3 มี.ค. 2020 เวลา 12:06 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Industry 4.0 ธุรกิจ Digital กำลังทำลายธุรกิจแบบเดิม ๆ - Chapter 3
ประเด็นที่ 4 เมื่อธุรกิจถูก Disrupt ควรทำอย่างไร ?
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
ก่อนอื่นขอสรุปความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจแบบดั้งเดิม และธุรกิจแบบใหม่ (ในที่นี้เราพูดถึง Platform Business) จาก EP ที่แล้ว เพื่อความเข้าใจง่ายนะครับ
Source : medium.com
ธุรกิจแบบดั้งเดิม แตกต่างจาก Platform Business ใน 3 มุมมองดังนี้
1. รูปแบบการทำธุรกิจ
ธุรกิจแบบดั้งเดิม มีลักษณะเหมือนท่อ คือมีการส่งต่อและสร้างมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ต้นขบวนการ เช่น การจัดหาวัตถุดิบ การประกอบ การผลิต ไปจนถึงปลายขบวนการ เช่น การจัดจำหน่าย ลักษณะการทำธุรกิจแบบนี้จำเป็นต้องใช้ทรัพย์สินหรือทรัพยากรในระดับหนึ่ง มุ่งเน้นที่กระบวนการทางฝั่งอุปทาน (Supply) การผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของห่วงโซ่อุปทาน
4
Platform Business มีลักษณะตรงกันข้าม คือ มุ่งเน้นกระบวนการภายนอกของห่วงโซ่อุปทาน การสร้างและควบคุมกระบวนการฝั่งอุปสงค์ (Demand) โดยการเป็นผู้จัดหาและอำนวยความสะดวกให้กลุ่มผู้บริโภคหลาย ๆ กลุ่ม และกลุ่มผู้ผลิตอีกหลาย ๆ กลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยน "คุณค่า" และ "บริการ" ซึ่งกันและกัน
เจ้าของ Platform ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์หรือบริการนั้น ๆ เพียงแต่เป็นเจ้าของเครือข่ายที่ทำให้เกิดข้อมูลขนาดใหญ่ มีการสร้างปฎิสัมพันธ์กันระว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของพื้นที่การตลาดนั้นเอง (Market Place Owner)
1
Source : linkedin.com
2. ความแตกต่างทางมุมมองในการใช้อินเตอร์เน็ต
ธุรกิจแบบดั้งเดิมมองว่า "อินเตอร์เน็ต" เป็นเพียงช่องทางการจำหน่ายสินค้า แต่ Platform Business มองว่าอินเตอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการสร้างกลไกความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า
Platform Business มองเห็นและสามารถนำศักยภาพของอินเตอร์เน็ตมาประยุกต์ใช้ให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจอย่างมหาศาล ในขณะที่ธุรกิจแบบดั้งเดิมทำไม่ได้
Platform Business เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาด ที่สร้างเครือข่ายขึ้นมา และใช้ประโยชน์จาก Network Effect สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งเป็นจุดอ่อนธุรกิจดั้งเดิม จนนำไปสู่การเป็นเจ้าตลาดแทนที่ธุรกิจเดิม
3. การสร้าง Economy of Scale
Economy of Scale แปลเป็นไทยได้ว่า "การประหยัดเนื่องมาจากขนาด" งงใช่ไหมล่ะครับ แต่ World Maker อยากบอกว่าความหมายของคำนี้ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้นครับ
Economy of Scale หมายถึง ความได้เปรียบของบริษัทที่จะทำให้ต้นทุนลดลง เมื่อต้นทุนลดลงจะส่งผลให้ขนาดกำไรต่อหน่วยสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น
1. การผลิตสินค้าคราวละมาก ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตลง
2. การกู้เงินก้อนใหญ่ขึ้น เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษเสียดอกเบี้ยต่ำลง
3. แบรนด์สินค้าที่มีชื่อเสียงหรือติดตลาดแล้วไม่จำเป็นต้องโฆษณา หรือโฆษณาน้อยลง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้มหาศาล
4. บริษัทขยายเป็นธุรกิจครบวงจร ครอบคลุมทั้ง Supply Chain ลดต้นทุนในการผลิตและค่าขนส่งอย่างมาก
ธุรกิจแบบดั้งเดิม มุ่งเน้นประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ให้มีต้นทุนต่อหน่วยน้อยที่สุด เป็นการลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหมายถึงการสร้าง Economy of Scale ฝั่งอุปทาน (Supply) ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
Platform Business มุ่งเน้นกระบวนการรวบรวมผู้ที่มีความต้องการ "ซื้อสินค้าหรือบริการ" และผู้ที่ต้องการ "ขายสินค้าหรือบริการ" เข้าด้วยกันโดยใช้ Social Network เป็นฐานที่มั่น
เมื่อมีผู้ซื้อและผู้ขายมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันที่มากขึ้น (ถือเป็นเรื่องดีตามหลักกลไกตลาดเสรี) ทำให้ผู้ที่ต้องการขายก็ต้อง "ขายถูกลง" ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อก็สามารถเลือกซื้อสินค้าที่มี "คุณภาพและราคา" ตามที่เหมาะสมกับความต้องการได้ ซึ่งเป็นการสร้าง Economy of Scale ทั้งฝั่ง Demand และ Supply
Source : ourgreenfish.com
เจ้าของธุรกิจควรทำอย่างไรเมื่อถูก Disrupt ?
World Maker ขอแยกเป็น 2 ฝั่ง เพื่อให้เห็นภาพนะครับ
1. Disruptor
ธุรกิจหน้าใหม่ โดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่า และกำลังเข้ามาแย่งตลาดธุรกิจเดิม
2. Survivor
ธุรกิจที่มีอยู่เดิม มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ครองตลาดในธุรกิจนั้น ๆ อยู่ แต่กำลังถูกแย่งลูกค้าโดย Disruptor
เมื่อมีการ Disrupt เกิดขึ้นแล้ว Survivor เลือกได้ว่าจะอยู่เฉย ๆ หรือตอบโต้ โดยกลยุทธ์ที่ Survior จะใช้ตอบโต้ Disruptor นั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างดังนี้
1. ลงทุนในหุ้นเพื่อควบคุมหรือซื้อกิจการของ Disruptor
อาจจะฟังดูตรง ๆ เรียบง่าย และสุดโต่งไปหน่อย แต่นี่เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ทรงพลังมาก ๆ และนิยมใช้กันจริง ๆ โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกมักจะนำกลยุทธ์นี้มาใช้ ยกตัวอย่างในกรณีของ Facebook ที่มีการเข้าซื้อกิจการ Instagram เมื่อปี 2555 และซื้อ WhatsApp เมื่อปี 2558 ด้วยมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านบาท และ 600,000 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนธุรกิจดั้งเดิมที่ไม่ยอมปรับตัวจึงต้องถูก Disrupt ก็อย่างเช่นกรณีของบริษัท Blockbuster ที่ในอดีตเป็นผู้นำตลาดเช่าหนังและวิดีโอเกม มีจำนวนสาขาถึง 9,094 สาขาทั่วโลก แต่ปัจจุบันได้เสียตลาดให้กับ Netflix ที่ใช้การ Steaming บน Platform ผ่านอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้งานไม่ต้องขับรถออกไปเช่าแผ่นหนังมาดูอีกแล้ว ทำให้ตอนนี้ Netflix กลายมาเป็นผู้นำธุรกิจด้านนี้และติด 1 ใน 10 อันดับของบริษัทที่ทำรายได้มากที่สุดทางอินเตอร์เน็ต ส่วน Blockbuster ปิดสาขาแห่งสุดท้ายในโลกลงเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2561
1
2. เปิดธุรกิจใหม่แข่งกับ Disruptor
หลายครั้งที่ Survivor ไม่สามารถซื้อกิจการของ Disruptor ได้ ทางเลือกต่อไปจึงเป็นการ "ลงทุนเปิดธุรกิจใหม่" มาแข่งซะเลย (เราจะสังเกตได้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมักจะดูทื่อ ๆ และสุดโต่งเช่นนี้)
ยกตัวอย่างกรณีของ Facebook อีกเช่นเคย ที่ในตอนนั้นไม่สามารถซื้อกิจการของ Snapchat ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของกลุ่ม "วัยรุ่น" และเป็นตลาดที่ Facebook ยังเข้าไปครอบครองไม่ได้ จึงต้องพัฒนา Instagram ที่ไปซื้อกิจการมาอีกทีเพื่อทำตลาดแข่งกับ Snapchat แทน
3. การรักษาฐานลูกค้าเดิมบางส่วนเอาไว้
กรณีที่เลวร้ายลงมาหน่อยก็คือ ธุรกิจเดิมไม่มีศักยภาพมากพอจะสู้กับธุรกิจใหม่ได้ จึงไม่สามารถรักษาสถานภาพการครองตลาดเอาไว้อีกต่อไป กลยุทธ์นี้ผู้บริหารบริษัทใหญ่ ๆ มักจะนำมาใช้กันก็คือ "การลดฐานลูกค้าลง" แต่ "เพิ่มความใส่ใจกับลูกค้ากลุ่มเก่าให้มากขึ้น" อาจกล่าวได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่เพิ่มความ Stickness ให้กับธุรกิจ เช่น การให้สิทธิพิเศษหรือโปรโมชั่นกับลูกค้าเก่า ฯลฯ
1
ยกตัวอย่างกรณีของ Fujifilm ที่เคยเป็นเจ้าของตลาดธุรกิจฟิล์มกล้องร่วมกับ Kodak จนมาถึงในช่วงปี 2533 เป็นต้นไป ที่กล้อง Digital เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผลกำไรของธุรกิจลดลงจนแทบเป็น 0
กว่า 50 ปีที่ผ่านมา Fujifilm อยู่ได้ด้วย "Fuji Xerox" บริษัทด้าน Software และการผลิตเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ แต่หลังจากเข้าสู่ยุค Digital ส่งผลให้ Demand ในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารลดลงอย่างมาก เนื่องจากคนใช้กระดาษน้อยลง (Paperless)
จะเห็นได้ว่าการเข้าสู่ยุค Digital ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งธุรกิจฟิล์มกล้องและธุรกิจเครื่องพิมพ์ ซึ่งเป็น 2 ธุรกิจหลักของ Fujifilm ในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้ Fujifilm จึงมีการปรับตัวไปทำธุรกิจอื่นแทน ส่วนผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับฟิล์มกล้องและเครื่องพิมพ์ จำเป็นต้องลดขนาดลงและมุ่งเน้นไปที่การรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้บางกลุ่มเช่น คนเล่นกล้องฟิล์มเก่า ๆ เป็นต้น
1
4. การปรับตัวไปสู่ธุรกิจอื่น
กรณีนี้คล้าย ๆ กับ Fujifilm ที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ แต่ต่างกันตรงที่ กรณีนี้จะไม่รักษาธุรกิจเดิมเอาไว้ (เลิกทำหรือขายทิ้งไปเลย) ซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคม ผู้บริหารจะต้องกล้าเสี่ยง เหตุผลก็คือ
1. ธุรกิจเดิมไม่มั่นคงจากการถูก Disrupt
2. การปรับตัวไปสู่ธุรกิจใหม่ก็ย่อมมีเจ้าของตลาดเดิมอยู่ก่อนแล้ว
3
พูดง่าย ๆ กลยุทธ์นี้เป็นการเปลี่ยนสถานะตัวเองจาก Suvivor ให้เป็น Disruptor นั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าทางใดก็ตาม ผู้บริหารก็จะต้องแบกรับความเสี่ยงในรูปแบบและสถานะที่แตกต่างกัน
ดังเช่นกรณีของ IBM ที่ขายธุรกิจ Computer Hardware และปรับตัวไปทำธุรกิจด้าน Software และบริการแทน ซึ่งสามารถเติบโตและสร้างรายได้อย่างมหาศาล
5. หนีออกจากตลาด
แต่ล่ะกลยุทธ์นั้นฟังดูสุดโต่ง ไร้เหตุผลรองรับ แต่แปลกที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ
กลยุทธ์ที่ 36 ใน "ตำราพิชัยสงคราม 36 กลยุทธ์" ระบุไว้ว่า "การหนี" ถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์ที่จำเป็นต้องใช้ในยามคับขัน
หากผู้บริหารฝั่ง Survivor เห็นแล้วว่าไม่มีทางแข่งขันได้เลย และยังไม่พร้อมจะปรับตัวไปสู่ธุรกิจอื่น อาจด้วยเหตุผลทางกำลังคนหรือกำลังทรัพย์ หรือเหตุผลใด ๆ ก็ตาม การรีบขายหรือปิดกิจการเสียตั้งแต่ตอนนั้น จะทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งดีกว่าการฝืนแข่งขันไปเรื่อย ๆ ทำให้ผลกำไรที่ทำมาหดหายและอาจกลายเป็นหนี้สินอีกต่างหาก
กรณีของ Yahoo! ที่เคยมีมูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2543 ครั้งหนึ่งเคยจะซื้อกิจการของ Google และ Facebook แต่ไม่เกิดขึ้นเพราะ Yahoo! เสนอเงินที่น้อยเกินกว่าที่ Google และ Facebook ต้องการ และแน่นอนว่า Yahoo! โดยภาพรวมนั้นไม่สามารถแข่งขันกับ Google และ Facebook ได้เลย ในที่สุดจึงตัดสินใจขายกิจการให้ Verizon ด้วยมูลค่า 15,000 ล้านบาท (หายไปเยอะแต่ก็ดีกว่าขาดทุน)
1
Source : techsauce.co
ยักษ์ใหญ่ในไทยเขาปรับตัวกันอย่างไรเมื่อถูก Disrupt ?
เทคโนโลยีทางการเงินหรือ "Fintech" เช่น การชำระเงินหรือกู้เงินโดยไม่ต้องผ่านธนาคาร กำลังเข้ามาทดแทนระบบการเงินแบบเดิมของธนาคาร
Fintech ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องปรับลดสาขาลง ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้ใช้บริการของธนาคารต่อไป ทั้งนี้ยังต้องมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการดำเนินงาน
สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าธนาคารต่าง ๆ เริ่มปรับตัว คือ การเพิ่มช่องทางให้บริการทาง E-Market เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์เปิดบริการแอพ SCB Easy ทำให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอินเตอร์เน็ตได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังธนาคาร และยังมีการลดค่าใช้จ่ายในบริการอื่น ๆ
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ธนาคารต่าง ๆ นำมาใช้ก็คือ การลงทุนในธุรกิจ Startup & Development และการลงทุนในรูปแบบ VC เช่นของธนาคารกรุงศรี ดังนี้
Krungsri Finnovate คือ Corporate Venture Capital (CVC) ของทางธนาคารกรุงศรี เน้นลงทุนในธุรกิจนวัตกรรมในไทยและแถบอาเซียนดังต่อไปนี้ AI, Big Data, Blockchain, Smart API, Super Mobile app, Biometric, Digital Lending Platform, Insurance Tech, Robo-Advisor โดยมีเงินลงทุนสนับสนุนอยู่ที่ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ปัจจุบันมีการลงทุนในกองทุนดังต่อไปนี้
- SBI Group กองทุนที่เน้นลงทุนใน AI และ Blockchain เพื่อเข้าถึง DeepTech Startup จากทั่วโลก
- Finnomena FinTech Startup บริษัทร่วมลงทุน โดยลงทุนร่วมกับ CVC อย่างเบญจจินดา และ กองทุน 500 TukTuks
- Omise บริษัท FinTech startup พัฒนาระบบชำระเงินออนไลน์ Payment Gateway
- Baania บริษัท PropTech Startup ที่พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Big Data ทั้ง AI และ Machine Learning เพื่อใช้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ใน Krungsri Finnovate ยังมีโครงการสนับสนุน Startup อีก 2 โครงการได้แก่
1. Krungsri Uni Startup ที่เฟ้นหา Talent ในระดับมหาวิทยาลัยที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสายเทคโนโลยี และมีความสนใจในเรื่อง Big Data, AI, Blockchain เป็นต้น
2. Krungsri RISE โครงการ Accelerator ของธนาคารกรุงศรี โดยเปิดมาด้วยกันทั้งสิ้น 3 Batchs และมี Startup หลากหลายทั้ง FinTech, Lifestyle, InsurTech, PropTech เป็นต้น โดย Baania และ Finnomena ก็เคยเข้าร่วมโครงการดังกล่าว
1
Source : digitalbusinessconsult.asia
กรณีศึกษา : ทำไม Facebook ถึงซื้อ Instagram ?
เหตุผลหลักคือคำตอบง่าย ๆ ย้อนกลับไปที่หัวข้อนั่นก็คือ ในช่วงนั้น Instagram กำลังคุกคาม Facebook นั่นเอง
Instagram ไม่ใช่ Social Media แบบเดียวกับ Facebook ที่เป็นคู่แข่งกันตรง ๆ แต่มันมีจุดขายหลักที่เหมือนกับ Facebook คือ
1. การแชร์รูปภาพ (ซึ่งเป็นจุดขายหลักของ Facebook ตั้งแต่แรก)
2. เป็น Social Society ในตัวเอง คือสามารถกดติดตามเพื่อนได้ คอมเมนต์กันได้ พูดคุยกันได้
ในช่วงที่ก่อตั้ง Facebook แรก ๆ เทคโนโลยีหลักที่มนุษย์ใช้กันก็คือ "คอมพิวเตอร์" หรือ PC ซึ่ง Facebook เอาชนะคู่แข่งรายอื่น ๆ ได้หมดและเข้าครองตลาด Social Network แต่พอเทคโนโลยีพัฒนาเข้าสู่ยุค Smart Phone ทำให้ Facebook ที่คุ้นชินกับ PC เริ่มปรับตัวไม่ทัน (สังเกตุได้จาก App ของ Facebook ในมือถือช่วงแรก ๆ มี Bug เยอะมาก) และกลายเป็นช่องโหว่ให้ Instagram เข้ามา Disrupt ได้นั่นเอง
1
แก่นแท้ที่ทำให้ Facebook ในช่วงนั้นได้รับความนิยมน้อยลงก็คือ "วิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี" สมัยที่ PC ยังเป็นเทคโนโลยีหลักของมนุษย์ เราออกไปเที่ยว ถ่ายภาพ กลับบ้านมาใช้คอม อัพโหลดรูปลง Facebook คุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ซึ่ง Facebook เองก็ให้ประสบการณ์ตรงนี้ได้ดีมาก ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้นเลยทีเดียว
แต่พอมาถึงยุคที่ทุกคนใช้ Smart Phone เป็นหลัก เราถ่ายรูปแล้วกดแชร์จากมือถือได้ตรงนั้นเลย คุยกันผ่าน Instagram เลย ถึงแม้จะลง Facebook ได้ แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเลือกใช้งาน Instagram ในการแชร์รูปมากกว่ามีอยู่ 3 ข้อ หลัก ๆ ก็คือ
1. Instagram ไม่ลดคุณภาพรูปภาพเหมือน Facebook
เป็นที่รู้กันดีว่าหากเรามีรูปสวย ๆ คมชัด แล้วเอาไปลงใน Facebook จะต้องโดนลดคุณภาพของรูปภาพลง เนื่องจาก Facebook แต่แรกนั้นไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการรองรับภาพถ่ายคุณภาพสูง ๆ จากทั่วโลก ในขณะที่ IG ออกแบบมาเพื่อการลงรูปโดยเฉพาะตั้งแต่แรก
2. Instagram สะดวกกว่าและ Application ในตอนนั้นก็มีคุณภาพดีกว่า
แน่นอนว่า Instagram เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญกับวงการภาพถ่ายตั้งแต่ยุค Smart Phone เนื่องจาก App ของ Instagram นั้นใช้งานได้สะดวกและสเถียรกว่า Facebook ในมือถือมาก
3. Interface ของ Instagram เข้ากับการแชร์รูปมากกว่า Facebook
ต่อให้ Facebook ไม่ลดคุณภาพรูปถ่าย แต่ด้วย Interface ของ Facebook ที่ไม่ได้โชว์ภาพถ่ายอย่างหวือหวาในหน้า Profile ของผู้ใช้ อาจตอบสนองความรู้สึกอยากเสพภาพถ่ายของผู้บริโภคได้ไม่เพียงพอ ดังนั้นเวลาคนนึกถึง App ที่จะดูรูปหรือลงรูปสวย ๆ ก็ต้องเป็น Instagram มากกว่า Facebook
ทั้งหมดที่กล่าวมาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทก่อน ๆ ว่าด้วยเรื่อง "Platform Model" ซึ่ง Facebook เองก็คงรู้เรื่องนี้ดี แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องวิธีคิดขององค์กรที่โตมากับ PC ทำให้ปรับตัวได้ช้ามาก ขนาดปัจจุบันนี้แอพ Facebook ก็ยังมีความสามารถจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับ Instagram
1
ทางแก้อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย "สู้ไม่ได้ก็ซื้อ" ถ้าไม่ขายก็ขึ้นราคาไปเรื่อย ๆ จนในที่สุด Instagram ก็ยอมรับเงินก้อนนั้น
Facebook ซื้อกิจการ Instagram เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ด้วยมูลค่า 30,000 ล้านบาท...ณ ตอนนั้นหลายคนตั้งคำถามว่ามูลค่านี้สูงเกินไปหรือไม่? ซึ่งตอนนั้น Instagram มีผู้ใช้งานประมาณ 30 ล้านคนทั่วโลก และมีรายได้เป็น 0
แต่ลองมาดูสถิติ Instagram ในปัจจุบันนี้
1. มีผู้ใช้งานกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก
2. มีผู้ใช้งานต่อวันมากกว่า 500 ล้านครั้ง
3. มีโพสท์ใหม่ประมาณ 400 ล้านโพสท์ต่อวัน
4. ผู้ใช้งานมากกว่าร้อยละ 60 เปิดดู Instagram ทุกวัน
5. จำนวนรูปภาพคิดเป็นร้อยละ 91.07 ของโพสต์ Instagram ทั้งหมด
6. Instagram เติบโตเร็วกว่า Social Media อื่น ๆ ในอเมริกาถึง 5 เท่า
7. รายได้จากโฆษณาบน Instagram อยู่ใกล้กับ 7 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
8. 98 %ของแบรนด์แฟชั่นทั่วโลกใช้ Instagram
2
และในกรณีคล้าย ๆ กันกับที่เกิดขึ้นใน WhatsApp เหตุผลหลัก ๆ ที่ Facebook เลือกซื้อ WhatsApp ก็คือ
1. ยังไม่มีสังกัดในปัจจุบัน
Application สำหรับการสนทนาอื่น ๆ เช่น Kakao Talk (Kakao Corp), LINE (Naver Japan), WeChat (Tencent), ChatOn (Samsung), BBM (BlackBerry) ต่างก็มีสังกัดของตนเองอยู่แล้ว และไม่มีทางขายบริการของตนให้กับ Facebook อย่างแน่นอน ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก WhatsApp นั่นเอง
2. WhatsApp มีอัตราการเติบโตสูงมาก
มีคนใช้งาน WhatsApp ต่อเดือนสูงถึง 450 ล้านคน และคนที่ใช้ทุกวัน รวมไปถึงวันละหลายครั้ง มีสูงถึง 70% หรือราว ๆ 315 ล้านคน และมีผู้สมัครใช้งานใหม่เพิ่มขึ้นวันละประมาณ 1 ล้านคน
3. WhatsApp มีผู้ใช้ที่เหนียวแน่น
ผู้ใช้งาน Facebook มักจะใช้บ่อย ๆ วันละหลายครั้ง แต่อัตรา Stickness ของ Facebook มีเพียง 62% เท่านั้น ส่วน WhatsApp มีมากถึง 70% อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ใช้งาน WhatsApp นั้นแทบจะไม่ไปใช้งาน Application ส่งข้อความอื่นเลยทีเดียว
4. WhatsApp คุกคาม Facebook Messenger ทางอ้อม
เช่นเดียวกับอินสตาแกรม WhatsApp จะไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงของ Facebook แต่การเข้าซื้อก็จะทำให้คู่แข่งรายทางอ้อมรายใหญ่ที่สุดหายไป และกลายมาเป็นพันธมิตร
ปัจจุบัน Whatsapp มีผู้ใช้งานกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก
Facebook ได้อะไรจากการเข้าซื้อครั้งนี้?
1. กำลังคน
นอกจากผลิตภัณฑ์แล้ว ทีมงานก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ Facebook สนใจ ข้อเสนอเข้าซื้อของ Facebook เห็นได้ชัดเจนมาก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาร์ที่จะค่อยๆ ให้ผู้บริหารและพนักงานในระยะเวลานับจากนี้ 4 ปี (ไม่ให้ทั้งหมดทีเดียวเพื่อเป็นการป้องกันการลาออกหลังรับผลประโยชน์) นอกจากนี้ยังเสนอให้ CEO ของ WhatsApp เข้ามาเป็นบอร์ดบริหารของ Facebook อีกด้วย (ถือเป็นข้อเสนอที่ดีมากสำหรับผู้นำองค์กรที่ต้องการจะเติบโต) เห็นได้ชัดว่า Facebook กำลังต้องการทั้งทีมงาน และผู้นำของ WhatsApp เข้ามาเสริมทัพ
2. เครือข่าย
แน่นอนว่าชื่อของ WhatsApp นั้นเป็นที่รู้จักของคนไปแล้วกว่า 450 ล้านคน (หรือมากกว่านั้นอีก) การที่นำชื่อ Whatsapp มารวมกับ facebook ก็หมายถึงเครือข่ายที่กว้างขึ้น และการเข้าถึงที่มากขึ้นนั่นเอง
Instagram และ WhatsApp ได้อะไรจากการขายครั้งนี้?
อย่างแรกที่ Instagram และ WhatsApp ได้ก็คือความอุ่นใจ หลังจากนี้จะมียักษ์ใหญ่หนุนหลัง ไม่ต้องดิ้นรนหาเงินลงทุนจากนักลงทุนภายนอกอีกต่อไป ทำให้ปัญหาเรื่องการเงินหมุนเวียนหมดลงอย่างสิ้นเชิง
นอกจากเรื่องเงินที่เข้ามายังบริษัท ก็ยังมีเรื่องทรัพยากร ทั้งที่เป็นฮาร์ดแวร์ และทีมงาน เพราะนักพัฒนาเดิมของ Facebook เองก็ถือได้ว่าทำงานได้อย่างมีศักยภาพ ด้วยตัวองค์กรเองที่มีลักษณะวัฒนธรรมแบบ Hacker ซึ่งจะมาเติมเต็มช่องว่างของ WhatsApp ได้อย่างลงตัว (ปัญหาของ WhatsApp ก่อนหน้านี้ คือการไม่เข้ารหัสในการเชื่อมต่อ)
1
นอกจากด้านระบบแล้ว ด้านการให้บริการของ Facebook เองก็ถือได้ว่าติดอันดับต้น ๆ ของโลกไม่แพ้ Google เลยทีเดียว บริการ CDN และ Data center ทั่วโลกของ Facebook ที่ทำให้ Server ไม่มีวันดับ จะช่วยให้ WhatsApp มีความมั่นคงมากกว่าเดิม
สรุปสั้น ๆ โดย World Maker
1. ธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต อาจไม่เป็นเช่นนั้นในปัจจุบัน ด้วยเหตุผลมากมายนานับประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดมีเพียงข้อเดียวก็คึอ "รูปแบบวิถีชีวิตและเทคโนยโลยีที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทำให้เราจำเป็นต้องปรับวิธีการดำเนินธุรกิจตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป" นี่คือคำกล่าวสั้น ๆ ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่กล่าวมา
2. จากกรณีศึกษาทั้งหลายที่ World Maker เคยยกมาให้อ่านกันจะเห็นได้ว่า Digital Disruption ไม่ใช่เรื่องของการใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเพื่อทำลายธุรกิจ แต่เป็นเรื่องของ Business Model หรือโครงสร้างรูปแบบการดำเนินธุรกิจมากกว่า ซึ่งสอดคล้องกับเหตุผลข้อแรกอีกว่าวิธีการและช่องทางในการทำธุรกิจจะต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยอยู่เสมอ
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
โฆษณา