11 เม.ย. 2020 เวลา 12:35 • ปรัชญา
มหาภารตะ วาระที่2
กฤษณะ กุนซือเทพเจ้า 1
-
ด้วยความที่เป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ (ปางที่ 8 จากลิลิตนารายณ์สิบปาง) ทำให้พระกฤษณะเป็นตัวละครที่โดดเด่นไม่แพ้ใครใน "มหาภารตะยุทธ์" แม้ว่าจะไม่มีบทแอคชั่นใดใด ในสนามรบ ณ ทุ่งกุรุเกษตรเลย แต่หากฝ่ายปาณฑพไม่มียอดชายผู้นี้ ตอนจบของเรื่องอาจเป็นชัยชนะของเหล่าเการพก็เป็นไปได้ เพราะหน้าที่สำคัญระดับ ชี้ขาด ความเป็นไปของสงครามนั้นแทบต้องยกให้มันสมองและวาทศิลป์ของ "กุนซือ" ระดับเทพผู้นี้ผู้เดียว
นักแสดง คุณ Saurabh Raj Jain ในบทบาทพระกฤษณะ จาก ซีรีส์มหาภารตะ ในเวอร์ชั่นหนึ่ง ที่มา https://2.bp.blogspot.com/-svmL4W5a2GA/VwP1zJxWDiI/AAAAAAAADjk/Z4hbfbYV4D8QKFmLfpdXWK84v_mnfi-cg/s1600/297881-saurabh-raaj-jain-as-krishna.jpg
ในรูปแบบของการทำหน้าที่ "ที่ปรึกษา" อาจไม่ชัดเจนเท่ากุนซือที่มีชื่อเสียงจากมหากาพย์ในอีกภาษาหนึ่งอย่าง จูกัดเหลียง แต่เพราะความที่เป็นชนชั้นกษัตริย์ผู้ซึ่งแม้ชนชั้นกษัตริย์ในแว่นแคว้นอื่น ๆ ก็ให้ความเคารพยอมรับนับถือ ยิ่งโดยเฉพาะเหล่ากุรุวงษ์ทั้งสองฝั่งที่เมื่อถึงคราทำศึก การหาสมัครพรรคพวกร่วมรบกับฝั่งตนนั้น ย่อมต้องเรียกหาเหล่าทหารหาญผู้แข็งแกร่งจาก กรุงทวารกา บ้านเมืองในปกครองของพระกฤษณะ ถึงขนาดที่ว่าการส่งคนไปเทียบเชิญ ยังต้องไปในเวลาไล่เลี่ยระดับเฉียดฉิวชนิดห่างกันแค่ สองเม็ดมะขาม สำหรับฝั่งเการพหัวหน้าคณะเป็น ทุรโยธน์ ที่ให้ความสำคัญขนาดไปด้วยตัวเอง ขณะที่พี่น้องปาณฑพ พี่ใหญ่ยุธิษฐิระ เลือกส่ง อรชุน เป็นทูตไปเชิญชวนให้พระกฤษณะร่วมมือเป็นกำลังในการสงคราม อาจเป็นเพราะรู้ว่าทั้งสองเป็นสหายที่ผูกพัน สมัครรักใคร่กันในระดับมากกว่ามิตรระหว่างเมือง การไปกรุงทวารกาของอรชุนจึงเปรียบเสมือนการไปเยี่ยมมิตรที่ไม่ได้เจอนานแล้วเสียมากกว่า และนี่คงเป็นฉากแรกของการแสดงวาทศิลป์ชั้นเลิศของพระกฤษณะ ก่อนพาตัวเองเข้าสู่สนามรบชนิดไร้มลทินใดใด
ขณะที่อรชุนมาถึงวังอันเป็นที่อาศัยของพระกฤษณะ เวลาเดียวกันก็ปรากฏชายอีกคนที่ย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ทุรโยธน์ ซึ่งพบว่ามานั่งรออยู่ข้างเตียงของพระกฤษณะ เพื่อรอคอยการตื่นจากบรรทมของเจ้าเมืองทวารกาอยู่ก่อนแล้ว แต่อรชุนกลับไม่ได้สนใจและเลือกนั่งรอที่ปลายตีน คงเพราะตั้งจิตคิดแต่เพียงว่าขอรอเพื่อพบเจอกัลยาณมิตรที่พักผ่อนอยู่ตรงหน้าจึงเกรงใจไม่อยากรบกวน พร้อมทั้งความตั้งใจในภารกิจที่ได้รับฝากฝังมา แต่เรื่องก็เกิดเมื่อพระกฤษณะลืมตาตื่น พลันเห็นมิตรรักที่นั่งอยู่ปลายเตียงจึงได้กล่าวทักทายอย่างตื่นเต้น และแทบจะพร้อมกับที่อรชุนขานตอบการทักทาย เสียงจากข้างเตียงก็ดังแทรกขึ้นเพื่อบอกกล่าวว่าเจ้าของเสียงนี้ต่างหากที่มาถึงก่อน ในบรรยากาศเช่นนี้สีหน้าของความตื่นเต้นที่ฉายบนหน้าพระกฤษณะคงหมดไปทันใด แล้วเปลี่ยนอาการเป็นทักทายแขกอีกคนตามธรรมเนียมอย่างหาเสียไม่ได้
ทุรโยธน์ ไม่มัวเสียเวลาเจรจาพาที พลันออกปากชวนให้กฤษณะและบริวารเข้าร่วมฝ่ายของตนในการสงครามที่จะเกิดขึ้น ด้วยสิทธิตามกติกาของวรรณะกษัตริย์ที่ยึดถือกันมาแต่โบราณ ในกรณีต้องเลือกให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เค้าว่าต้องให้โอกาสผู้ที่มาก่อน ขณะที่ฝ่ายอรชุนก็ได้แต่นั่งนิ่งไม่ว่ากระไร แน่นอนว่าจบแบบนี้อาจจะถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ กฤษณะจึงต้องร่ายเหตุและผลให้ฟังว่า
ภาพวาดฉาก ทูตทั้งสองมาเชิญที่เตียงบรรทมเพื่อให้กฤษณะร่วมรบฝ่ายตัวเอง ที่มา https://arjuna-vallabha.tumblr.com/image/171095296222
" จริงอยู่ที่ท่านควรได้สิทธิ์เพราะเป็นผู้มาถึงก่อน และข้าพเจ้าเองก็ใช่ว่าจะรังเกียจอะไรในการยกกองทัพทหารให้ท่านใช้ในการศึก แม้ฝ่ายเดียวหรือทั้งสองฝ่าย ....หากพิจารณาจากสายตาข้าพเจ้าในการนี้ เป็นอรชุนนั่นเองที่ข้าพเจ้าประสบพบเจอก่อน "
กฤษณะน่าจะแสดงสีหน้าเชิงกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และแจ้งต่อไปว่า
" แต่เพื่อให้เกิดความเที่ยงธรรม ข้าพเจ้าขอให้ทางเลือกระหว่าง ตัวข้าพเจ้าที่ไม่จับอาวุธและสวมเกราะป้องกัน (ในธรรมเนียมการรบของอินเดียโบราณผู้ที่ไม่สวมเกราะและไม่จับอาวุธในสนามรบ คือ ไม่ใช่นักรบ จึงสู้รบไม่ได้) กับ ไพร่พลทหารของอาณาจักรแห่งนี้ "
ณ ตรงนี้บางเวอร์ชั่นก็เล่าว่าเสมอกัน แล้วทุรโยธน์เลือกก่อน บางเวอร์ชั่นก็ให้สิทธิ์แก่อรชุนเพราะอ่อนวัยกว่าได้เลือกก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จบเหมือนกันคือ ทุรโยธน์แห่งเการพเลือก กองกำลังทหารแห่งทวารกา ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว และ อรชุนแห่งปาณฑพก็ต้องเลือกพระสหายผู้สร้างทางเลือกไว้เพื่อให้ได้เพียงคำตอบเดียว แบบไม่สูญเสียความยุติธรรมตามคุณความดีที่ยึดถือ แต่คำอธิบายของอรชุนมีประมาณว่า " ฉันเพียงต้องการให้มีท่านอยู่ข้างกาย " จุดนี้ สาวกสายวาย อาจจะจิ้นจิกหมอนมุดผ้าห่มกันไป โดยอันที่จริงแล้วต้องยกให้เป็นปฏิภาณไหวพริบและวาทศิลป์อันเลิศของพระกฤษณะ ที่จงใจกำกับสถานการณ์ให้เป็นไปตามที่ใจต้องการได้ภายในไม่กี่ประโยค
ถือเป็นการโชว์ทักษะชั้นเลิศก่อนเริ่มงาน...
หลังจากฝ่ายเการพได้กองกำลังทั้งหมด พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งอาณาจักรทวารกาเสริมกำลังรบ ฝ่ายปาณฑพเองได้ผู้ครองเมืองทวารกามาทั้งหมด 1 คนที่ไม่จับอาวุธและไม่ใส่เกราะ ว่าง่ายๆคือไม่สู้ในสนามรบ ....แล้วเอามาเพื่อ?.... หากไม่คิดอะไรมาก ให้คนปกติทั่วไปประเมินกำลังทั้งสองฝ่ายคงต้องให้พวกเการพแห่งกรุงหัสตินาปุระเป็นต่ออย่างมากมาย สถาบันการพนันถูกกฎหมายคงออกราคาต่อรองมาเป็น10เป็น100ช่วงเสาไฟฟ้า แต่นั่นคือการมองด้วยสายตาคนปกติ ซึ่งนำมาประเมินเชิงปริมาณไม่ได้เลยเพราะพระกฤษณะไม่สามารถนำมาเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป แม้กับอรชุนเจ้าชายสายธนูที่ฝีมือเป็นเลิศยิ่งกว่ามนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตใกล้เคียงมนุษย์คนใด (แม้ฮอว์คอายส์หรือเลโกลัสหรือกรีนแอร์โรว์ก็ไม่อาจเทียบเคียง) ก็ยังห่างชั้น แต่เค้ามาตัวเปล่า แล้วจะเอาอะไรมาช่วยฝ่ายปาณฑพและพวกได้ล่ะ?
.
ติดตามตอนต่อไป
แหล่งอ้างอิง
- มหาภารตยุทธ์ ฉบับ ร.อ. หลวงบวรบรรณรักษ์ (นิยม รักไทย)
- ลิลิตนารายณ์สิบปาง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา