10 พ.ค. 2020 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
พลิกบันทึก คดีสมคบชายชู้ ฆ่าสามี ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
1
กามรมณ์ หรือราคะ สิ่งที่ทำให้คนเราหน้ามืด ตามัว ไม่ว่ายุคสมัยใด แรงปราถนา สามารถดลใจให้ทำได้ทุกสิ่ง ยกตัวอย่างเหตุการณ์จากหน้าประวัติศาสตร์ ย้อนกลับไปกว่าร้อยปี คดีสมคบชู้ ฆาตกรรมสามี คดีนี้ กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วพระนคร
ย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2410 หญิงลูกครึ่งไทยจีน ชื่อว่านาง เชี่ยว อาศัยอยู่กับญาติ เนื่องจากกำพร้าบิดา มารดา และญาติก็ยกให้เป็นข้าในวังหน้า ในเวลาต่อมา ล่วงเลยจนวัย 20 ปี นางเชี่ยว ซึ่งมีหน้าตาสะสวย จึงกลายเป็นที่หมายปอง ของหนุ่ม ๆ หลายคน
ในขณะนั้น มิสเตอร์สมิธ ชาวอเมริกัน อายุ 40 ปี ที่เข้ามารับราชการในกรุงสยาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2402 ถูกตา ต้องใจซึ่งกันและกัน จนนำพาไปสู่การคบหา แต่งงาน และย้ายออกไปใช้ชีวิตเยี่ยงสามี ภรรยา อย่างชาวสยามทั่วไป
ไม่นานนัก นางเชี่ยว ก็มีบุตรให้นายสมิธ เป็นบุตรชายสองคน และบุตรหญิง สองคน ซึ่งพักอาศัยอยู่ใกล้กับวัดแบพทิสท์ ไม่ห่างจากสถานกงสุลมากนัก ทั้งนี้ มีสเตอร์สมิธ ยังคงต้องเดินทางอยู่เป็นประจำอย่างเคย
วังหน้า
ด้วยอาชีพกัปตันของสามีเธอ ที่ต้องพบปะผู้คนอยู่เป็นประจำ งานสังสรรค์ และสำมะเล เทเมาจึงมีไม่ได้ขาด ครั้นเมื่อเมาหนักจนได้ที่แล้ว มักจะเกิดเหตุทะเลาะวิวาท กับผู้เป็นภรรยาอยู่ทุกครั้งไป หลายครั้ง มีการทำร้ายเฆี่ยนตีอย่างทารุณ
นางเชี่ยวเคยนำเหตุการณ์ ทะเลาะวิวาท และทุบตีเข้าแจ้งกับกงสุลอเมริกัน ซึ่งทางกงสุลเอง ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือน มิสเตอร์สมิธ ความประพฤติของสามีเธอ ดูเหมือนจะดีขึ้น ในช่วงแรก ๆ แต่ก็ไม่นาน พฤติกรรมเดิม ๆ ก็กลับมาเสมอ ซึ่งเธอเอง ได้ยื่นหนังสือถึงกงสุล มากกว่าสามครั้ง จนสุดท้าย นางเชี่ยว ก็ยอมที่จะทนอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
ความร้าวฉานของครอบครัวที่เกิดขึ้นนี้ เคยถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของหมอบัดเลย์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เล่มเดียวในพระนคร ถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ อันแสนปวดร้าวของหล่อน จนเป็นพูดถึง ของชาวสยาม แต่ก็อย่างว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องภายในครอบครัว
เรือสำเภา ในยานเศรษฐกิจ
จนอยู่มาวันหนึ่ง ลูกชายของนางเชี่ยว ล้มป่วยไม่สบาย และได้รับการดูแลรักษา จากหมอยาชาวไทย ชื่อหมอนาค อันนำไปสู่ความรู้จักมักคุ้น และกลายเป็นความสัมพันธ์ ฉันชู้สาวในเวลาต่อมา
หมอนาค เป็นหนุ่มหน้าตาดี ร่างกายล่ำสัน ฐานะยากจน อาศัยศึกษาวิชาด้านสมุนไพร จากการบวชเรียน เมื่อสึกออกมา จึงได้ประกอบอาชีพเป็นหมอยา รักษาผู้คนในพระนคร จนเป็นที่รู้จักไปทั่ว
จิตเสน่ห์หาต่อกันของทั้งคู่ ลึกซึ้งกว่าที่จะเป็น ทั้งคู่เริ่มลักลอบมีความสัมพันธ์ และเกิดเป็นบ่วงบาป ที่ยากเกิดจะตัดให้ขาดได้ ที่หนักไปกว่านั้น คือหมอนาค รู้สึกสงสารนางเชี่ยว ที่มักถูกเฆี่ยนตีอยู่เสมอ ในยามที่มีสเตอร์สมิธเมาเหล้ากลับมา
1
การแต่งกาย ของหญิงไทย สมัย ร.5
นางเชี่ยวเอง ก็ไม่อาจจะหนีไปอยู่กับหมอนาคได้ เนื่องจากเกรงชาวบ้าน จะนินทาว่าสำส่อน และหนีไปอยู่กับชายชู้ นั่นจึงเป็นชนวนเหตุ แห่งแผนการชั่วร้าย ที่คนทั้งสองกำลังไตร่ตรอง และวางแผน
ไอ้กลม คือทาสผู้ภักดี ผู้รับใช้เจ้านาย และรับรู้เหตุการณ์ที่นายโดนทุบตี มาโดยตลอด พร้อมที่จะชำระแค้นให้ทุกเมื่อ ที่เจ้านายสั่ง ทั้งนี้ นางเชี่ยวได้ยื่นข้อเสนอ เป็นอิสระภาพที่จะมอบให้ หากไอ้กลม กระทำการสำเร็จ
เหตุเกิดเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2412 หลังจากมีสเตอร์สมิธเดินทางกลับมา ทราบข่าวว่า มีหนุ่มมาติดพันภรรยาของตน จนเกิดเป็นเหตุทะเลาะวิวาทกันขึ้น วันนั้น นางเชี่ยวพาลูกไปฝากเพื่อนบ้านเอาไว้ จึงบอกสามีตนเองไป ว่าจะไปรับลูกกลับบ้าน
บรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา
หลังจากนั้น มีสเตอร์สมิธ จึงออกติดตามนางเชี่ยวไปห่าง ๆ เป็นจังหวะเดียวกันกับ หมอนาค และไอ้กลม ที่ซุ่มรออยู่ จึงทำการปลิดชีวิตมีสเตอร์สมิธ ด้วยอาวุธมีด ที่เตรียมไว้ จนในที่สุด อดีตสามีเธอ ก็ถึงแก่ความตาย
ขณะนั้น เป็นเวลาดึกแล้ว ทั้งสามคนนำศพห่อผ้า พร้อมกับใส่ก้อนหิน เพื่อถ่วงน้ำ แล้วนำใส่เรือแจว พาไปทิ้งกลางแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เหตุการณ์ ไม่เป็นอย่างที่คิด คาดว่าหินน่าจะหลุดออกจากถุงห่อศพ จนทำให้ศพลอยไปขึ้นที่ หน้าบริษัทของนายฝรั่งบอร์เนียว สร้างความหวาดผวาไปทั่ว
เจ้าหน้าที่ทางการไทย เข้าตรวจสอบ พบเป็นศพชาวตะวันตก จึงส่งเรื่องไปที่ กงสุลอเมริกัน และหมอเคมเบล รับหน้าที่ชันสูตรในเวลาต่อมา จนในที่สุด ก็นำมาสู่การจับกุม นางเชี่ยว หมอนาค ไอ้กลม และอีหัน ทาสในบ้านอีกคน ที่รู้เห็นเหตุการณ์
ศาลในกงสุลอเมริกัน
ศาลมีคำสั่งตัดสิน ให้ประจาน หมอนาค ไอ้กลม บนบกสามวัน ในน้ำสามวัน ก่อนนำตัวไปประหาร ส่วนอีหัน ศาลเห็นว่าเป็นทาส ไม่อาจหลีกเลี่ยงการรู้เห็นได้ จึงถูกประจานเหมือนกัน พร้อมกับโบย เป็นจำนวน 90 ที
ส่วนนางเชี่ยว เป็นชาวจีน และมีสามีเป็นชาวอเมริกัน ศาลไทยไม่มีอำนาจตัดสิน จึงได้ส่งเรื่องต่อ ให้กงสุลอเมริกันเป็นผู้ดำเนินการ กล่าวกันว่า นางเชี่ยว ถูกขึ้นศาลที่กงสุลอเมริกัน และไม่ต้องโทษประหาร ทางการอเมริกันขึ้นบัญชีว่า นางเชี่ยวได้ตายไปแล้ว
พร้อมกับขอความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ให้ขังนางเชี่ยวเป็นเวลา สามปี ว่ากันว่าขณะที่ถูกคุมขัง นางเชี่ยวกำลังตั้งท้อง และทรัพย์สินของนายสมิธ ที่มีอยู่มากโขขณะนั้น ถูกนำไปใช้เป็นค่าว่าจ้างทนายความ และแบ่งจ่ายให้ครอบครัว ที่รับเลี้ยงบุตรแต่ละราย ๆ ไป
บางครั้ง การตัดสินใจ หรือหาทางออกที่ผิดไป ก็นำมาซึ่งการสูญเสีย ทั้งคนที่เรารัก และคนที่รักเรา ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจราคะ ที่อยู่เหนือการควบคุมของจิตใจ จะยิ่งเป็นแรงกระตุ้น ให้ทำสิ่งไม่สมควรอย่างง่ายดาย คดีนี้ ถือเป็นคดีตัวอย่าง ของการใช้สติ และใช้ชีวิตบนความจริงในสังคมครับ
2
หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
สัมผัสเบา ๆ จากปลายนิ้วท่าน สามารถให้กำลังใจผู้เขียนได้ง่าย ๆ
กดไลค์ = ชอบ
กดแชร์ = เห็นว่ามีประโยชน์
คอมเม้นต์ = เพื่อติชม และเป็นกำลังใจ
แหล่งข้อมูล ภาพ และสื่อประกอบ
หนังสือ เรื่องอื้อฉาวและคดีความในอดีต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา