15 มิ.ย. 2020 เวลา 19:28 • ธุรกิจ
นวัตกรรม (Innovation) และ ความเสี่ยง (Risk) เอ้ะ เกี่ยวกันยังไง ?
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึง ความหมายของ นวัตกรรม (Innovation) ก่อนน
- จริงๆแล้ว Innovation เนี่ย ไม่ใช่ไอเดียหรือคอนเซปที่ใหม่นะ เค้าเริ่มเรียกคำนี้กันมาตั้งแต่ 2010-2011 แว้วว (10 กว่าปีแล้วน้ะ !) แต่ที่มันทำให้เราหันมาสนใจก็เพราะว่า ในปัจจุบันนี้ บริษัทใหญ่ๆยังคงพัฒนาเจ้า Innovation กันอย่างต่อเนื่อง
- ความหมายของเค้าสั้นๆก็คือ การที่เรา หรือบริษัทมีการคิดค้น สิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น processes, ideas, services, หรือ products ถ้ามันช่วยทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น และมีประสิทธิภาพ หรือ ถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้าได้มากขึ้น นั้นก็คือ Innovation ละนะ !
แล้วตอนนี้มันสำคัญอย่างไรละ ?
- 79% ของผู้บริหารยังคงจัดอันดับความสำคัญของ Innovation ไว้อันดับที่ 3 เฉลี่ยในทุกๆปีที่ผ่านมา (จาก Boston Consulting Group)
- 64% ของผู้จัดการในบริษัทสัญชาติอเมริกา รู้สึกพวกเค้าไม่สามารถ Balance ระหว่าง Innovation และ Risk ได้ จึงมักทำให้พวกเค้าเดินไปในทางที่ทำให้บริษัทเสีย innovation cost ที่เกินกว่าจะกำไรนั้นเอง
Innovation เริ่มจากอะไร มีขั้นตอนคร่าวๆอย่างไรนะ ?
เราขอพูดถึง 5 Phases of Innovation
1. Idea Development
- ก็คือการ Brainstrom ไอเดีย ของ พนักงาน โดยอาจจะเป็นการ submit ผ่าน survey ในหัวข้อต่างๆ
2. Concept Development
- หลังจากที่ระดมไอเดียกันมาได้แล้ว ก็จับมานั่งประชุมหารือกัน เพื่อตกลงที่จะเลือกconcept มาพัฒนา
3. Business Development
- ในขั้นตอนนี้คือการที่เราวิเคราะห์ในส่วนของ การตลาด รายได้ วิเคราะห์คู่แข่ง (Competitive analysis), ความเสี่ยง (Risk and Feasibility), หรือดีไซน์และการจดทะเบียนต่างๆ
4. Technical Development
- คือการนำเจ้า innovation product เนี่ย ออกมาทดสอบดู feedback, feature, function ต่างๆ
5. Market Development
- สุดท้ายยยย ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับการตลาดนี่เองงงงงงงงง จะขายยังไง ขายอะไร การตั้งราคา หรือแม้กระทั่งสถานที่ขาย และการโปรโมท
การที่เราลงทุนเกี่ยวกับการพัฒนาเรื่องของ Innovation Strategy เนี่ย นี้แหละคือ การเริ่มต้น Disruptive :):)
อ่ะๆ แล้วไอที่ว่าเนี่ย มันก็มีวิธีการเริ่มง่ายๆ 3 ขั้นตอนน
1. Define Innovation
- HBR ได้แนะนำว่าใน innovative เนี่ย ควรจะมีอายุของการใช้งานและความทันสมัยให้อยู่ได้ถึง 20 ปี !!!
- บริษัท Whirlpool ขายอุปกรณ์ครัว ก่อนการคิด innovative product แต่ละอันเนี่ย เค้าจะต้องมีการวิเคราะห์ว่า feature นี้ที่แอดไป สร้าง competitive advantage อย่างไร และ มัน Unique กับนวัตกรรมของคู่แข่งอย่างไร ? สร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าได้ยังไง ?
เช่น อันนี้คือ Smart Kitchen ที่เป็น Disruptive ของวงการเครื่องครัว เป็น 1 ใน Innovative Project ของ Whirlpool
2. Manage Innovation
- โดยบริษัทต้องเลือกเฟ้นหาคนที่จะมาทำโปรเจคนี้ ได้อย่างถูกความสามารถ คือ ต้องมีการคัดเลือกนะ คล้าย talents team
- โดยที่ทีมนี้ อาจมีความจำเป็นที่ต้องโปรโจคพิเศษเพิ่มจากหน้าที่ปกติ
- อาจจะมีการสร้าง Innovation Lab (ไม่ใช่ห้องแล็ปนะ แต่เป็นเหมือน ห้องทดลองทางความคิดโดยจะไปสู่ขั้นที่ 3)
3. Measure Innovation
- อันนี้ละที่เราจะมีการคิดพวก metrics ที่ใช้วัดผลต่างๆ และเอามันมาใส่ในห้องทดลองแห่งนวัตกรรม หรือ ห้องทดลองแห่งความคิดก็ได้นะ (จริงๆก็คือ ห้องประชุม 555555555)
- สิ่งที่สำคัญคือ Challenges !! ยิ่งมีจำนวนการเพิ่มอุปสรรคเข้าไปเยอะๆเนี่ย ยิ่งดี เพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้เพื่อนผลิตสิ่งที่เป็น Disruptive innovative
RISK ที่เกี่ยวข้องคืออะไรละ ?
แห่ๆ ขอโทษทีเพื่อนๆ ร่ายมายาวจนเกือบลืมที่ชื่อ Topic ไปแว้ว 5555
มาๆ พอเราเข้าใจว่านวัตกรรมเนี่ย มันสำคัญหรือกว่าจะได้มาต้องใช้แรงสมอง และลำบากเท่าไร ที่นี้ก็จะมาเข้าสู่ สิ่งที่เรียกว่า "ความเสี่ยง"
ทำไมถึงเสี่ยง ?
- เพราะว่า เพื่อนๆอย่าลืมคิดว่า Talents team หรือ Special force กลุ่มนี้ ต้องอาศัยเวลาเกือบ 20% ของเวลางานต่อวัน เพื่อมาคิดค้นเจ้า Project ใหม่นี้ ก็คือเท่ากับ เสียเวลาไปแล้ว
- แล้วถ้าโปรเจคใหม่นี้ เริ่มการ Launch ไปได้ แล้ว Fail ละ ! - เสียเวลา เสียเงิน เสียกำลังใจอีก
SMART Risk VS Full Risk
- อ่าฮ้า แน่นอนว่า ถ้าเราตกอยู่ในภาวะ Full Risk เนี่ยคือการที่เราวางแผนไม่รอบคอบนั้นเอง
- SMART Risk ก็คือ
1. ในทีม Innovative พิเศษนี้ ควรจะมีจำนวนกี่คน แล้วจะกระทบต่อหน้าที่หลักมากน้อยแค่ไหน ?
>>HBR แนะนำว่าควรมีขนาดแค่ 4-6 คน
2. แล้วระยะเวลาของโปรเจคนี้ จะสิ้นสุดเมื่อใด ? (Time frame)
3. ต้องใช้งบที่คาดว่าสูงที่สุดเท่าไร ถึงจะทำให้เจ้า Innovation อันนี้เป็นความจริง ?
>> อย่าลืมมองถึงค่าลิขสิทธ์ ใบอนุญาต หรือกฏหมาย รวมถึง ค่าใช้จ่ายกับรัฐบาลต่างๆด้วยนะ
4. ถ้าเกิดไอเดียอันนี้เกิดพัง หรือไม่สำเร็จขึ้นมา แล้วอะไรคือสิ่งที่จะมาทดแทนการล้มเหลวอันนี้ ? โอกาสที่จะไม่สำเร็จเท่าไร (Failure rate) ? (ควรต่ำกว่า 30% น้ะ)
แล้วเราจะสามารถลดหรือ Balance ความเสี่ยง Risk กับ Innovation อย่างไร ?
1. Idea Screener
- แน่นอนว่า ถ้าเราเอาทุกไอเดียมาสร้างนวัตกรรมเนี่ย ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอ
- การscreen คือ การที่ให้ innovative team นำเสนอไอเดียของตัวเองสั้นๆ
- มีการเปิดโหวตสำหรับ Idea ที่คนเห็นด้วยเยอะที่สุด 1-3 ไอเดีย
- Strategic alignment ก็คือ เจ้า Idea ทีว่านี้ มันส่งเสริมกลยุทธ์หรือ mission ไหนขององค์กร ?
- Competitive Advantage ก็คือ เจ้าไอเดียนี้จะสร้างความแตกต่างอย่างไร ?
- Customer Need สิ่งนี้้จริงๆใช่ไหม ?
- Capabilities คือทรัพยากรและศักยภาพต่างๆที่บริษัทมีเนี่ย เพียงพอใช่ไหมเอ่ย ?
- Disruptive เอาง่ายๆคือ เจ้าไอเดียนี้ ทำให้เราร้อง "ว้าววว" เลยไม๊ ? หรือมันแหวกแนวมากๆเลยไม๊น้ะ ? (แต่แหวกไปก็ เอวัง...นะจ้าา)
2. Innovation Metrics
- ก็เพื่อให้เรา แทรคได้ว่า ตอนนี้ เราอยู่ตรงไหนแล้ว ?
- อะไรที่เรายัง Lack อยู่ ?
- โปรเจคนี้ใกล้จะถึงเส้นชัยรึยัง ?
- I DO Metrics >> Input (ว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง คน เงิน), Development (activity ที่เราต้องมีคือ? Project lifecycle), Output (แน่นอนว่าเราต้องแทรคด้วยว่า ผลลัพธ์เนี่ย ออกมาเป็นอย่างไร เช่น จำนวนคนที่เข้ามาแสดงความรู้สึกชอบ, สื่อสิ่งพิมพ์พูดถึงเราในแง่ Positive disrupt เท่าไร ?)
ตัวอย่างที่ดีของบริษัทที่มีการจัดการ Risk Innovation ที่ดี
1. Pixar
- เดินเกมส์ด้วยการจ้าง Risk Taker person
- โดย Producer ของ หนังเรื่อง Incredible เนี่ย เค้าได้ทำการเฟ้นหา Animators ที่เรียกได้ว่า เป็น Black sheep ! ของวงการมา และสุดท้ายด้วยความที่แตกต่าง เลยทำให้ หนัง Incredible ได้รับรางวัลจนได้
2. Norvatis บริษัทยา
- ใช้วิธี Leverage Technology
- โดย Norvatis ได้ใช้ Technology ออนไลน์ทำการแทรคขั้นตอนของการผลิตยาที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด(Trial) ในสาขาเกือบ 500+ สาขาใน 70 กว่าประเทศ
- โดยถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็น ผลเสียที่มากจาการใช้ยา, ไม่ผ่าน อย. ของแต่ละประเทศ หรือแม้กระทั่งผ่าน process ทุกอย่างจนขายได้ดีเนี่ย
- Norvatis เองเค้าก็จะมีการประเมิณการได้อย่าง Real time ว่าจะ Invent กับ Trial project นี้ต่อไป แล้วถ้าทำ ในแต่ละประเทศจะต้องใช้เวลาขนาดไหน
- ซึ่งในกรณีที่มาการผิดพลาดต่างๆใน Trail project, Norvatis เค้าจะไม่เรียกว่า Failure แต่เค้าจะเรียกว่า Experiment แทน
สรุปตอนท้ายก็คือ
- เราต้องดูว่า Success rates ของโปรเจคนี้หรือ ไอเดียนี้เป็นเท่าไร ?
- ถ้าต่ำกว่า 10% เนี่ย ถือว่า High Risk มากกกกๆนะ ถามว่าไปต่อได้ไม๊ ถ้ามีการวางแผนอย่างที่ได้เขียนไปแล้ว ก็ จัดไปได้ ! (เตรียมตัวสำหรับการล้มด้วยนะ)
- ถ้าเกิน 50% นี้คือ มาตรฐานละ แต่ถือว่ามีความเสี่ยงปานกลาง
- คือการที่จะทำให้มั่นใจแบบ ในความคิดเรานะ เกิน 70-80% เนี่ย ในระยะเริ่มแรกมันค่อนข้างจะประมาณการยาก มันต้องทำโปรเจคไปให้เกือบครึ่งนึง ถึงพอจะเห็นภาพได้นะ แต่ถ้าเราไม่เริ่มเลยไม่ยอมเสี่ยงสักหน่อยก็ .... ไม่มี Innovation, ไม่มี disrupt และสุดท้ายก็ต้องเดินตามเค้าต่อไป......................
หวังว่าคงเป็นอาหารสมองที่คุ้มค้ากับการอ่านของเพื่อนๆเหมือนเดิมน้าาาา
^^
โฆษณา