22 ม.ค. 2020 เวลา 12:07 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
กรณีศึกษา 2 Digital Disruption - Grab vs แท็กซี่ดั้งเดิม
หลาย ๆ คนคงรู้ว่าช่วง 3- 4 ปีที่ผ่านมา Grab นั้นเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมขนส่งเป็นอย่างมาก ทำลายตลาดอุตสาหกรรมแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซต์ แต่จริง ๆ แล้ว Grab ไม่ได้ Disrupt แค่นั้น !
ข้อมูลจาก : https://www.grab.com/th/ พบว่าบริการของ Grab นั้นมีความหลากหลายในแอพพลิเคชันเดียว
ขอบคุณภาพจาก https://www.marketingoops.com/
GrabTaxi
- ให้บริการเรียกรถแท็กซี่สำหรับผู้โดยสาร ผ่านระบบสมาร์ทโฟน
GrabCar
- บริการรถยนต์ส่วนตัวรับส่งผู้โดยสาร สำหรับคนที่ชอบอารมณ์ความสะดวกสบายแบบรถยนต์ส่วนตัว มาพร้อมกับ GrabCar+ ยกระดับรถรับส่งไปสู่อีกระดับนึงพร้อมบริการที่ประทับใจ และ Grab XL ที่รองรับผู้โดยสารถึง 12 คน
JustGrab
- บริการที่รวมเอารถแท็กซี่และรถยนต์ส่วนตัวเข้าไว้ด้วยกัน มีจุดเด่นที่ความรวดเร็ว โดยระบบจะเรียกรถที่อยู่ใกล้คุณที่สุด พร้อมแจ้งค่าโดยสารที่แน่นอนก่อนเดินทาง
GrabBike
- บริการเรียกรถมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว มีจุดเด่นที่ความสะดวกสบาย ราคาที่เป็นมาตราฐาน และบริการ GrabBike (Win) บริการรับ-ส่งผู้โดยสารโดยวินมอเตอร์ไซค์
GrabExpress
- บริการขนส่งพัสดุและเอกสาร ซึ่งรวมเครือข่ายบริการรถทุกประเภทของ Grab เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนั้นจะมีการเปิดทดลอง GrabMart บริการซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อส่งถึงมือผู้สั่ง อีกด้วย
GrabFood
- รวมร้านอาหารยอดนิยมตามสถานที่นั้น ๆ รวมไปถึงร้านอาหารแบรนด์ต่าง ๆ ส่งอาหารถึงมือผู้สั่ง เพียงแค่กดสั่ง !
GrabRewards
- สะสมแลกคะแนนสำหรับผู้ใช้งานแอพพลิเคชัน Grab ซึ่งรวมสิทธิประโยชน์มากมายจากสปอนเซอร์และพันธมิตร เช่น S&P , Major Cineplex , Shopee
ขอบคุณภาพจาก https://brandinside.asia/
เวลาผ่านไป 6 ปี ตอนนี้ Grab...
- มีการเปิดให้บริการกว่า 191 เมืองทั่วโลก
- มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 100 ล้านครั้ง
- มีผู้ขับขึ้นทะเบียน 930,000 ราย
- มีการเรียกบริการผ่านแอพวันละ 2,500,000 ครั้ง
- ขณะที่คุณนั่งอ่านผ่านไป 1 วินาที มีการเรียกผ่านแอพไปแล้ว 29 ครั้ง
ขอบคุณภาพจาก https://www.billionmindset.com/
Grab เติบโตแบบก้าวกระโดด ในส่วนของรายได้โตเกิน 100%
ปี 2016
- รายได้รวม 104,131,569 บาท
- รายจ่ายรวม 620,271,535 บาท
- ขาดทุนสุทธิ 516,139,966 บาท
ปี 2017
- รายได้รวม 508,510,201 บาท
- รายจ่ายรวม 1,493,844,350 บาท
- ขาดทุนสุทธิ 985,334,149 บาท
ปี 2018
- รายได้รวม 1,159,233,358 บาท
- รายจ่ายรวม 1,870,794,662 บาท
- ขาดทุนสุทธิ 711,561,304 บาท
ข้อสังเกต
1.หากมองในมุมของรายได้ ถือว่า Grab มีการเติบโตสูงมาก ในช่วงปี 2016 – 2018 มีการเติบโตของรายได้สูงถึง 103.29% , 388.33% และ 127.96% ตามลำดับ
2.ในปี 2018 รายได้รวมอยู่ที่ 1,159,233,358 บาท แต่ยอดขาดทุนสูงถึง 711,561,304 บาท คิดเป็นอัตราขาดทุนสุทธิสูงถึง 61.38% อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ทุกรายได้ 100 บาทของ Grab จะทำให้บริษัทขาดทุนสูงถึง 61.38 บาท
หากมองในมุมของนักลงทุน การขาดทุนของ Grab ไม่ใช่เรื่องที่แปลกนัก
- ด้วยความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค Grab จึงจำเป็นต้องเน้นแย่งส่วนแบ่งตลาด เพื่อทำให้ผู้บริโภคเคยชินต่อพฤติกรรมแบบใหม่เสียก่อน จนถึงจุดหนึ่งที่บริษัทมียอดผู้ใช้และรายได้ต่าง ๆ ที่เสถียร มีความคล่องตัว จึงค่อยปรับเป็นมาตราการที่เน้นการทำกำไร ซึ่งเป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจโดยทั่วไปของบริษัทแนว Startups นั่นเอง
- การขาดทุนของ Grab หมายถึงการที่ให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์หรือได้กำไรอยู่นั่นเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโปรโมชันแต่ละอย่างของ Grab จึงถูกมาก เช่น ส่วนลดค่าแท็กซี่ หรือโปรโมชันส่งอาหารฟรี ซึ่งหมายถึง Grab กำลังแบกรับต้นทุนแทนผู้ใช้บริการ
- สรุปก็คือ Grab รู้ว่าตัวเองกำลังขาดทุน แต่ยอมขาดทุนเพื่อให้เราใช้บริการของเขา นั่นเอง
ขอบคุณภาพจาก https://www.thumbsup.in.th/
อะไรทำให้ Grab ประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
- ปัญหาโบกแท็กซี่ยาก เป็นปัญหาที่แทบทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องประสบ
- ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปเนื่องจากเทคโนโลยีนั้นเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น มีความสะดวกสบาย และความรวดเร็วทันสมัยมากขึ้น Grab เล็งเห็นจุดบอดตรงนี้ ที่ธุรกิจ Taxi ดั้งเดิม ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ จึงได้เริ่มทำการตลาดจากจุดนี้
- Grab ให้บริการที่ยอมปรับตัวเข้ากับกฎหมายของประเทศต่าง ๆ เช่น GrabBike (Win) แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนขับ GrabBike และวินมอเตอร์ไซค์ , GrabTaxi ที่ลดความขัดแย้งระหว่างคนขับ GrabCar และ Taxi ดั้งเดิม
- จุดแข็งของ Grab นั้นคือสามารถขยายตลาดได้หลายทาง และรูปแบบการบริการนั้นสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ทำให้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
อนาคตของ Grab จะไปในทิศทางไหน ?
- Grab เริ่มเติบโตจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านผู้บริหารกล่าวว่ายังไม่คิดจะไปลุยตลาดอื่น ๆ ที่ไกลตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นความคิดที่ดี เนื่องจากในจีนก็มีเจ้าใหญ่ในประเทศครองอยู่ ส่วนตลาดยุโรปและอเมริกาก็ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด ดังนั้นเราจะขอไปให้สุดใน South East Asia ก่อน
- หนึ่งในรูปแบบการหารายได้ที่เป็นที่นิยมของ Digital Platform คือ การหารายได้จากโฆษณา ซึ่ง Grab เองก็มีบริการ GrabAds สำหรับธุรกิจ ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ ด้วยบริการ In-App Ad และ In-Car Branding
- Grab ยังให้บริการด้านการเงินอื่น ๆ เช่น GrabPay บริการรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและเดบิต
- Grab Financial Services Asia ได้รับความร่วมมือกับ Credit Saison หนึ่งในผู้ให้บริการกู้ยืมที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งทำให้ Grab สามารถให้บริการทางการเงินในระดับเล็ก ๆ ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ให้เงินกู้แก่คนขับรถ บริการกู้ยืมเงินสำหรับผู้ประกอบการ ธุรกิจขนาดเล็ก และอื่น ๆ
ในอนาคตใครจะมา Disrupt บริการอย่าง Grab ?
- บริการอย่าง Grab เราเรียกว่า Ride-Hailing คือการให้บริการแก่ผู้โดยสารด้วยการเรียกรถผ่านทางแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ค่าโดยสารที่เกิดขึ้นจะแบ่งเป็น ค่าบริการของผู้ให้บริการ และค่าตอบแทนแก่ผู้ขับขี่ซึ่งเป็นเจ้าของรถ
- เป็นที่คาดการณ์ว่า เทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) หรือ รถยนต์ไร้คนขับ (Self-Driving Car หรือ Driverless Car) ที่ Tesla เพึ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน และคิดว่าจะนำมาใช้อย่างแพร่หลายภายใน 5 - 10 ข้างหน้านี้
- ไม่ใช่แค่ Tesla แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่กำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เช่น Apple Audi Baidu BMW และอื่น ๆ อีกมากมาย
- แน่นอนว่าหากมีผู้ให้บริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแล้ว ผู้ให้บริการ Ride-Hailing ต้องถูก Disrupt อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องเรียกรถแบบเดิมอีกต่อไป สามารถเลือกใช้บริการรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแทน
ขอบคุณภาพจาก https://readwrite.com/
Self-Driving Car ไม่เพียง Disrupt เพียงแค่ธุรกิจ Grab เท่านั้น
หลาย ๆ ธุรกิจในด้านอุตสาหรกรรมจะถูก Disrupt เช่นกัน
- พนักงานขับรถส่งของและอาหาร
- โรงเรียนสอนขับรถ
- ธุรกิจประกันภัย
- ธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์
- กู้ภัย
- เจ้าหน้าที่จราจรและเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี
- บริการที่จอดรถ และบริการรถสาธารณะ
- ธุรกิจ Fast Food
- ธุรกิจโรงเรียนและการบิน
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- ธุรกิจที่มีหน้าร้าน
- สื่อและโฆษณา
- เมื่อมีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ พนักงานขับรถ ส่งของ ส่งอาหาร และโรงเรียนสอนขับรถ จะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป
- หนึ่งในประโยชน์ของ Self-Driving Car คือ จะมีความปลอดภัยสูงขึ้นอย่างมาก หมายถึงอุบัติเหตุจะเกิดลดลง ส่งผลกับธุรกิจในเครือประกันภัยต่าง ๆ
- อุตสาหกรรมรถยนต์ต่าง ๆ เช่น ศูนย์บริการรถยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ สถานีบริการน้ำมันและอื่น ๆ อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปแบบและจำนวน
- กู้ภัย จราจร เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี บริการที่จอดรถ และบริการรถสาธารณะ จะต้องสูญเสียงานและรายได้
- ธุรกิจ Fast Food ต้องมีการปรับตัว เนื่องจากบางธุรกิจนั้น รายได้ส่วนหนึ่งมาจากการขายแบบ Drive-Thru คือ การขับรถเข้าไปรับการบริการตามร้าน ตามจุด ตามเคาน์เตอร์ โดยที่ไม่ลงจากรถ
- ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน อาจะมีรายได้ลดลง เนื่องจากผู้ใช้บริการสามารถวางแผนการเดินทาง และพักผ่อนภายใน Self-Driving Car แทนโดยไม่ต้องพึงบริการจากทางโรงแรม หรือไม่ใช้สายการบินในระยะทางสั้น ๆ
- สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทำเลใกล้เมื่องอีกแล้วก็ได้ ส่วนธุรกิจที่มีหน้าร้านก็ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ในเมืองหรือชุมชน เนื่องจากเราอาจใช้เวลาอยู่ในรถยนต์มากกว่าเดิม อาจมีสื่อรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นในรถยนต์อีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก https://www.partcatalog.com/
นี่คือตัวอย่างของการ Disruption ที่เกิดจากการพัฒนาของ ดิจิทัลเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
โปรดติดตามตอนต่อไป
Reference : หนังสือ Digital Transform in action เปลี่ยนธุรกิจในยุคดิจิทัล
โฆษณา