24 เม.ย. 2020 เวลา 14:06
“the second wave”
ขอเล่า second wave ต่อ เพราะกลัวจริงจัง ทุกวันนี้เห็นแล้ว ว่าคนออกนอกบ้านเยอะขึ้นมาก และใส่หน้ากากลดลง!!
คงไม่มีที่ไหนชัดไปกว่าญี่ปุ่น และสิงคโปร์อีกแล้ว ประเทศที่เราชื่นชมเค้ามากๆ ไม่ว่าจะผู้นำของเค้า หรือวินัยของประชาชน
เกิดอะไรขึ้นกับ 2 ประเทศนี้
สิงคโปร์ เริ่มต้นจากแรงงานข้ามขาติที่เข้ามาทำงานในสิงคโปร์ อาจจะไม่ได้มีความรู้ในการป้องกันตัว หรือขาดความระมัดระวัง ส่งผลให้มีการติดเชื้อ และเนื่องจากความเป็นอยู่ที่แออัด
การเข้าถึงสาธารณะสุขได้ไม่เท่าคนสิงคโปร์เอง ประกอบกับช่วงนั้นสิงคโปร์คิดว่าคุมได้แล้ว เกิดภาวะการ์ดตก คนออกมาใช้ชีวิตกันชิวมากขึ้นพอดิบพอดีให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว
ภาพจาก thejakartapost
exponential curve ของสิงคโปร์
ตอนนี้ยอดล่าสุด 12,075 คน อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นประเทศที่การแพทย์ค่อนข้างเข้มแข็ง ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิต เพียง 0.1%
เวฟแรกดูจิ๋วไปเลย
แต่อย่างไรก็ดี จากนี้ไปต่างหาก ที่จะเป็นตัววัดว่าอัตราการเสียชีวิตจะพุ่งหรือไม่ เพราะเมื่อผู้ติดเชื้อเยอะขึ้น คนป่วยหนักจะเยอะขึ้น แล้วก็จะทำให้ ICU เริ่มล้น เมื่อนั้นแหละค่ะ ที่ยอดตายจะเริ่มเป็น exponential ขึ้นไป เหมือนยุโรป อเมริกา แต่ถ้าหากเค้าหยุดได้ทัน ก็จะยับยั้งการสูญเสียได้ดี
ส่วนญี่ปุ่นนั้น เวฟนี้หนักหนามากนักเช่นกัน หลักๆเลย ถามเพื่อนๆที่อยู่ญี่ปุ่น หลายคนบอกว่ารอบแรกคุมได้ แต่ชีวิตประจำวันคนญี่ปุ่น ไม่สามารถทำ social distancing ได้ แม้เค้าจะใส่หน้ากากตลอดเวลา แต่ก็ขึ้นรถไฟเบียดเป็นปลากระป๋องอยู่ดี ส่งผลให้ติดเชื้อตอนนี้ 12,368 คน และแต่อัตราการเสียชีวิตสูงมากกว่าสิงคโปร์มาก เสียชีวิตถึง 328 คน คิดเป็น 2.6% ซึ่งก็ไม่ได้ย่ำแย่มากนัก
แต่ถ้าดูกราฟ จะเห้นว่าพุ่งขึ้นแบบ exponential เหมือนกัน
เพื่อนที่เป็นหมอที่ญี่ปุ่นบอกว่า ท่านอาเบะ ที่เพิ่งแขก 100,000 เยนไป โดนบุคคลากรทางการแพทย์และประชาชนว่าหนักมากเหมือนกัน ว่าไม่เตรียมตัวให้ดี อุปกรณ์ป้องกันตนเอง ไม่พอ
อย่างที่เราจะเริ่มได้ยินข่าวว่า พยาบาลป่วย ก็ลาไม่ได้ เพราะคนตอนนี้ก็ไม่พอแล้ว (อันนี้จัดว่าโหดมาก เพราะพยาบาลอาจจะเป็น super spreader ให้คนไข้คนอื่นสบายๆ) แต่จะว่าเค้าอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะขาของประชาชนเหมือนกัน
ในอดีต สมัย spanish flu 1918 เราเห็นข้อมูลของอเมริกา ว่ารัฐที่การ์ดตก เกิด second wave ตามมาแน่นอน และรุนแรงด้วย นั่นก็คือรัฐ St. Louis
ตามอ่านได้ที่ https://www.blockdit.com/articles/5e94f99ccda2a00cbf6af082
แล้วบ้านเราที่ wave นี้เหมือนคุมได้ เราเห็นอะไรจาก wave นี้บ้าง
ตอนนี้จำนวนป่วยสะสมของเราอยู่ที่ 2,839 ราย (อยู่ที่ 56ของโลก)
คิดเป็นอัตราป่วย 41 ราย/ประชากร 1 ล้านคน (อันดับ 143)
รักษาหาย จนกระทั่งเหลือ active cases 359 ราย (อันดับ 95)
อัตราตายของเราอยู๋ประมาณ1.7%
เราเริดมากจริงๆ ไม่ได้อวยแพทย์นะ
อวยประชาชนที่ทำ social distancing จริงๆ
การแพทย์เราไม่ได้เก่งกาจกว่าทางยุโรป อเมริกาเลย จริงๆประเทศพวกนั้นเป็นอจ.ของอจ.แพทย์พวกเราด้วยซ้ำ แต่ที่เราทำได้ดีกว่าคือ ประชาชนเราเชื่อหมอมากๆ ขอบคุณจริงๆค่ะ
แล้วกำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไร เพื่อกัน wave 2 เราพร้อมแค่ไหนกัน
ทางการแพทย์ เราเตรียมรพ.สนาม เราเตรียมสร้าง ICU เพิ่มขึ้น แต่บอกเลย ว่าถ้า wave หลัง เราใหญ่กว่าเวฟแรก ก็ไม่รู้จะไหวมั้ยเหมือนกันค่ะ
วันนี้อ.ทวีศิลป์บอกว่า “เรามีเงินไม่พอ” ใช่ค่ะ การเจอ wave 2 ใหญ่ๆ ส่งผลต่อเศรษฐกิจมากแน่ๆ ขอยกตัวอย่างข้อมุลที่เคยนำเสนอไป ว่าเมืองที่ปิดนาน มียอดผู้ป่วยน้อยกว่า จะเป็นเมืองที่ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ดีกว่า
แต่ตอนนี้ถ้าทำแบบนี้ต่อ ปิดร้านรวง ปิดห้าง ปิดโรงงาน สุดท้ายอาจจะจนตายก่อน เริ่มเห็นข่าวคนไม่มีกิน เครียดจนฆ่าตัวตายมาเรื่อยๆแล้ว
ดังนั้น ในด้านประชาชน
1. ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท
2. แพทย์ไทยไม่ได้เก่งค่าาา ที่แพทย์ทำได้เต็มที่แบบนี้ เพราะประชาชนช่วยเราอยู่ค่า
3. ก่อนออกจากบ้าน ถามตัวเองเสมอว่า จำเป็นใช่หรือไม่
4. การใส่หน้ากาก การล้างมือ อย่าให้ขาด ทำไปตลอด กันได้ทั้ง COVID-19 และ ไข้หวัดใหญ่ ที่กำลังจะมา
5. หาทางอยู่ให้รอด เราต้องปรับตัว เราอาจจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกเป็นปี
ในด้านสาธานั้น
1. ต้องค่อยๆผ่อนมาตราการ ไม่ใช่เปิด grand opening
2. การทำ active case surveillance หรือการหาผู้มีความเสี่ยงสูง จับตรวจ PCR ถ้าบวกรีบเข้าระบบรักษา ถ้าลบกักตัวให้ครบ
3. รีบทำการวินิฉัย ตั้งแต่เริ่มป่วย ดังนั้น ถ้ามีเกณฑ์เข้าข่าย ก็รีบมาตรวจ เพื่อรีบทำการกักตัว
4. เตรียมอุปกรณ์ และยุทธวิธีรับมือสำหรับ wave 2 ตลอดเวลา
5. state quarantine ต้องเข้มแข็งมากๆๆๆๆ เพราะเรากำลังจะเป็นเป้าหมายของหลายประเทศที่จะมารักษาที่เรา
ดังนั้น สรุปแค่ว่า ทำ social distancing ไปเท่าที่เราทำได้ จนกว่าจะหมดยุคโควิดจริงๆ
ref:worldometer
โฆษณา