4 ก.ค. 2020 เวลา 11:41 • ประวัติศาสตร์
“ซาดาโกะ ซาซากิ” เหยื่อจากระเบิดปรมาณูสู่ตำนานนกกระเรียน 1,000 ตัว
เช้าวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 เวลา 8.00 น. ณ เมืองแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ฮิโรชิมา...
คนงานกำลังทำงานในโรงงานอย่างขยันขันแข็ง...
แม่บ้านกำลังออกไปจ่ายตลาดเพื่อหาวัตถุดิบมาปรุงอาหารต้อนรับสามีในตอนเย็น...
นักเรียนนักศึกษากำลังเรียนหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ...
เด็กๆกำลังวิ่งเล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน...
ทารกกำลังร้องเรียกแม่เพราะหิว...
และผู้คนได้ออกมาใช้ชีวิตที่คึกคักภายในเมืองอย่างปกติเหมือนทุกๆวัน...
เวลา 8.15 น. เครื่องบินลำหนึ่งได้บินอยู่เหนือน่านฟ้าของเมือง...
ผู้คนในเมืองต่างแหงนหน้ามองด้วยความตกใจเพราะไม่มีเสียงสัญญาณเตือน...
ทันใดนั้น ก็มีวัตถุบางอย่างถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินลำนั้น...
ทัทีที่วัตถุนั้นแตะพื้นดินของเมืองฮิโรชิมา...
เสียงระเบิดก็ได้ดังกึกก้อง บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง และผู้คนต่างก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง...
ควันรูปเห็ดขนาดมหึมาพวยพุ่งขึ้นเหนือน่านฟ้าฮิโรชิมา...
เมื่อควันนั้นจางลง ก็ปรากฏเพียงซากและความว่างเปล่า...
ทุกท่านครับ ภาพเหล่านี้ได้ปรากฏแก่สายตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง...
เด็กหญิงที่อยู่ห่างจากจุดระเบิด 1.7 กิโลเมตร...
เด็กหญิงที่รอดชีวิตจากระเบิดมหาประลัยอย่างปาฏิหารย์...
แต่ทว่า มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือ?...
และนี่ คือเรื่องราว “ซาดาโกะ ซาซากิ” เหยื่อจากระเบิดปรมาณูสู่ตำนานนกกระเรียน 1,000 ตัว
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ภาพจำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ของผู้คนทั่วโลก คงมีภาพที่แตกต่างกันมากมาย
แต่มีภาพจำเดียวที่ทุกคนต่างจำและรับรู้ร่วมกันว่า “นี่แหละ คือไฮไลท์ของสงครามโลกครั้งที่ 2”
ภาพจำที่ว่า คือ การทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของสหรัฐอเมริกา เพื่อบีบให้ญี่ปุ่นยอมแพ้นั่นเอง...
ผลของการทิ้งระเบิดครั้งนี้ ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้จริงๆนั่นแหละครับ พร้อมๆกับการสูญเสียชีวิตชาวญี่ปุ่นกว่า 150,000 คน ผู้บาดเจ็บอีกกว่า 70,000 คน และเมืองทั้งสองที่เหลือเพียงซาก...
แน่นอนว่าก็มีผู้รอดชีวิตจากการระเบิดครั้งนี้อยู่จำนวนหนึ่งครับ แต่ไม่มีเรื่องราวไหนที่ยิ่งใหญ่และน่าเศร้าไปกว่าเรื่องราวของเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่า ซาดาโกะ ซาซากิ
ภาพจาก History (เมืองฮิโรชิมาหลังการระเบิดของระเบิดปรมาณู)
ซาดาโกะนั้นเกิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1943 เรียกได้ว่าเกิดมาท่ามกลางสงครามที่กำลังดุเดือดเลยล่ะครับ
โดยซาดาโกะอยู่กับพ่อและแม่ที่เมืองฮิโรชิมา แต่ต่อมาพ่อก็ต้องถูกเกณฑ์ออกไปรบ จึงเหลือเพียงสองแม่ลูกที่ต้องดิ้นรนกันต่อไป เพราะฐานะครอบครัวก็ค่อนข้างยากจนพอสมควร
ซาดาโกะไม่ได้มีภาพจำเกี่ยวกับสงครามเท่าไหร่ครับ เพราะอายุน้อยยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ทว่ามีภาพจำหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของซาดาโกะตัวน้อยนี้ นั่นคือ ภาพควันรูปดอกเห็ดขนาดมหึมาที่ลอยพวยพุ่งเหนือเมืองฮิโรชิมา...
ซาดาโกะและแม่นั้นเรียกได้ว่า โชคดีสุดๆ! เพราะบ้านนั้นอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของระเบิดกว่า 1.7 กิโลเมตร ทำให้รอดชีวิตมาได้
หลังเหตุการณ์ก็มีคนที่รอดชีวิตจากระเบิดจำนวนหนึ่งเหมือนสองแม่ลูกคู่นี้เช่นกันครับ แต่หลายๆคนถึงแม้จะไม่เสียชีวิตจากการระเบิดนี้ แต่ก็ต้องทรมานในภายหลังจากการได้รับกัมมันตรังสี บ้างก็พิการ บ้างก็แท้งลูก บ้างก็เป็นมะเร็ง แล้วเสียชีวิตอย่างทรมานไปในที่สุด
แต่สำหรับซาดาโกะและแม่นั้นกลับไม่พบผลค้างเคียงอะไรเลยครับ! (โชคดีแบบ x2) แล้วพ่อของซาดาโกะก็ยังรอดชีวิตจากสงครามกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอย่างมีความสุขอีกครั้ง
ถ้าเป็นละครคง Happy Ending ไปแล้วแน่นอน
แต่นี่ไม่ใช่ละคร นี่คือชีวิตจริงที่อะไรก็เกิดขึ้นได้...
ภาพจาก Tes (เด็กที่ได้รับผลข้างเคียงจากกัมมันตรังสี)
10 ปีผ่านไป หลังจากเหตุการณ์ปรมาณู ซาดาโกะก็ได้โตขึ้นอย่างปกติและแข็งแรงซะด้วยแหละครับ! อีกทั้งยังชื่นชอบการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ จนกลายเป็นนักวิ่งชั้นนำของโรงเรียน จนซาดาโกะได้บอกความฝันของตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า...
“โตขึ้น หนูจะเป็นครูสอนพละในโรงเรียนมัธยมให้ได้เลยล่ะ!”
ชีวิตในตอนนั้นของซาดาโกะเต็มไปด้วยความสุขและความฝันที่สวยงาม อกีทั้งยังตื่นเต้นที่กำลังจะจบประถมแล้วขึ้นไปเรียนมัธยม
แต่แล้วเมื่ออายุย่างเข้า 12 ปี ทุกสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนไป...
ในตอนแรกนั้นพ่อแม่ของซาดาโกะสังเกตเห็นครับว่าสีผิวของลูกทำไมดูซีดๆลง แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก อาจจะเพราะไม่ค่อยได้ตากแดด
แต่ต่อมา ซาดาโกะก็เริ่มเป็นไข้ถี่ๆ ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากเช่นเดิมครับ คิดว่าคงเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดานั่นแหละ! ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย
จนกระทั่งไม่ใช่แค่เป็นไข้ครับ แต่ยังเกิดก้อนบวมๆบริเวณหน้า พ่อแม่ก็เริ่มกังวลแล้วสิครบทีนี้ จึงพาซาดาโกะไปหาหมอที่คลินิก แต่หมอก็ไม่ได้ตรวจละเอียดอะไรเท่าไหร่ แค่ให้ยาไปตามอาการเท่านั้น
ซึ่งแน่นอนว่าอาการของซาดาโกะก็ไม่ได้ดีขึ้นซักนิด! แถมยังรุนแรงขึ้นอีกเมื่อเกิดรอยช้ำม่วงๆบริเวณขา แล้วเกิดอาการปวดหัวแบบรุนแรงถึงขั้นสลบ พ่อแม่จึงตัดสินใจว่า “พาไปหาหมอที่โรงพยาบาลจะดีกว่า ให้หมอตรวจแบบละเอียดๆว่าลูกเราเป็นอะไรกันแน่”
ผลตรวจที่ออกมาทำให้พ่อแม่ซาดาโกะแทบช็อก คือ ซาดาโกะนั้นเป็นลูคีเมียมาตั้งนานแล้ว สาเหตุก็เพราะมีสารกัมมันตรังสีอยู่ในร่างกายนั่นเอง และซาดาโกะจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น!
และแล้วชีวิตกับความฝันอันสวยงามที่เคยวาดฝันไว้ของเด็กหญิงคนหนึ่ง ก็พลันแตกสลายลงในพริบตา...
ภาพจาก Medium (ซาดาโกะ ซาซากิ)
หลังจากนั้นอาการก็ยิ่งแย่ลง ซาดาโกะต้องขาดเรียนบ่อยๆ ชีวิตของเด็กหญิงคนนี้ส่วนใหญ่จึงอยู่กับห้องสี่เหลี่ยมและนอนบนเตียงในโรงพยาบาลตั้งแต่ตอนนั้น
ซาดาโกะเรียกได้ว่าแทบร้องไห้ทุกคืนเลยล่ะครับ เธอคิดอย่างเจ็บใจว่า ทำไมต้องเป็นเธอ? ใครกันแน่ที่เล่นตลกกับชีวิตของเธอแบบนี้? เธอก็แค่อยากใช้ชีวิตปกติธรรมดาเหมือนเด็กทั่วไปเท่านั้น แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร?
จนวันหนึ่งชิซูโกะ ฮามาโมโตะ ที่เป็นเพื่นรักของซาดาโกะ ก็ได้มาเยี่ยมพร้อมกับเอานกกระเรียนกระดาษมาให้เป็นของขวัญ พร้อมกับเล่าเรื่องตำนานนกกระเรียน 1,000 ตัว...
ชิซูโกะเล่าว่า “ได้ฟังจากปู่ย่าตายายที่เล่าให้ฟังอีกที เรื่องของเรื่องคือ คนญี่ปุ่นถือว่านกกระเรียนเป็นนกที่ศักดิ์สิทธิ์มาก! ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการมีชีวิตที่ยืนยาว หากว่าใครสามารถพับนกกระเรียนได้ครบ 1,000 ตัว แล้วอธิษฐานให้หายป่วย คนๆนั้นจะสมหวังทันที!”
ตัวของซาดาโกะเมื่อได้ฟังเรื่องนกกระเรียน 1,000 ตัวก็ตาลุกวาวด้วยความหวังทันทีเลยล่ะครับ แล้วก็เริ่มพับนกกระเรียนตั้งแต่วันนั้น...
เรื่องราวของซาดาโกะถูกเผยแพร่ออกไปจากโรงเรียน แล้วก็ได้รับความสนใจจากคนภายนอกและสื่อมวลชนในที่สุด
เพื่อนที่โรงเรียนรวมถึงบุคคลภายนอกนั้นเมื่อเห็นว่าซาดาโกะตั้งใจจะพับนกกระเรียนให้ได้ 1,000 ตัว ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจครับ จึงได้ช่วยกันพับนกกระเรียนส่งไปให้ซาดาโกะ ซึ่งจำนวนที่ส่งไปนั้นมากกว่า 1,000 ตัวซะอีก!
แต่ซาดาโกะก็ได้บอกว่า “ขอบคุณทุกคนมาก แต่ซาดาโกะต้องพับด้วยตัวเองเท่านั้น คำอธิษฐานถึงจะเป็นจริง”
มาถึงตรงนี้ถ้าเป็นละคร ผู้กำกับคงให้ซาดาโกะพับนกได้ครบ แล้วอธิษฐานจนสามารถหายจากโรคได้ในที่สุด
แต่ทว่า ผู้กำกับคนนี้ดันไม่ชอบละครแบบนั้นน่ะสิครับ จึงเขียนบทออกมาอีกแบบซึ่งหดหู่สุดๆ...
ภาพจาก Rosemarieburger (นกกระเรียนของซาดาโกะ)
เรื่องกลับกลายเป็นว่าเมื่อซาดาโกะพับนกไปได้ถึง 644 ตัว อาการก็ได้ทรุดหนักลง ไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายอ่อนเพลียถึงขนาดจับกระดาษยังแทบไม่มีแรง...
แต่ซาดาโกะก็ยังคงฝืนและพยายามเอาชนะร่างกายของตัวเอง พร้อมกับคิดอย่างแน่วแน่ว่า “อีกแค่ 356 ตัวเท่านั้น เราก็จะหาย สามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติได้เหมือนเดิม วิ่งได้เหมือนเดิม แล้วก็เรียนจนจบทำงานเป็นครูพละในโรงเรียนมัธยม”
เรียกได้ว่าความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเด็กหญิงคนหนึ่งคือนกกระเรียนเท่านั้น...
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกซ้ำเข้าไปอีก เมื่อซาดาโกะนั้นไม่รู้สึกหรือเคลื่อนไหวร่างกายใดๆได้เลย! คือ กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไปในที่สุดครับ...
ความหวังและปาฏิหารย์สุดท้ายในการมีชีวิตก็พลันดับวูบลงไปอีก
สุดท้ายเช้าวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ.1955 ซาดาโกะก็ได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเอง ละทิ้งชีวิตและความฝันที่เคยวาดเอาไว้ แล้วจากไป ท่ามกลางความหดหู่และความเสียใจของพ่อแม่ที่อยู่ข้างๆจวบจนลมหายใจสุดท้าย...
ภาพจาก Pinterest (ซาดาโกะ ซาซากิ)
หลังจากซาดาโกะจากไปเรื่องราวก็ไม่ได้จบเพียงแค่นั้นครับ เพื่อนๆที่โรงเรียนต่างก็ช่วยกันพับนกกระเรียนที่เหลือจนครบ 1,000 ตัว ใส่ลงไปในโลงของซาดาโกะด้วย
1
อีกทั้งเรื่องราวของซาดาโกะก็ได้แพร่กระจายจนโด่งดังไปทั่วโลกเลยล่ะครับ
รัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้มีการสร้างอนุสรณ์สถานที่ฮิโรชิมาให้กับซาดาโกะโดยเฉพาะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการรำลึกถึงการสูญเสียในเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูของญี่ปุ่น โดยมีคำจารึกที่แทนความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างว่า
1
“นี่คือคำขอร้องจากพวกเรา นี่คือคำภาวนาจากพวกเรา ขอสันติภาพจงเกิดแก่โลกนี้”
1
และไม่ใช่แค่ญี่ปุ่นเท่านั้น สหรัฐอเมริกาก็ได้มีการสร้างอนุเสาวรีย์ของซาดาโกะที่เมืองซีแอตเทิลเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันตภาพและการต่อต้านระเบิดปรมาณูเช่นกัน
1
ผู้คนต่างยกให้ซาดาโกะ ซาซากิ กลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความหวัง...
1
ทุกท่านครับ นี่คือเรื่องราวของชีวิตเล็กๆในเศษเสี้ยวของสงคราม...
ชีวิตที่ต้องการเพียงความปกติและความฝันที่ล้ำค่า...
ชีวิตที่ต้องอยู่ด้วยความหวังที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง...
ชีวิตที่ได้รับผลที่เลวร้ายที่สุดจากสงครามที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อ...
1
ผมอยากให้ทุกท่านจดจำเรื่องราวของชีวิตเล็กๆนี้เอาไว้เพื่อเป็นบทเรียนที่สำคัญกับเราว่า...
“ผลลัพธ์ของสงคราม คือ ความโหดร้าย ความโศกเศร้า และน้ำตา
แต่ผลลัพธ์ของสันติภาพ คือ ความสงบสุข ความสวยงาม และรอยยิ้ม”
1
แต่ทว่าผมก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า ผู้คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้นั้น ต้องการน้ำตาหรือรอยยิ้มกันแน่?
1
ภาพจาก Hiroshima-navi (อนุสรณ์ซาดาโกะที่ฮิโรชิมา)
ภาพจาก Flickr (อนุเสาวรีย์ซาดาโกะที่ซีแอตเทิล สหรฐอเมริกา)
อ้างอิง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา