18 มิ.ย. 2020 เวลา 11:35 • ประวัติศาสตร์
“ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” Ep.1 เรื่องราวการสร้างชาติที่พังทลาย
1
“จงอดกลั้นในสิ่งที่ยากจะอดกลั้นไว้ได้ และจงอดทนในสิ่งที่ยากจะอดทน” จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ
เสียงของถ้อยคำนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่านวิทยุในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945
เป็นเสียงที่บอกกับชาวญี่ปุ่นว่าให้วางอาวุธ
เป็นเสียงที่ทลายความเชื่อมั่นของชาวญี่ปุ่นที่ว่า “พวกเขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้”
แต่ทว่าเสียงของเทพของพวกเขาได้สื่ออย่างชัดเจนว่า “พวกเราแพ้แล้ว”
และเสียงนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า “สงครามได้จบลงแล้ว”
สงครามที่สยบความอหังการของญี่ปุ่น
สงครามที่สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาลให้แก่ศัตรูและตัวญี่ปุ่นเอง
สงครามที่ชาวญี่ปุ่นเหลือเพียงซากปรักหักพังของวัตถุ และซากปรักหักพังของความเชื่อ
และที่สำคัญ มันกำลังจะพังทลายลง...
ทุกท่านครับ ณ ที่นี้ ผมจะนำพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของประเทศแกนนำผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
ประเทศที่จะอยู่ใต้ปกครองของต่างชาติ...
ประเทศที่ถูกถอนรากถอนโคนทางความคิดและความเชื่อทั้งหมด...
ประเทศที่พังทลายทางเศรษฐกิจจากสงคราม...
ประเทศที่หล่นลงไปในก้นบึ้งของความตกต่ำ...
ประเทศที่ถีบตัวเองออกจากก้นบึ้งนั้น แล้วมาสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง...
และนี่คือ “ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2” Ep.1 เรื่องราวการสร้างชาติที่พังทลาย
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ.1945 บนเรือรบมิสซูรี่ ที่ลอยอยู่บนอ่าวโตเกียว ญี่ปุ่นได้ลงนามยอมแพ้สงคราม จึงถือว่าเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างสมบูรณ์
ซึ่งหลังจากที่เป็นผู้พ่ายแพ้สงคราม ญี่ปุ่นที่เป็นตัวการหลักก็ต้องโดนหนักพอสมควรเลยล่ะครับ โดยมีการตกลงกันครับว่ารัฐบาลญี่ปุ่นต้องอยู่ภายใต้ศูนย์บัญชาการสูงสุดของสัมพันธมิตร หรือ GHQSCAP หรือเรียกย่อๆว่า SCAP
1
ซึ่ง SCAP เนี่ยประกอบด้วยหลายๆประเทศครับ ซึ่งก็แค่ตั้งไว้เท่ๆ แต่จริงๆคือถูกผูกขาดโดยอเมริกา และอเมริกาได้แต่งตั้งให้พลเอกดักลาส แมคอาเธอร์เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของ SCAP เพราะฉะนั้นญี่ปุ่นก็อยู่ภายใต้การปกครองของอเมริกาแต่เพียงผู้เดียวนั่นเอง
อเมริกาได้ทำการกีดกันชาติมหาอำนาจอื่นๆโดยเฉพาะโซเวียต ไม่ให้เข้ามายุ่งกับญี่ปุ่น
อเมริกาคิดไว้แล้วครับว่าการที่จะทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถมาซ่ากับชาวโลกได้อีก คือการต้องเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ขนานใหญ่ พร้อมทั้งทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศประชาธิปไตย ซึ่งมีการปักหมุดไว้ 3 ประเด็นใหญ่ๆครับ นั่นคือ
การปฏิรูปสถาบันจักรพรรดิ...
1
การยกเลิกองค์กรทหาร...
และการทำลายไซบัทซุ...
อเมริกาคิดว่าสิ่งที่มอมเมา หลอกลวงและเอาเปรียบประชาชนชาวญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 คือสถาบันจักรพรรดิ องค์กรทหาร และไซบัทซุ ทั้งยังเป็นสิ่งที่ขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย...
ภาพจาก Christie’s (การลงนามยอมแพ้ของญี่ปุ่น 2 กันยายน ค.ศ.1945)
หลังสงครามจบลงสถานะของจักรพรรดิญี่ปุ่นนั้นเปราะบางสุดๆเลยล่ะครับ ประชาชนของประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรจะรู้จักชื่อของ “ฮิโรฮิโตะ” และ “ฮิเดกิ โตโจ” ในฐานะของผู้นำกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นจึงมีเสียงเรียกร้องของประชาชนเหล่านั้นครับว่า “ประหารชีวิตฮิโรฮิโตะกับโตโจซะ! พวกนี้คืออาชญากรสงคราม” ซึ่งยังมีผลประชามติออกมากว่า 70% ให้จัดการจักรพรรดิญี่ปุ่นซะ
1
ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส โซเวียต และบรรดาประเทศสัมพันธมิตรต่างก็ต้องการให้ประหารฮิโรฮิโตะ
แต่สหรัฐอเมริกากลับไม่คิดแบบนั้นครับ...
อเมริกากลับคิดว่า หากทำลายสถาบันจักรพรรดิลง จะทำให้การปกครองญี่ปุ่นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ โดยได้เปรียบเทียบว่าจักรพรรดิก็เหมือนนางพญาผึ้งที่เป็นศูนย์กลาง ซึ่งหากกำจัดนางพญาผึ้งออกไป สังคมญี่ปุ่นจะโกลาหลแน่ๆ
ดังนั้น อเมริกาจึงปฏิเสธการจับจักรพรรดิขึ้นศาล ลงโทษ หรือประหาร แต่อเมริกาต้องการจะเปลี่ยนแปลงและใช้ประโยชน์จากจักรพรรดิในการปกครองญี่ปุ่นนั่นเองครับ และสิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนแปลงนั่นคือ ความเป็นเทพของจักรพรรดิ...
อเมริกาจึงจัดให้มีการพบปะของฮิโรฮิโตะและแมคอาเธอร์ ทั้งยังมีการถ่ายรูปร่วมกัน แล้วรูปถ่ายนั้นก็ถูกเผยแพร่ไปสู่สายตาคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภาพที่จักรพรรดิยืนคู่กับแมคอาเธอร์
ภาพนี้ทำให้คนญี่ปุ่นตกตะลึงสุดๆเลยล่ะครับ! เพราะถ้ามองจริงๆแล้วภาพนี้ จะรู้สึกเหมือนกับว่าจักรพรรดิดูด้อยกว่าแมคอาเธอร์อย่างชัดเจน ทำให้คนญี่ปุ่นเริ่มคิดแล้วครับว่า จักรพรรดิของพวกเขาไม่ใช่เทพ แต่ก็เป็นแค่คนญี่ปุ่นธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น...
1
และแน่นอนว่า จักรพรรดิฮิโรฮิโตะในตอนนี้มีสถานภาพที่ไม่ชัดเจน ไม่รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญญี่ปุ่นจะบัญญัติให้สถานะจักรพรรดิ ออกมาใหม่ในรูปแบบไหน อีกอย่างจะมีการพิพากษาจักรพรรดิหรือไม่ก็ไม่รู้ ถึงอเมริกาจะคิดใช้จักรพรรดิไว้เป็นประโยชน์ต่อการปกครองญี่ปุ่นของตัวเอง แต่โซเวียต จีน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เอาไปขึ้นศาลซะ!”
แต่ทั้งอเมริกาและแมคอาเธอร์ก็ได้พยายามโน้มน้าวและพิสูจน์ให้ชาติอื่นๆเห็นอยู่นานทีเดียวว่า “สำหรับคนญี่ปุ่น จักรพรรดิสำคัญนะโว้ย!”
และในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1946 จักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ได้ออกแถลงว่า ตัวของเขาเองนั้นไม่ใช่เทพอย่างที่คนญี่ปุ่นเชื่ออย่างฝังลึกในจิตใจ แต่เป็นเพียงมนุษย์ปถุชนธรรมดาเท่านั้น
คำประกาศนี้ก็ทำให้คนญี่ปุ่นตะลึงอีกครั้งครับ!
1
เพราะจักรพรรดิถึงกับออกมาประกาศปฏิเสธความเป็นเทพของตัวเองอย่างสิ้นเชิง หากจะพูดถึงภาพของจักรพรรดิในสายตาคนญี่ปุ่น ก็คงคุ้นเคยแค่ภาพการใส่ชุดทางการและชุดทหารเท่านั้น นอกจากนี้เป็นภาพของห้วงบรรยากาศแห่งความลี้ลับแบบเทพเจ้า
ถือว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวครับ กับคนญี่ปุ่นที่เกิดในสมัยที่เวลารถพระที่นั่งเสด็จผ่าน จะต้องก้มหน้าลดสายตามองต่ำ หากเงยหน้ามองแล้วเห็นจักรพรรดิ ตาจะพร่าจนบอดได้เลย! หรือแม้กระทั่งการล้อเลียนก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ถึงขนาดเคยมีเด็กเรียกจักรพรรดิว่า “เทนจัง” (คนญี่ปุ่นจะเรียกจักรพรรดิว่าเทนโน) แล้วโดนผู้ใหญ่ตบปากพร้อมตะคอกว่า “ท่านไม่ใช่ของที่จะเอามาล้อเล่น!”
ซึ่งคนญี่ปุ่นในสมัยนี้อาจจะมองว่าเป็นเรื่องขบขันครับ และคิดว่าคนสมัยก่อนนั้นงมงาย...
แต่คนญี่ปุ่นในสมัยนั้นเชื่อแบบนั้นจริงๆ และสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนความเชื่อนั้นแบบถอนรากถอนโคนอย่างสิ้นเชิงในสมัยที่อเมริกาปกครอง...
ภาพจาก Medium (ดักลาส แมคอาเธอร์กับจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ)
การเปลี่ยนแปลงอย่างที่สองของอเมริกาคือการยกเลิกองค์กรทหารบก เพราะกองทัพบกนั้นเป็นตัวการที่นำญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม และใช้การโฆษณาชวนเชื่อในการมอมเมาชาวญี่ปุ่น
ดังนั้น อเมริกาจึงไม่ให้ญี่ปุ่นมีกองกำลังทหารอีกเลย แม้จะโดนรุกรานก็ตาม (แต่ภายหลังอเมริกามีเปลี่ยนใจครับ เดี๋ยวผมค่อยเล่าอีกที)
1
และการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สาม คือ การทำลายอิทธิพลของไซบัทซุ โดยไซบัทซุเป็นพ่อค้านายทุนทางการเมืองขนาดยักษ์ที่ผูกขาดและครอบงำอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยที่ทหารบกปกครอง ดังนั้นอเมริกาจึงทำการ “ผ่าตัดไซบัทซุ” ครับ นั่นก็คือ การซอยบริษัทเหล่านั้นให้แตกออกเป็นหลายๆบริษัท เพื่อลดการผูกขาด เช่น บริษัทมิตซุยบัทซัน ได้ถูกผ่าตัดออกเป็น 200 บริษัทเลยทีเดียว!
1
ไม่พอเท่านั้น อเมริกายังมีการออกกฎหมายห้ามผูกขาดขึ้น เพื่อทำลายไซบัทซุไม่ให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้ง
การทำลายไซบัทซุนี้ ทำให้อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นกลายเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงครับ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่นได้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น...
จากนั้นอเมริกาก็ให้รัฐบาลญี่ปุ่นได้ร่างรัฐธรรมนูญของตัวเอง แล้วส่งให้ SCAP ตรวจสอบ แต่กลับกลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญที่ญี่ปุ่นร่างนั้นไม่ถูกใจแมคอาเธอร์เพราะยังไม่เป็นประชาธิปไตย
2
SCAP และแมคอาเธอร์จึงจัดการร่างให้เองซะเลยครับ โดยมีข้อสำคัญๆคือ...
จักรพรรดิไม่ใช่ทั้งประมุขและผู้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียง “สัญลักษณ์” เท่านั้น
หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน สถานภาพของจักรพรรดิขึ้นอยู่กับประชาชน
2
หรือญี่ปุ่นต้องไม่มีกองกำลังทหารเพื่อสงคราม
รัฐธรรมนูญที่อเมริกาได้ร่างให้นี้ แน่นอนว่าญี่ปุ่นไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ แต่ตัวเองก็เป็นผู้แพ้สงครามอ่ะเนอะ... คงขัดอะไรไม่ได้มาก ได้แต่จำยอมเท่านั้นแหละครับ
แล้วในที่สุดวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้ถูกประกาศใช้ และรัฐธรรมนูญที่ญี่ปุ่นไม่ค่อยชอบใจฉบับนี้นี่แหละครับ ได้ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน...
ภาพจาก Council on Foreign Relations (การประกาศใช้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ค.ศ.1947)
และแน่นอนครับจากการโน้มน้าวของอเมริกาและแมคอาเธอร์ ในที่สุดจักรพรรดิก็ไม่โดนลงโทษหรือนำตัวขึ้นศาล แต่ทว่า ฮิเดกิ โตโจกับพรรคพวกไม่รอดครับ
ผู้นำทางทหารและการเมืองซึ่งกุมอำนาจของญี่ปุ่นก่อนหน้านี้จำนวน 28 คน ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงครามระดับ A และได้ถูกนำตัวขึ้นศาลโตเกียว
การพิจารณาของศาลได้สร้างความตกใจให้คนญี่ปุ่นหลายอย่างทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม การโฆษณาชวนเชื่อของกองทัพบกญี่ปุ่น สภาพที่แท้จริงของสงครามที่ญี่ปุ่นสูญเสีย (แต่กองทัพบกปิดเป็นความลับ)
1
ฮิเดกิ โตโจและพรรคพวก 7 คน ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการแขวนคอ อีก 15 คน ถูกจำคุกตลอดชีวิต และอีก 2 คน ถูกจำคุก 20 ปี และ 7 ปีตามลำดับ
ผู้ที่ถูกแขวนคอล้วนเป็นทหารบกครับ ทหารเรือไม่มีแม้แต่คนเดียว เพราะศาลได้โยนความผิดว่าทหารบกได้นำพาญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามโดยการรุกรานจีน ดังนั้นทหารบกจึงโดนไปเต็มๆ...
คำกล่าวของโตโจระหว่างถูกขังรอประหาร คือ “ข้าพเจ้าเสียใจที่ใช้เวลานานเกินไปกว่าจะเสียชีวิต สงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าขอแสดงความเสียใจกับชาติต่างๆ และเผ่าพันธ์ต่างๆ และข้าพเจ้ามุ่งหวังที่จะปลิดชีพตัวเอง แต่ก็ล้มเหลว” (ก่อนถูกจับ โตโจพยายามจะยิงตัวตายแต่กระสุนพลาดเป้า แพทย์จึงรักษาได้ทัน เพื่อให้มาโดนตัดสินแขวนคอ...)
1
และในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.1948 ฮิเดกิ โตโจและเหล่าผู้บังคับบัญชาทหารบก รวม 7 คนก็ถูกแขวนคอที่เรือนจำซูกาโมะ เป็นอันปิดฉากกองทัพบกอันเกรียงไกรของจักรวรรดิญี่ปุ่นไปในที่สุด...
ภาพจาก All that’s Interesting (การพิพากษาฮิเดกิ โตโจและพรรคพวก ข้อหาอาชญากรสงคราม)
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่นอนว่าได้ทำลายเศรษฐกิจของญี่ปุ่นอย่างย่อยยยับเลยล่ะครับ สภาพหลังสงครามของญี่ปุ่นเรียกได้ว่า แทบไม่มีชิ้นดี จากการที่อุตสาหกรรมทหารพังพินาศ มีการปลดทหารออก ทำให้มีคนว่างงานกว่า 14 ล้านคน! ผู้คนต่างก็เสียทรัพย์สินและที่อยู่อาศัยจากสงครามและพิษเศรษฐกิจ เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และปัญหาที่หนักที่สุดคือ การขาดแคลนอาหาร...
ความอดอยากจากการขาดอาหารในญี่ปุ่นถือว่าหนักสุดๆเลยล่ะครับ จนถึงขั้นเกือบจะมีการจราจล ประชาชนตามเมืองใหญ่ๆถึงกับต้องยัดเยียดกันขึ้นรถไฟไปชนบท เพื่อนำของที่มีอยู่ เช่น เสื้อผ้า ไปแลกอาหารกับชาวนา ถือว่าการใช้ชีวิตหลังสงครามนั้นลำบากทีเดียวล่ะครับแต่ญี่ปุ่นก็รอดจากการอดตายมาได้อย่างฉิวเฉียดจากอาหารที่ถูกส่งมาจากอเมริกา...
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาก็ถามโถมญี่ปุ่นอย่างรุนแรงเช่นเดียวกันครับ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กพากันล้มละลาย สินค้าค้างอยู่ในสต๊อกจำนวนมหาศาลเพราะไม่มีตลาดส่งออก อีกทั้งยังโดนกระหน่ำด้วยภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวใน ค.ศ.1946 และ 1948
2
ยุคสมัยหลังสงครามถือได้ว่าญี่ปุ่นตกอยู่ในก้นบึ้งแห่งความยากลำบากสุดๆ...
1
แต่แล้วก็มี “ลมแห่งเทพเจ้า” ได้พัดเข้ามาช่วยญี่ปุ่นให้รอดพ้นจากวิกฤตินรกเหล่านี้
1
“ลมแห่งเทพเจ้า” ที่ช่วยต่อลมหายใจที่กำลังจะตายของญี่ปุ่นให้ฟื้นขึ้นมามีกำลังวังชาอีกรอบ
ซึ่ง “ลมแห่งเทพเจ้า” ที่ว่านี้ คือ สงครามเกาหลีครับ...
ภาพจาก Devastating Disaster (แผ่นดินไหว 8.1 แมกนิจูด ที่ญี่ปุ่น ค.ศ.1946)
การยกทัพเข้ามาในเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือของเกาหลีเหนือ เป็นการเปิดฉากสงครามเกาหลี
แน่นอนว่าอเมริกาไม่ยอมแน่นอน จึงร้องเรียน UN แล้วทางUN จึงได้ให้ตั้งกองกำลังผสม 16 ชาติที่มีอเมริกาเป็นผู้นำขึ้นมาเพื่อต่อต้านการรุกรานของเกาหลีเหนือ
และจากการระเบิดขึ้นของสงครามเกาหลี แมคอาเธอร์ได้ห่วงความมั่นคงในญี่ปุ่นสุดๆ แต่ก็คิดว่า เอ๊ะ! ญี่ปุ่นไม่มีกำลังทหารนี่หว่า?...
แมคอาเธอร์จึงกลืนน้ำลายตัวเองครับ สั่งให้รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งหน่วยตำรวจกองหนุนขึ้นมา ซึ่งแมคอาเธอร์บอกว่า “รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นบอกไว้ว่าห้ามญี่ปุ่นมีกองกำลังทหารในการสงคราม แต่ไม่ได้บอกไว้หนิว่า ห้ามมีกองกำลังป้องกันตัวเอง” จึงมีการตั้งหน่วยตำรวจกองหนุน 75,000 คน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยน่านน้ำ 8,000 คน ซึ่งเอาจริงๆแค่เรียกให้แตกต่างเฉยๆนั่นแหละครับ เพราะถ้ามองดีๆ แมคอาเธอร์ได้สั่งให้ตั้งกองทัพบกและกองทัพเรือขึ้นมาใหม่นั่นเอง...
1
ซึ่งการรับสมัครคนเข้าประจำการนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเศรษฐกิจไม่ดีหรืออย่างไร จำนวนผู้สมัครหลั่งไหลเข้ามามหาศาลมาก จนครบตามจำนวนในเวลาที่รวดเร็ว!
และความโชคดีเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 จากสงครามเกาหลี คือ ญี่ปุ่นกลายเป็นศูนย์กลางของกองกำลัง UN เพราะแบบนี้แหละครับจึงทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวขึ้นมาอย่างน่าเหลือเชื่อ!
กองกำลังของ UN ได้มีการซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจากญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม ถุงมือป่าน ผ้าฝ้าย หรือสินค้าในขีวิตประจำวัน อย่างสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ และที่สำคัญคือสินค้าจำพวกเหล็กครับ
โดยโรงงานของญี่ปุ่นได้มีการเดินเครื่องอย่างคึกคักอีกครั้ง คนญี่ปุ่นกลับมามีงานทำ ของที่อยู่ในสต๊อกก็ขายจนหมดเกลี้ยง! หรือผลิตเท่าไหร่ก็ขายหมด บางทีแทบจะผลิตไม่ทันเชียวล่ะครับ!
1
อีกทั้งทหารของกองกำลัง UN ก็ได้เข้ามาพักผ่อนในญี่ปุ่น ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านเหล้า หรือแม้กระทั่งซ่อง ก็คึกคักอย่างสุดๆ เรียกได้ว่า ทุกย่างก้าวที่ทหารเหล่านี้ก้าวไป ล้วนกลายเป็นเงินและความมั่งคั่งของชาวญี่ปุ่นทั้งหมด
1
ถ้าลองได้ไปถามบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทเหล่านี้ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ตอนไหน ร้อยทั้งร้อยต่างก็ต้องตอบว่า “ก็ช่วงสงครามเกาหลีนี่แหละ!”
ซึ่งก็เป็นตลกร้ายนะครับ ที่ความมั่งคั่งของญี่ปุ่นนั้นมาจากการสูญเสียเลือดเนื้อของเพื่อนบ้าน ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจครับว่าทำไมคนเกาหลีถึงไม่ค่อยชอบคนญี่ปุ่นซักเท่าไหร่...
จากสงครามเกาหลีได้ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นกลับมาบูมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว จนอยู่ในระดับเดียวกับสมัยก่อนสงครามโลก สมัยที่ญี่ปุ่นยังเป็นมหาอำนาจอยู่นั่นแหละครับ...
ภาพจาก Navy CT History (ทหารจากกองกำลัง UN จับจ่ายใช้สอยในญี่ปุ่น ทำให้เศรษฐกิจกลับมาบูมอีกครั้ง ค.ศ.1950)
และแล้วก็ถึงเวลาที่อเมริกาได้ตัดสินใจจะให้เอกราชกับญี่ปุ่นครับ หลังจากที่ได้เข้าไปปรับเปลี่ยนญี่ปุ่นตามที่ตัวเองต้องการเรียบร้อยแล้ว
แต่ถึงแม้อเมริกาจะให้เอกราช แต่ก็ได้มีการตกลงกับญี่ปุ่นว่า “ให้ยังคงมีกองทัพของอเมริกาตั้งอยู่ในญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเอ็งไม่มีทหารเป็นของตัวเอง เวลาคอมมิวนิสต์บุก อเมริกาจะได้ช่วยทัน” ซึ่งญี่ปุ่นก็ตกลงครับ
แล้วก็มีการทำสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกขึ้นใน ค.ศ.1951 เพื่อรองรับความเป็นเอกราชของญี่ปุ่น และการกลับเข้าไปเชิดหน้าชูตาในสังคมโลกอีกครั้ง แต่ก็แค่เฉพาะโลกทุนนิยมเท่านั้นนะครับ เพราะโซเวียตและผองเพื่อน ก็ยังไม่ได้ยอมรับญี่ปุ่น
แต่ถึงแม้โซเวียตและผองเพื่อนจะยังไม่ยอมรับญี่ปุ่น แต่อเมริกาและผองเพื่อนก็ยอมรับและผลักดันให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศเอกราชจนได้
และในวันที่ 28 เมษายน ค.ศ.1952 ญี่ปุ่นก็ได้อำนาจอธิปไตยกลับมาโดยสมบูรณ์ พ้นจากการถูกปกครองโดยอเมริกา 7 ปี กลายเป็นประเทศเอกราชในที่สุด
คราวนี้แหละครับ ทั้งเศรษฐกิจที่บูมขึ้นมาอีกครั้งจากสงครามเกาหลีและการได้รับเอกราชใน ค.ศ.1952
ถือว่าญี่ปุ่นได้ลุกขึ้นมาจากก้นบ่อแห่งความตกต่ำเรียบร้อยแล้ว...
ชาติที่ได้พังทลายลงไป กลับคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
และเป็นการเริ่มต้นที่จะผงาดขึ้นไปสู่การเป็นมหาอำนาจ...
ซึ่งไม่ใช่มหาอำนาจทางทหารแบบยุคก่อน...
แต่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่จะมีอิทธิพลต่อประเทศต่างๆทั่วโลก
ภาพจาก Alchetron (การทำสนธิสัญญาซานฟรานซิสโก)
ใน Ep. ต่อไป ผมจะพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของการไต่เต้าขึ้นสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
เรื่องราวการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนญี่ปุ่น...
เรื่องราวการบูชาทุนนิยม...
เรื่องราวการพัฒนาอุตสาหกรรม...
เรื่องราวของความขัดแย้งทางการเมือง...
เรื่องราวของพลังนักศึกษา...
เรื่องราวของชินคันเซ็น การสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้...
เรื่องราวของทานากะ คะคุเอ ผู้ทรงอิทธิพลในเงามืดของการเมืองญี่ปุ่น...
เรื่องราวความขัดแย้งของญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา...
และเรื่องราวการก้าวขึ้นไปเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจจนเทียบเคียงสหรัฐอเมริกา...
ใน Ep.2 เปิดฉากสู่มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
อ้างอิง
คงศักดิ์ สันติพฤกษวงศ์. วิวัฒนาการทุนนิยมญี่ปุ่น. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528.
Hosaka Masayasu. Chichi Ga Ko Ni Kataru Showashi. Japan : Futabasha Publishers Ltd, 1998.
โฆษณา