11 เม.ย. 2020 เวลา 04:54 • ไลฟ์สไตล์
ผมหลบแดดบ่ายเข้าไปในร้านโชห่วย
ร้านโครงสร้างไม้ขนาดสองคูหาอัดแน่นไปด้วยชั้นวางสินค้าจิปาถะ ที่ผนังร้านด้านหนึ่งมีพื้นที่ว่างเว้นไว้พอให้ตั้งโต๊ะกลมหินอ่อนกับเก้าอี้ไม้สามสี่ตัว
มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่พร้อมกับแก้วใบเล็กในมือ
ผมจ่ายเงินค่าน้ำอัดลมกับอาแปะเจ้าของร้าน หันกลับมา ก็พบสายตาคมกริบจากโต๊ะหินอ่อนคู่นั้นจับจ้องมองอยู่ อุปกรณ์พะรุงพะรังที่ผมสะพายอยู่คงเรียกความสนใจจากเขา
"เป็นนักข่าว ?"
"ใช่ครับ"
"แถวนี้มีอะไร น่าสนใจ ?"
"ผมมาตะเวนดู ชีวิตผู้คนหลังจากปิดเมืองเพราะโควิดน่ะครับ"
"แล้วน้าล่ะ" ผมถามกลับไป
แทนคำตอบ ชายวัยกลางคนล้วงมีดพับจากกระเป๋าเสื้อเชิ๊ตออกมากวัดแกว่งอย่างชำนาญ
"น้าเป็น ... เอ่อ เป็นนักแสดง ?"
"เป็น..ช่าง..ตัด..ผม "
"อ่อ ขอโทษครับ"
"ช่วงนี้น้าคงแย่เลยสิ แล้วน้าคิดว่าต่อไปจะเป็นยังไง ?"
"อืม ถามเล่นๆหรืออยากรู้จริงๆ ?"
"ถามเล่นๆ แต่เผื่อจะเอาไปส่งบอ.กอ.ได้จริงๆ"
"อืม ! เอ็งนี่รู้จักใช้ชีวิต"
"หลังจากนี้ ผู้คนจะเรียกโลกยุคต่อไปว่า โลกยุคหลังโควิด หรือ The Post-Covid World เหมือนที่เราเคยเรียก ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุคสงครามเย็น" เสียงแหบห้าวดังขึ้นหลังจากกระดกของเหลวในแก้วลงลำคอ
"หืม !" ผมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
"ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
เสียงพูดแหบต่ำนั้นยังคงไม่หยุด เหมือนเสียงแบตตาเลี่ยนที่เปิดสวิตช์พร้อมทำงาน
"1.รัฐบาลประเทศต่างๆคงต้องกลับมาทบทวนบทบาทตัวเอง จัดระเบียบการบริหารจัดการใหม่ เปลี่ยนเรื่องความมั่นคงทางทหารมาเป็นความมั่นคงทางอาหาร  เปลี่ยนระบบสาธารณสุข ระบบสวัสดิการสังคม การประกันสุขภาพ ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น มีแผนเผชิญเหตุที่รัดกุมกว่านี้"
"ถึงตอนนั้น พวกอำนาจนิยมจะมีบทบาทมากขึ้นไปอีก"
"เดี๋ยวๆน้า ยังไงนะ?"
"น้าพูดเล่นๆ หรือพูดจริงๆ ?"
"พูดเล่นๆแต่เผื่อให้เอ็ง เอาไปใช้ได้จริงๆ"
แล้วการบรรยายทางวิชาการของแบตตาเลี่ยนเครื่องนั้นก็เดินหน้าต่อหลังจากเติมน้ำมันหล่อลื่นเข้าไปอีกเป๊ก
"2. เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า การพึ่งพาตนเองเป็นสิ่งสำคัญ องค์กรจัดตั้งระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนหรือ EU. มีบทบาทน้อยมาก ไม่มีใครพึ่งพาใครได้จริง ประเทศไหนปิดประเทศแต่ประชากรยังอยู่ได้ ประเทศนั้นจะได้เปรียบ"
"จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างหนัก ผู้คนจะเริ่มหาวิธีพึ่งพาตนเองมากขึ้น นวัตกรรมใหม่ๆจะถูกเร่งให้เกิดขึ้น แต่ถ้ารัฐยิ่งกำชับอำนาจ การต่อต้านจะยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว"
ผมวางขวดน้ำอัดลมแล้วคว้าเก้าอี้มานั่งลงข้างๆแหล่งข่าวแปลกหน้าโดยไม่สนใจการเว้นระยะห่าง 2 เมตร สมุดโน๊ตปากกาถูกหยิบขึ้นมาเตรียมพร้อมในมือ
"3.เมื่อคนแยกขาดออกจากกันมากขึ้น ดิจิตอลเทคโนโลยีจะกลายเป็นสิ่งสำคัญ  ระบบ 5G. จะมีบทบาทอย่างก้าวกระโดด ทั้งเรื่องการสื่อสาร การควบคุมดูแล การประมวลผล รวมไปถึงการบริหารจัดการข้อมูล"
"รัฐบาลจะขอให้ประชาชนทุกคนพกเครื่องติดตามตัว เพื่อเช็คสถานะสุขภาพของเราตลอด 24 ชั่วโมง"
"ถ้าถึงเวลานั้น เอ็งกับข้าคงต้องมาเถียงกันว่า เสรีภาพส่วนบุคคลกับความมั่งคงของสังคม อย่างไหนต้องมาก่อน ? และเราจะยอมสูญเสียอะไร ? แค่ไหน ?"
"เอ่อ..น้า.."
"4.ต่อไปเราจะได้เชียร์กีฬา เถียงคุณครู หรือจะกระโดดโลดเต้นดูคอนเสิร์ต ได้จากห้องนอนแต่เสมือนจริง เพราะการเรียนรู้ การทำงาน และเรื่องบันเทิงเริงรมย์ทั้งหลาย จะกลายเป็นการสื่อสารทางไกลแบบ Interactive "
เจ้าของเสียงหยุดชั่วคราวยกขวดเทเหล้าที่เหลืออยู่อีกเล็กน้อยลงแก้ว ผมเผลอตัวคว้าแขนคนตรงหน้าไว้
"เมื่อกี้ น้าบอกว่า น้าเป็นช่างตัดผม"
"น้าไปเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน ?"
"มีหัวที่คาดว่าจะมีสมองข้างในอยู่บ้าง ผ่านมือข้า 3,150 หัวสมองต่อปี และจะครบ 6 ปี เดือนพฤษภานี้"
"จะฟังต่อไหม ?"
"ฟัง.. ฟังครับ"
"งั้น สั่งแบบนี้มาให้ข้าอีกขวด"
ผมรีบลุกขึ้น เดินไปหยิบขวดแก้วสีน้ำตาลฉลากสีฟ้ามีตัวหนังสือสีแดงระบุข้างขวดว่า 40 ดีกรีจากชั้นกลางร้าน อาแปะเจ้าของร้านยื่นมือออกมาจากชั้นสินค้าราวกับรู้จังหวะเพื่อรับเงิน พร้อมกับขยิบตาให้
"ถึงไหนแล้ว ?"
"ผ่านไป 4 ข้อแล้วครับ"
"5.ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งมากขึ้น ทั้งจากการคัดกรองและการจัดระเบียบใหม่ ไม่เพียงแต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้เท่านั้นที่จะเป็นปัญหาสังคม ต่อไปเราจะเห็นความเหลื่อมล้ำทางเวลา ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ"
ผมขยับปากจะถามแทรก แต่อดใจรอฟังต่อ
"6.รูปแบบสิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนก็จะเปลี่ยนไป อาคารสาธารณะหรือแม้กระทั่งบ้านพักอาศัย ต้องคิดเรื่องพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น บริเวณกึ่งสาธารณะที่เค้าเรียกกันว่า Semi-public Area จะต้องเผื่อพื้นที่ให้มากขึ้น มีอุปกรณ์ฆ่าเชื้อหรือเครื่องสแกนคัดกรองผู้คนก่อนที่จะเข้าอาคาร"
"นึกถึงหนังเรื่อง Guttaca เลย" ผมพึมพำ
เสียงเล่าเงียบลงชั่วครู่คล้ายจะได้ยินคำรำพึงของผม แต่สักพักก็เดินหน้าต่อ
"7.ความศรัทธาต่อสถาบันต่างๆจะถูกตั้งคำถาม ถูกคาดหวังและถูกท้าทายมากขึ้น จำนวนผู้ศรัทธาจะลดลงและสถาบันก็จะกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเฉพาะในกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ"
"เป๊ะเลย"
ผมนึกถึงกระแสทวิตเตอร์เมื่อวันก่อน
"8.รูปแบบการก่อการร้ายก็จะเปลี่ยนไป โควิดทำให้เห็นว่า การตื่นกลัวของผู้คนคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ทำน้อยแต่ได้มากใครๆก็ชอบ"
"โดยเฉพาะคนที่คิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย"
"9.เมื่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่อยู่ตรงหน้าถูกลดความสำคัญลงโดยไม่รู้ตัว จากระบบการสื่อสารที่ก้าวกระโดด"
"ความสัมพันธ์ของคนเราก็จะฉาบฉวยขึ้น ดูเผินๆเหมือนชีวิตจะหลากหลายแต่มันกลับจริงแท้น้อยลง มีนิยามให้ตัวเองมากขึ้น แต่มีความพอใจตัวเองน้อยลง ปริมาณผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะเพิ่มขึ้น แต่ลูกหลานที่จะเฝ้าดูแลเราในบั้นปลายกลับน้อยลง"
เจ้าของเสียงเงียบลง แก้วเปล่าถูกยกขึ้นเพ่งมองล้อกับแสงไฟ
"พูดมาก เจ็บคอ"
เสียงนั้นสั่นเล็กน้อย
"เอ้า ! รินมาให้หน่อยสิ ไอ้หนุ่ม"
ผมยกขวดรินของเหลวใสลงใส่แก้วให้แกเกือบเต็มแก้ว
แกรับไปกระดกรวดเดียวหมด
"ถึง 9 แล้วครับ" ผมเตือนความจำ
"9 พอ ไม่ชอบ 10"
"โอ้ !"
"เอ่อ น้าคิดว่า ทั้งหมดนี่ จะเกิดขึ้นภายในกี่ปี ?"
"ถ้ามันเป็นไปตามสเต็ปก็ 20"
"20 ปี ?  แหมเท่ากับยุทธศาสตร์ชาติเลยนะน้า"
"นี่คือสิ่งที่น้าได้จากการตัดผม ?"
ชายกลางคนเลิกคิ้วมองกลับมาแทนคำตอบ
"เอ่อ..เดี๋ยวนะครับ ร้านตัดผมน้าอยู่ที่ไหน ?"
"หลัง พล.1 รอ."
"อ่ะ ! "
เสียงโทรศัพท์มือถือดังแทรกขัดจังหวะขึ้น ผมเหลือบดูหน้าจอ
"บอ.กอ.โทรมา ขอเวลาแป๊บนะครับ"
"เดี๋ยวผมกลับจะมาคุยต่อ"
"แต่คราวนี้ ขอเป็นเรื่องเรือดำน้ำนะครับ"
Quarantine world
#khanaad_photo
***********************************
สำหรับเพื่อนๆ Blockdit ที่สนใจแนวอื่น ผมเขียนลงอีก 2 เพจคือ
๏ 'Bear's Books'  = ข้อคิดดีๆที่ได้จากหนังสือ
๏ 'คิด อย่างสถาปนิก'  = เรื่องของสถาปัตยกรรมจากสายตาสถาปนิก
ขอเชิญชวนให้เข้าไปชมดูนะครับ
เผื่อจะมีบางข้อเขียนที่อาจถูกใจ
หรือใครสนใจเฉพาะภาพถ่าย
ลองเข้าไปดูและกดติดตามได้ใน
ig : khanaad_photo นะครับ
แล้วพบกันครับ
โฆษณา