21 เม.ย. 2020 เวลา 01:52 • การศึกษา
Oil Insight : เจาะลึกตลาดน้ำมัน หลังจากล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯ ติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ !!
สถานการณ์เป็นยังไงกันแน่ ? ตลาดจะไปทางไหนต่อ ? วันนี้ World Maker จะมาวิเคราะห์ในประเด็นที่คิดว่าสำคัญให้ฟังกันครับ
1. ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงต่ำกว่า 0 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การสวิงลงของราคาน้ำมันอย่างรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ได้เกิดขึ้นแล้วในวันที่ 20 เมษายน 2020 โดยการที่สัญญาน้ำมัน WTI ส่งมอบเดือนพฤษภาคมได้ถูกเทขายจนราคาลดลงไปถึง 306% หรือ 55.90 $/บาร์เรล -37.63 $/บาร์เรล
และในปัจจุบันที่กำลังเขียนบทความอยู่นี้ ราคาพุ่งกลับขึ้นมาประมาณ 50% แต่ก็ยังอยู่ที่ระดับติดลบประมาณ -15 $/บาร์เรล
แปลว่าใครซื้อน้ำมันดิบสหรัฐฯ ตอนนั้น จะแถมเงินฟรีให้อีก 15 $/บาร์เรล ?
ถูกต้องครับ แต่อย่าลืมว่านี่เป็นสัญญาล่วงหน้าของเดือนพฤษภาคมที่กำลังจะหมดอายุในวันนี้ !! (เวลาในรูปเป็นของฝั่งสหรัฐฯ นะครับ)
รูปด้านบนแสดงให้เห็นถึงสัญญาราคาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI ในเดือนต่าง ๆ ครับ จะสังเกตได้ว่าราคาของสัญญาในเดือนมิถุนายน 2020 ยังเป็นบวกอยู่ แต่กระนั้น ราคาก็ได้ลดลงมาประมาณ 5 $/บาร์เรล จนมาอยู่ที่ระดับ 20 $/บาร์เรล จากราคาเปิดตลาดเมื่อวานที่ประมาณ 25 $/บาร์เรล
เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปี 2020 จะพบว่าราคาน้ำมันดิบ WTI สูญเสียมูลค่าไปถึง -161.59% !! อ้างอิงจากราคา 61.1 $/บาร์เรล ในวันที่ 31 ธันวาคม 2019 เทียบกับราคา -37.63 $/บาร์เรล ในวันที่ 20 เมษายน 2020
มีผลอะไรต่อตลาดหุ้นไทยบ้าง ?
คำตอบคือ น้อยมากครับ (หรืออาจจะไม่มีเลย)
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีแฟนเพจถามกันเข้ามาเยอะเลยว่า น้ำมันลงขนาดนี้ทำไมหุ้น PTT ถึงขึ้น ? ตรงนี้ต้องขออธิบายให้ชัดเจน ดังนี้ครับ
"ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานในตลาดไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบ WTI"
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
1. WTI Crude Oil คือน้ำมันดิบที่มีการส่งมอบกันใน "สหรัฐฯ" เป็นหลัก โดยที่โดดเด่นที่สุดก็คือ Texas เนื่องจากเป็นรัฐผู้ผลิตน้ำมันหลักของอเมริกา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำมันดิบดังกล่าวมีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า "West Texas Intermediate (WTI)" หรือ "น้ำมันดิบสหรัฐฯ" นั่นเอง
2. ตลาดฝั่งเอเชีย มีศูนย์กลางอยู่ที่สิงคโปร์ และส่วนใหญ่จะรับน้ำมันดิบมาจากประเทศ "สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์" รวมถึงประเทศผู้ผลิตทางฝั่งตะวันออกกลางครับ ซึ่งมีเรียกว่า DUBAI Crude Oil หรือ "น้ำมันดิบดูไบ" ไม่ได้รับมาจากสหรัฐฯ เป็นหลัก และราคาที่ใช้อ้างอิงเป็นพื้นฐานในการซื้อขาย ก็จะเป็นราคาของน้ำมันดิบ Brent ครับ ไม่ใช่ราคาของ WTI
3. Brent Crude Oil คือน้ำมันดิบที่มีการส่งมอบกันในยุโรป (แถบทะเลเหนือ) เป็นหลัก ซึ่งเจ้าของตลาดในแถบนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก "รัสเซีย" นั่นเอง โดยราคาของน้ำมันดิบ Brent ก็คือราคาที่ใช้อ้างอิงเป็นมาตรฐาน (Benchmark) ของทั่วโลกในปัจจุบันนี้ครับ
4. เมื่อก่อนราคาของ WTI เคยเป็น Benchmark ของทั่วโลก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เนื่องจากการมีเทคโนโลยี Shale Oil ทำให้สหรัฐฯ เพิ่มการผลิตน้ำมันจนมากกว่าความต้องการภายในประเทศ และนั่นทำให้ราคาของ WTI เริ่มถึงจุดที่เรียกว่า "ทางตัน" ตั้งแต่ช่วงปี 2011 เป็นต้นมา
5. สหรัฐฯ ไม่ได้ออกแบบ Logistics ของประเทศมาให้เหมาะกับการส่งออกน้ำมันดิบ เนื่องจากที่ผ่านมาสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภค รวมถึงผู้นำเข้าอันดับต้น ๆ (ไม่เกินที่ 3) ของโลกมาโดยตลอด และในอดีตสหรัฐฯ ก็ใช้กลยุทธ์การกักเก็บน้ำมันไว้ในคลังสำรองอย่างมหาศาล
6. ผลิตมาเยอะ -> นำเข้าก็เยอะ -> ใช้ไม่หมด -> ส่งออกได้ไม่ดี -> กักตุนสะสมมาหลายปี -> ผลิตเยอะอย่างต่อเนื่อง -> ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ Loop ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับราคา WTI ที่ตกต่ำอย่างมหาศาลในปัจจุบันนี้
ส่วน Coronavirus เองก็เป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้วิกฤตครั้งนี้รุนแรงขึ้นไปอีก และเมื่อสังเกตจากกราฟด้านล่างนี้ เราจะเห็นได้ว่า
- ตั้งแต่ช่วงปี 2011 เป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบ WTI ไม่เคยทำ New High ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
- GAP ราคาระหว่าง WTI และ Brent เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2011 เป็นต้นมา นั่นเป็นสิ่งที่แสดง
2. ราคาน้ำมันดิบ Brent ไม่ได้ลดลงอย่างน่าตกใจเหมือน WTI
ภาพด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นถึงสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบ Brent ในเดือนต่าง ๆ ครับ ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าราคามีการปรับขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกเดือนหลังจากนี้
ดังนั้นคำถามที่ว่าทำไมหุ้น PTT ถึงไม่ลงตามราคาน้ำมันดิบ WTI ก็คงจะได้คำตอบที่กระจ่างชัดเจนแล้วนะครับ ขยายรายละเอียดเพิ่มให้อีกนิดก็คือ ตอนที่ราคา WTI ลดลงไปจนถึงระดับติดลบนั้น ราคาของ Brent ลดลงเพียงประมาณ -9% มาอยู่ที่ระดับประมาณ 25.4 $/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเวลาแห่งการซื้ออขายมาถึงจริง ๆ แล้วนั้น ราคาจะขึ้นหรือจะลง ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด ณ ตอนนั้นอยู่ดีครับ และที่สำคัญก็คือ ถึงแม้ว่าราคาขายล่วงหน้าจะมีการปรับขึ้นเป็นขั้นบันไดแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าราคาน้ำมันจะไม่โดนเทขายลงมาอีกนะครับ
สรุปก็คือ โดยรวมแล้วทั้งราคาของ WTI และ Brent ต่างก็ลดลงมาทั้งสิ้น แต่ผลกระทบที่เกิดกับ Brent นั้นน้อยกว่า WTI เยอะครับ
3. สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร ทำไม WTI ถึงได้รับผลกระทบมากกว่า ?
สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น สำหรับนักวิเคราะห์สำนักอื่น World Maker ไม่รู้ว่าเขาจะมองอย่างไร แต่สำหรับ World Maker นั้น แอดมินขอยืนยันคำเดิมว่านี่เป็นสงครามที่ซาอุฯ กับรัสเซียร่วมมือกันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดจากอเมริกา
โดยหลักฐานสนับสนุนก็คือการที่ WTI ถูกโจมตีอย่างหนัก แต่ Brent กลับแทบไม่เป็นอะไรเลย ซึ่งตรงนี้ World Maker ขอให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า
1. ระดับราคาของน้ำมันดิบ Brent ที่ลดลง เป็นไปตามการปรับตัวตามกลไกของตลาด ซึ่งในปัจจุบันมีขนาด Demand ที่ลดลง โดยช่วง GAP ที่ราคาวิ่งอยู่นั้น ไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป และยังสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานอยู่
2. ระดับราคาของน้ำมันดิบ WTI ที่ลดลง ดูจะผิดแปลกจากธรรมชาติเกินไปมาก ซึ่งตรงนี้ World Maker เคยมองจุดต่ำสุดไว้ที่ประมาณ 10 $/บาร์เรลเท่านั้น และชัดเจนว่ามันรุนแรงกว่าที่ World Maker คาดไว้มาก (ต่อให้เป็นช่วงใกล้สิ้นสุดสัญญาซื้อขายก็เถอะ แต่นี่มันมากเกินไปจนผิดสังเกต)
3. ตลาดน้ำมันที่ผ่านมา ได้รับข่าวดีจากรัสเซียและซาอุฯ ซึ่งแถลงการณ์ว่าจะร่วมมือกันให้มากขึ้น และอาจลดกำลังการผลิตลงมากกว่าเดิม แต่ระดับราคาในการซื้อขาย WTI และ Brent ก็ยังโดนเทขายอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น
4. แม้จะมีการปรับราคาขายขึ้นไปในเดือนต่าง ๆ แต่ถ้า Demand ในภาคธุรกิจจริง (Real Sector) ยังต่ำกว่า Supply ราคาก็จะถูกเทขายกลับลงมาอีก และนั่นจะหมายถึงการที่ "เราต้องเจอกับความผันผวนเช่นนี้ไปอีกสักพัก"
5. น้ำมันดิบใน Storage หลักของเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 48% หรือประมาณ 55 ล้านบาร์เรล ตั้งแต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่รายงานข่าวจาก CNBC เมื่อวานนี้กล่าวว่าทั่วโลกได้ใช้ถังกักเก็บน้ำมันไปแล้วกว่า 70% และนี่คือความเป็นห่วงของผู้เชี่ยวชาญหลายคนในปัจจุบันว่า "น้ำมันกำลังจะล้นโลกหรือไม่?"
6. อีกเหตุผลที่ราคา WTI ลดลงหนักเช่นนี้ ก็มาจากการที่ซาอุฯ ได้ปรับลดราคา OSP มาทางฝั่งเอเชีย และเพิ่มราคาขายให้กับสหรัฐฯ และประเทศในฝั่งยุโรป นั่นทำให้สหรัฐฯ ซึ่งมีตลาดหลักอยู่ในฝั่งเอเชีย รวมถึงมีการบริโภคน้ำมันและนำเข้าน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการขึ้นราคาของซาอุฯ ในครั้งนี้
7. หากจะกล่าวว่านี่เป็นสงครามระหว่างรัสเซียและซาอุฯ คำถามก็คือ ทำไมรัสเซียถึงได้แต่ผลประโยชน์จากการปรับราคาในครั้งนี้ ? และตลาดหลักของรัสเซียก็อยู่ทางฝั่งยุโรปพอดี ดังนั้นการขึ้นราคาของซาอุฯ จะยิ่งทำให้รัสเซียมีโอกาสได้ส่วนแบ่งมากขึ้นไปอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเอามาก ๆ
8. Fact อีกอย่างที่สำคัญมาก ๆ เลยคือ ตลาด Futures ส่วนใหญ่จะเป็นการเก็งกำไรของนักลงทุนมากกว่าผู้ที่ต้องการซื้อขายเพื่อใช้จริง ๆ นี่เป็นช่องโหว่ของตลาดหุ้นที่ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถเข้าทำ Short Sell กดราคาน้ำมัน WTI ได้อย่างหนักหน่วง เช่นเดียวกับที่ George Soros เคย Short Sell เงินบาทไทยจนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ 2540 ยังไงล่ะครับ
9. ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลกทุกครั้งมักจะมาควบคู่กับเกมการเมืองที่เข้มข้นของชาติมหาอำนาจในโลกเสมอ นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ที่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติมา
10. ทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปัญหาในปัจจุบันขึ้นอยู่กับทั้ง Demand และ Supply รวมถึงการเก็งกำไร ไม่ใช่ปัญหาของทางใดทางหนึ่งอีกต่อไป
4. ตลาดน้ำมันในอนาคตจะไปในทิศทางไหน ?
แม้ว่าตลาดน้ำมันในปัจจุบันจะอยู่ในสภาวะผันผวน แต่ก็เริ่มมีนักลงทุนบางกลุ่มได้ทยอยเข้าซื้อน้ำมันในตลาด Futures เพิ่มขึ้น เสริมกับรายใหญ่ ๆ อย่างเช่นกองทุน ETF ทำให้มียอดเงินหมุนเวียนถึง 5.52 แสนล้านดอลลาร์ ในวันศุกร์ที่ผ่านมา คิดเป็นเงินไหลเข้าสุทธิประมาณ 1.6 พันล้านดอลลาร์
แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้น้ำมันมีราคาสูงขึ้นเลยในช่วงที่ผ่านมา !
และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อุตสาหกรรมสำรวจน้ำมันของสหรัฐฯ ได้ปิดตัวลงไปประมาณ 13% ของจำนวนแท่นขุดเจาะทั้งหมด ในขณะที่ Texas เริ่มสั่งให้มีการลดกำลังการผลิตลงอย่างจริงจังถึง 20% ด้วยเหตุผลหลัก ๆ 2 อย่างก็คือ
1. ไม่สามารถสู้ราคาปัจจุบันของ WTI ได้
2. ถังกักเก็บน้ำมันของสหรัฐฯ ใกล้จะล้นเต็มทีแล้ว
ทั้งหมดที่กล่าวมายิ่งตอกย้ำเข้าไปอีกว่า
"น้ำมันกำลังจะล้นโลก ขณะที่ Demand กำลังทรุดตัวลงอย่างรุนแรง"
ดังนั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในมุมมองของ World Maker มีดังนี้ครับ
1. หลาย ๆ ประเทศต้องประชุมกันใหม่และจำเป็นต้องลดการผลิตลงมากกว่าเดิม ในกรณีที่การระบาดของไวรัสยังยืดเยื้อ และมาตรการ Lockdowns ยังไม่ผ่อนคลายลง ส่วนราคาน้ำมันจะยังอยู่
1
2. การเปิดประเทศจะต้องทำภายใต้การมาตรที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพราะหากหลายประเทศผ่อนคลาย Lockdowns โดยไม่มีการควบคุมที่ดี การระบาดรอบที่ 2 จะตามมาแน่นอน และถ้าเป็นอย่างนั้น World Maker มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดตัว และน้ำมันก็จะยิ่งถูกลงอีก
3. สหรัฐฯ อาจต้องยอมสูญเสียอำนาจในตลาดน้ำมันในบางส่วนให้กับรัสเซีย ซาอุฯ รวมถึง OPEC+ ไม่เช่นนั้นเราจะเห็นสงครามที่รุนแรงกว่าเดิม หลังจากการระบาดของ Coronavirus เสร็จสิ้นลง
1
4. ราคาน้ำมันดิบ WTI จะไม่ดีดกลับขึ้นไปจนถึงระดับที่ U.S. Shale Oil สามารถทำกำไรได้ จนกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ World Maker กล่าวมาจะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน
5. โดยรวมแล้ว ทั้งน้ำมันดิบ WTI และ Brent จะยังคงอยู่ในภาวะตลาดหมี จนกว่าเราจะเห็นว่าตัวเลขทางฝั่ง Demand เริ่มฟื้นตัวกลับมามากขึ้น
6. การถ่วงน้ำหนักความสำคัญของปัจจัยพื้นฐานสำหรับ World Maker
Demand > Supply > Price
กล่าวคือราคาจะขึ้นอยู่กับ Supply ส่วน Supply จะขึ้นอยู่กับ Demand อีกที
โปรดอ่าน !! ทิ้งท้าย เพื่อเตือนสติ...
คำว่าบทวิเคราะห์ หมายถึง "การที่ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณในการอ่าน -> คิด -> พิจารณา -> และพิสูจน์ด้วยตนเอง ก่อนที่จะปักใจเชื่อเนื้อหาใด ๆ"
"ไม่มีบทวิเคราะห์ใด ถูกต้อง 100% เพราะฉะนั้นจงอ่านเพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ไม่ใช่อ่านและเชื่อไปตามนั้น โดยที่ไม่ได้พิสูจน์ความจริงใด ๆ เลย"
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา