว่าทำไมไอ้จ่อย ไม่ถึงจิตรวมใหญ่สักที
ไอ้จ่อยก็งงที่ท่านว่าคืออะไร แต่ที่งงกว่า ก็ไอ้จ่อยแอบเห็นว่ากิเลสมันไม่ลดลง มันแค่สงบ และมีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
ถ้าความสุขยังเข้าๆออกๆ มันน่าจะยังไม่ใช่ ความกระหายที่อยากรู้ก็ยังเต็มหัวใจ เหมือนพยัคฆ์หนุ่มที่ยังกระหายเหยื่อ แล้วมันคืออะไร
วันหนึ่ง ในคืนวันวิสาขบูชา หลังจากเรียนไอ้จ่อยเกิดคึก จะไปภาวนาผู้เดียวที่สระน้ำท้ายวัดที่เคยไปลอกจอกแหน ที่นั่นจะมีกระท่อมเล็กๆที่มีเพียงหลังคามุงจากและล้อมฝาด้วยผ้าจีวรเก่า มีต้นไม้ไม่ใหญ่นัก และมีก้อนหินพอนั่งได้ริมสระ
พระจันทร์ดวงใหญ่เต็มดวง สระน้ำสะท้อนแสงเงาจันทร์ สามารถมองเห็นตัวเองได้ท่ามกลางแสงจันทร์ส่อง ความกลัวก็มี แต่ในใจ เอาวะเป็นตายก็ช่าง ก็นั่งดูลมหายใจจนถึงระยะหนึ่งที่พอควร จึงเข้านอน
ขณะเคลิ้มหลับอยู่นั่น ปรากฏเงาทะมึน มาปรากฏเหนือศรีษะของไอ้จ่อยที่หันหัวเข้าสระน้ำพอดี จากนั้นเงาทะมึนร่างสูงใหญ่ก็ดึงตัวไอ่จ่อยลงสระน้ำ
ยามนั้นหากสติไม่ดี อาจจะสะดุ้งตื่นวิ่งป่าราบเป็นบ้าไปแล้ว แต่สำหรับไอ้จ่อยผู้ยังมีกิเลสเต็มหัวใจ กลับระลึกถึงศีลที่รักษายามเข้าวัด
นึกในใจว่า เรามีศีลแปดครบบริบูรณ์ด้วยความตั้งใจมั่น หากจะตายก็ไปที่ดีแน่ แถมขู่เจ้าดำทะมึนอีกกว่า กูมีศีลกูไปดี แต่มึงทำกับคนมีศีลมึงจะไปที่แห่งใด แล้วก็ปล่อยให้มันดึงจนจมน้ำ ตายเป็นตาย คิดแค่นั้น
เช้ามาไอ้จ่อยไม่ตาย ยังหายใจสบาย และปากจัดมากกว่าเดิม ด่าจนผีกลัว ถ้าเข้ามาไม่ถูกทาง ผีจะโดนด่าจนวิ่งป่าราบ
จริงๆไอ่จ่อยไม่ดุเท่าไรด่าไปก็อุทิศบุญให้ ไป สอนไปด้วย...
..
นี่แหละฤทธิ์เดชของศีลธรรมดาๆ เป็นเกราะคุ้มกันอย่างดี และกลิ่นของศีลหอมยิ่งกว่าเครื่องหอมชนิดใดๆ..ไอ้จ่อยไม่ธรรมดา
สวัสดียามเช้า กับเรื่องของบักจ่อยขอรับ😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา