15 มิ.ย. 2020 เวลา 02:30 • ท่องเที่ยว
ประสบการณ์ 101 วันฟ้าหม่นฝนซาที่ ไต้หวัน
ตอนที่ 6 ภารกิจตามหารองเท้าที่ริมสะพานสายรุ้ง
หลังจากตลาดแถวหลงซานสร้างความพึ่งพอใจให้กับพวกเราได้ไม่เต็มอิ่มนัก พวกเราเลยหาตลาดหมายเลขสองที่จะมาเติมเต็มช่องว่างในใจของวันนี้ครับ และตลาดที่ว่านั้นก็คือ Raohe Street Night Market นั่นเอง
คนคับคั่งอย่างมากเลยครับ สำหรับตลาดกลางคืนแห่งนี้
ผมใช้การเดินทางผ่านรถไฟใต้ดิน และรถไฟบนดินในการเดินทางไปตลาดราวเหอในครั้งนี้ครับ หน้าตลาดมีงานแสดงโคมไฟครั้งยิ่งใหญ่อยู่ด้วยหล่ะ และภาพแรกที่เราเจอกับตลาดนั้น ทำให้ผมผงะเล็กน้อยจนรู้สึกท้อใจ เมื่อพบว่า มีคนจากทั่วทุกสารทิศมารวมกันอยู่ที่ตลาดแห่งนี้แบบเนืองแน่นไปหมดทั้งถนน!!
รถไฟจริงๆ นะ ที่เรานั่งไปตลาด Raohe
งานโคมไฟ หน้าตลาดที่ละลานตาไม่หยอกเลยหล่ะ
บรรยากาศของตลาดที่นี่ดีกว่า ตลาดแถวหลงซานคูณสิบเลยละครับ เพราะมันคึกคักมาก มีอาหารมากกว่าให้เลือกเดินซื้อหา นั่งทาน หรือเดินกินไปด้วยได้ แถมด้วยของใช้ เสื้อผ้า ราคาถูกอีกมากมาย
ต้องยอมรับว่า ผมเมาตลาดมากๆ ครับ ผมตั้งใจจะมาหาของกินทานที่นี่ แต่ดูเหมือนข้าวกรอกจากตลาดที่แล้ว ทำงานดีเกินไปครับ สุดท้าย สิ่งเดียวที่ผมได้ทานจากตลาดแห่งนี้ก็คือ
เจ้านี่คือสิ่งที่ผมเสียเงินซื้อเพื่อทานเพียงอย่างเดียวในตลาด
ใช่แล้วละครับ มันก็คือไส้กรอกย่างไม้นี้ ที่ถูกเคลมว่าอร่อยเด็ด ซึ่งก็จริงอย่างเค้าว่าจริงๆ นะ รสชาติของมันเหมือนกินกุนเชียง แต่ไม่ใช่กุนเชียงที่หวานจัดจ้าน มันยังคงมีรสสัมผัสของความเป็นเนื้อหมูปรุงรสอยู่ครับ เป็นของอร่อยที่เหมาะแกการเดินถือทานมากๆ
อย่างที่บอกไปว่านอกจากของกินละลานตาแล้ว ที่นี่ยังขายของสารพัดอย่าง คุณตำรวจตั้งใจอย่างยิ่งที่จะมาหารองเท้า Birkenstock สีขาวล้วนที่ฮิตกันในสมัยนั้นให้ได้ แต่ด้วยความงกขั้นสุด พวกเราเลยตั้งภารกิจกันในค่ำคืนนี้ว่า เราจะต้องหารองเท้าที่เหมือน Birkenstock ในราคาที่ถูกที่สุดให้ได้
สุดท้าย หลังจากหาเจอตั้งแต่ของแท้ราคาหลักพัน จนถึงของก๊อปราคาหลัก 300 ไล่มาจน 250 สุดท้ายไปตกเจอที่ราคา 150 บาท ครับ ภารกิจสำเร็จแล้ว!! เป็นภารกิจเล็กๆ ที่อยากแนะนำให้ท่านผู้อ่านลองทำดูครับ เพราะตลาดแห่งนี้ มีตั้งแต่ร้านของแบรนด์ ยันร้านของก๊อป ผสมปนเปกันไป เผื่อว่าจะได้ของถูกที่โดนใจกลับไปกันครับ
สำหรับตัวผมเองนั้น ภารกิจในทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่แปลกตา ผมจะเลือกเก็บความทรงจำเอาไว้ในหมวกครับ ซึ่งครั้งนี้ ก็ดันไปถูกใจ หมวก Pikachu สุดมุ้งมิ้งซะได้ ก็นับว่า เป็นหมวกที่มีความโดดเด่น จนไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ผมก็จะจำได้เสมอว่ามันผ่านร้อนผ่านหนาวจากที่นี่ ที่ไต้หวันนี่เอง (แต่หลังจากซื้อปุ๊บ กลายเป็นว่าไม่กล้าใส่ทั้งทริปเลยครับ ฮ่าๆ)
หลังจากเบียดเสียดผู้คนผ่านตรอกซอกซอยเดินกันจนเมื่อยน่องมานานเป็นชั่วโมงเห็นจะได้ พวกเราก็หลุดจากจุดนั้นมาสักที ที่ด้านหลังตลาดคือสถานที่ที่ผมได้พบกับแม่น้ำ Keelung ครับ เป็นแม่น้ำสายโรแมนติก มีผู้คนปั่นจักรยานในยามค่ำคืน บ้างก็นั่งมองแม่น้ำสีดำมืดเบื้องหน้าที่มีแสงไฟสีเหลืองอ่อนตามรายทางสะท้อนบนผืนน้ำ ลมพัดโชยให้พอสั่นเทา บรรยากาศรอบกายผิดกับในตลาดลิบลับ ที่นี่เต็มไปด้วยความสงบสุขอีกแบบหนึ่ง
แม่น้ำ Keelung และแสงไฟเรียงรายสวยงามจับตา
มีนักกีต้าร์ริมทางมาวางกระเป๋ากีต้าร์เล่นเพลงครออยู่ริมน้ำแห่งนี้ครับ ผู้คนบางตา เหม่อมองบรรยากาศรอบตัวพลางครุ่นคิด ส่วนตัวผมนั้นก็เคลิบเคลิ้มไปกับทั้งดนตรี บรรยากาศ และ ภาพเบื้องหน้าจนไม่อยากจะจากไปไหนเลย
มี LOVE ตัวใหญ่ วางไว้เป็นสัญลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยความรักของคนวัยหนุ่มสาว ไปจนถึง คนชราคู่รัก ที่ต่างจูงมือกันเดินอยู๋ริมน้ำ บ้างก็นั่งกันเป็นคู่ๆ มองดูแล้วช่างน่าชื่นใจ จนกระทั่งคนที่นั่งอยู่ตรงตัว L ทำให้ผมไขว้เขว เอาน่า บางที เขาก็คงแค่อยากจะให้ทุกอย่างได้รับลมบ้าง
LOVE และ "ร่อง" ของเขาคนนั้น
สะพานสายรุ้งที่นี่จะบอกว่ามี 7 สีอย่างที่คิดก็ไม่ถูกนัก สีของสะพานที่เกิดจากการสะท้อนของแสง ส่องเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นับได้ 4 สีเห็นจะได้ครับ เป็นความสวยงามที่น่าเก็บไว้ในความทรงจำทีเดียว
สะพานสายรุ้งที่มีสีแดงเป็นหลักและมีแสงไฟสะท้อนเป็นสีที่ใต้สะพานครับ
ยิ่งเดินใกล้เข้ามาที่สะพานก็ยิ่งเห็นว่ามันสวยงามขนาดไหน ในที่สุดเราก็เดินขึ้นไปบนสะพานกัน และพบว่า มันสวยงามจับตามากๆ ครับ ทั้งสิ่งปลูกสร้างสะพานแห่งนี้ ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานสำหรับคนเดินและจักรยาน ภาพของแม่น้ำ Keelung อันมืดมิดที่มีเพียงแสงสะท้อนของไฟตามรายทาง ที่สำคัญก็คือ สะพานแห่งนี้ เป็นสะพานโค้งครับ มันไม่ใช่สะพานที่โค้งชันขึ้น แต่เป็นสะพานที่มีทางโค้งคดไปมา นับว่าเป็นสะพานที่แปลกมากเลยหล่ะครับ
ทางโค้งบนสะพานที่ไม่เห็นได้บ่อยนัก
การเดินทางในวันนี้กำลังจะจบลงแล้ว แต่ผมกลับไม่อยากจะจากสถานที่แห่งความสุขนี้ไปเลย แต่ในท้ายที่สุด ความเหนื่อยล้าก็เอาชนะเราจนได้ นับตั้งแต่เช้าที่พายุฝนซัดสาดเข้าอย่างจัง จนเราต่างเปียกปอนกันใหญ่ ได้ชิมอาหารเช้าสไตล์ไต้หวันกันแบบงงๆ หาทางเดินไปอนุสรณ์สถานท่านเจียงไคเช็คกันด้วยร่มหักๆ ฝ่าย่านอิฐแดงเก่าๆ จนไปโผล่ในย่านชาวสีรุ้ง ได้ทำวัดเย็นที่น่าทึ่งในวัดหลงซาน จนถึงตลาดกลางคืนสองแห่ง และสะพานสายรุ้งนี้ ผมรู้สึกว่า เป็นวันที่คุ้มค่าที่สุดในการมาไต้หวันแล้วละครับ ผมไม่คาดหวังให้วันพรุ่งนี้จะต้องน่าตื่นเต้นอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสเจอะเจอมาในวันนี้ มันคือความวิเศษเท่าที่มุมมองของผมจะพาไปได้แล้ว มันอาจจะดูเรียบง่ายในสายตาหลายๆ คนนะครับ แต่สำหรับผมแล้ว นี่คือเซอร์ไพรส์ของการมาท่องเที่ยวไต้หวันในครั้งนี้ของผมเลยหล่ะ
บรรยากาศยามค่ำคืนริมแม่น้ำที่ยากจะลืมเลือน
“พากูไปสวนสัตว์หน่อยเถอะ” ตอนที่ผมกำลังจะหลับตาลาค่ำคืนนี้ไปในโฮสเทลแห่งเก่า คุณตำรวจก็พูดขึ้นก่อนที่จะหันหลังหลับไปในที่ทางของตัวเอง
สวนสัตว์งั้นหรอ มันจะไม่ธรรมดาไปหน่อยหรอ
ใช่แล้ว วันพรุ่งนี้ที่ขณะนั้นผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แท้จริงแล้วมันไม่ธรรมดาเลยหล่ะจะบอกให้...
โฆษณา