ซึ่งทั้งสองสมถะและวิปัสสนาต้องใช้ทำงานร่วมกันขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ จะเหมาะสำหรับคนเมืองที่ไม่มีเวลา นั่งทำสมาธิกันยาวๆ 🍃
..
ในชีวิตประจำวันแนะนำให้ทำสมถะแค่จิตสงบแต่ระดับขณิกะ สบายๆหลังจากนั้นให้เจริญวิปัสสนา เมื่อเดินปัญญาเหนื่อยก็กลับมาทำสมถะ สลับไปมา เช่น เวลาทำงาน ว่างเล็กน้อยก็มาดูลมหายใจเบาๆ(สมถะ) จากนั้นมาดูกายที่เคลื่อนไหว หรือความคิดที่ผุดมาแล้วดับไป ไม่มีอะไรนิ่ง คงทน บังคับไม่ได้ ไม่ใช่เรา(วิปัสสนา) แล้วก็ทำงานต่อ ใช้วิธีลักไก่ทั้งวัน สะสมเป็นความเคยชิน จนมันเป็นอัตโนมัติ
..
จนวันหนึ่งมันแจ้งแก่ใจว่าขันธ์5(ขันธ์5อธิบายในโพสต์ที่แล้วก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน หรือเรียกย่อว่ากายใจ หรือรูปนาม) แปรปรวน คงอยู่ไม่ได้ ไม่มีตัวตนหรือเห็นกฏไตรลักษณ์ อนิจจังทุกขัง อนัตตา หรือในเพจขบถ~ยาตราในเรื่องอิยะกับความหมายที่หายไป ภาค0 เรื่องขบถยาตรา กระผมใช้คำว่ากฏของจิงเกอเบล🍃
..
เมื่อจิตเรียนรู้จนเข้าใจ ก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ก็จะละสังโยชน์ข้อที่1ได้ ความเห็นผิดในกายว่าเป็นของเราก็หมดไป
..
ส่วนข้อที่2🍃ความลังเลสงสัย จะค่อยๆหายไป หรือเบาลง เนื่องจากสังโยชน์เราละได้ถูกต้อง ความเชื่อมั่นใน พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จะแน่นแฟ้นจากที่เราได้ทำและสัมผัสกับตัวเอง มันจะแจ้งชัดแบบไม่มีข้อกังขา ข้อที่2ก็จะละไปโดยอัตโนมัติ
..
ข้อ3🍃สีลัพพตปรามาส จากข้อ1เมื่อเราเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง เราจะขวนขวายในเหตุสันโดษในผล และเห็นความผิดชอบชั่วดี เห็นไตรลักษณ์เราก็มีความเป็นปกติ ไม่เบียดเบียนใคร เพราะฉะนั้นศีลเราจะสมบูรณ์โดยอัตโนมัติ แค่ศีล5ก็บรรลุธรรมได้
..
เมื่อละสังโยชน์3ข้อได้โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผลก็เกิดขึ้น ก็เป็นอันปิดอบายทั้งหมดก็เป็นอันจบเป้าหมายระยะสั้น