1 เม.ย. 2020 เวลา 08:52 • ข่าว
FOCUS : ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ กำลังทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง
1. สหรัฐฯ เตรียมแบน Chip Supply ทั้งหมดของ Huawei
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้ตกลงที่จะใช้มาตรการใหม่เพื่อ "จำกัด" ปริมาณ Supply ของ Chip จากทั่วโลกที่จะส่งให้กับ Huawei ในขณะที่ทำเนียบขาวเพิ่มความรุนแรงในการวิพากย์วิจารณ์ประเทศจีนท่ามกลางการระบาดของ Coronavirus
ใครที่ติดตามข่าวสารอยู่เสมอก็จะรู้ว่าในช่วง 3 สัปดาห์ให้หลังมานี้ ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็สาดกระสุนใส่กันอย่างไม่ยั้ง ในประเด็นที่ว่า "ใครเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาดครั้งนี้"
ท่ามกลางความขัดแย้งนี้ สหรัฐฯ ได้เปิดฉากมาตรใหม่ซึ่งมีข้อกำหนดว่า "ประเทศใดก็ตามที่ใช้เครื่องมือผลิต Chip จากบริษัทของสหรัฐฯ จะต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ เสียก่อนที่จะส่ง Chip นั้นให้กับ Huawei"
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนจากทรัมป์ ว่าเขาจะเซ็นชื่อในมาตรการใหม่นี้หรือไม่ เนื่องจากมันจะกระทบกับบริษัทของสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
"หากเรื่องนี้เกิดขึ้น มันจะส่งผลเสียต่อบริษัทของสหรัฐฯ มากกว่าที่จะเกิดขึ้นกับ Huawei เนื่องจาก Huawei จะหันไปพัฒนา Supply Chain ของตัวเอง" Doug Jacobson นักกฎหมายทางการค้ากล่าว
นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังโน้มน้าวให้ประเทศพันธมิตรกีดกัน Huawei ออกจากเทคโนโลยี 5G ของพวกเขา เนื่องจากกลัวว่าจะมีการ "สอดแนม"
ข้อสังเกต : ตรงนี้ World Maker อยากบอกว่าเทคโนโลยี 5G ของจีนนั้นนำสหรัฐฯ ไปตั้งนานแล้ว ยิ่งการทหารของจีนนี่เทคโนโลยีเขาไปถึง 6-7G กันแล้วด้วยซ้ำ เรื่องนี้สมเหตุสมผลที่สหรัฐฯ ต้องกลัวการสอดแนมจากจีน
และที่บอกว่ามันจะกระทบกับบริษัทของสหรัฐฯ มากกว่าก็เพราะว่า Huawei นั้นเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ผลิต Smart Phone อันดับ 2 ของโลก (รองจาก Samsung)
ส่วนผู้ผลิต Chip ส่วนใหญ่ก็ดันพึ่งพาเครื่องมือที่ผลิตโดยบริษัทของสหรัฐฯ อีกที นั่นหมายความว่าหากมีมาตรการนี้ออกมาจริง ๆ จะส่งผลต่อบริษัทผู้ผลิต Chip ส่วนใหญ่แน่ ๆ ลองคิดถึงปริมาณเม็ดเงินที่หายไปจากแบนคำสั่งซื้อ Supply ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Huawei ดูสิครับ
สรุปก็คือ...เรื่องนี้เป็นเอกฉันท์สำหรับฝ่ายบริหารของทรัมป์ แต่สำหรับตัวทรัมป์เองนั้นดูเหมือนจะยังไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้นัก เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ ก็มีปัญหารุมล้อมอยู่รอบด้านแล้ว
โดยหลังจาก Reuters และ Wall Street Journal รายงานข่าวนี้ ทรัมป์รีบออกมาแสดงความคิดเห็นส่วนตัวไปในเชิงต่อต้านมาตรการดังกล่าว โดยพูดว่า "ผมต้องการให้บริษัทคต่าง ๆ ได้รับอนุญาตในการทำธุรกิจ ซึ่งมันมีหลายสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม และมันไม่มีอะไรต้องจัดการเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ ดังนั้นเราจะยกเลิกเรื่องนี้ไปเสีย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่าพวกเขาจะยังสามารถผลิตและจัดส่ง Chip ได้ในประเทศต่าง ๆ เช่นจีน หรือที่ใดก็ได้"
Comment : เอาเป็นว่ารอติดตามเรื่องนี้กันต่อไปครับ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าสหรัฐฯ เนี่ยมักจะมีอะไรออกมาทำให้เราตื่นเต้นได้ตลอดจริง ๆ
2. จีนออกมาตอบโต้เรื่องนี้โดยทันที
"จีนจะไม่นั่งดู Huawei ถูกฆ่าอย่างเฉย ๆ แน่นอน และจะตอบโต้ทันทีหากสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเทคโนโลยีของจีน" ผู้บริหารระดับสูงของ Huawei บอกกับนักข่าวของ CNBC ในวันอังคาร์ที่ผ่านมา
Eric Xu ประธานหมุนเวียน* ของ Huawei เป็นคนแรก ๆ จากประเทศจีนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า "สหรัฐฯ เคยเสนอว่าอุปกรณ์ 5G จากจีนอาจเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ และจีนเองก็สามารถใช้ตรรกะเดียวกันนี้สำหรับอุปกรณ์ของสหรัฐฯ ได้เช่นกัน และเราจะแบนพวกเขาทั้งหมดออกจากตลาดจีน"
* ประธานหมุนเวียนหรือ Rotating Chairman เป็นระบบการบริหารองค์กรของ Huawei ซึ่งจะมีการสลับสับเปลี่ยนคณะกรรมการฝ่ายบริหารของบริษัททุก ๆ 2 ไตรมาส มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับความสามารถของฝ่ายบริหารขององค์กร ข้อดีของระบบนี้คือคนเพียง 1 คนจะรู้หลายหน้าที่ และสามารถทำงานแทนกันได้ในเวลาฉุกเฉิน รวมถึงทำให้เกิดความเข้าอกเข้าใจกันในองค์กร เมื่อต้องทำงานในตำแหน่งที่ต่างกัน
Xu ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "หากจีนใช้มาตรการตอบโต้ จะทำให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมทั่วโลก โดยทันทีที่สหรัฐฯ ปรับใช้มาตรการนี้ มันจะเป็นการทำลายห่วงโซ่เศรษฐกิจทั่วโลกลง และ Huawei จะไม่ใช่เพียงบริษัทเดียวที่ถูกทำลาย และบริษัทอเมริกันอีกหลายแห่งจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยปราศจากความเสียหาย"
"แม้สหรัฐฯ จะห้ามไม่ให้บริษัทต่าง ๆ จัดหา Chip ให้กับ Huawei แต่จีนก็ยังมีทางเลือกอื่น ๆ อีกมากสำหรับการจัดหา Chip ด้วยตนเอง เช่น บริษัทจากเกาหลีใต้, ไต้หวัน หรือแม้แต่บริษัทในจีนเอง เช่น Samsung, MediaTek และ Unisoc"
เหล่าผู้บริหารของ Huawei กล่าวเอาไว้ว่า ก้าวต่อไปสำหรับ Huawei คือการเตรียมความพร้อมสำหรับ "การแยกตัวทางเทคโนโลยี (Technology decoupling)" ที่อาจเกิดขึ้นได้หากถูกบีบบังคับจากสหรัฐฯ อเมริกา ซึ่งการเตรียมการเหล่านี้จะส่งผลให้ Huawei สามารถที่จะแข่งขันได้ในระดับ High-end
นอกจากนี้แล้ว ในปัจจุบันจีนได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตอุปกรณ์จำพวก Semiconductors ใช้เองถึง 40% ในปีนี้ (2563) และจะสูงถึง 70% ในปี 2568 แต่เรื่องนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไป เนื่องจาก Coronavirus เข้ามาเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ ไปมากมายเหลือเกิน
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา