13 ก.ค. 2020 เวลา 12:07 • ประวัติศาสตร์
“ฝันร้ายของนานกิง” เรื่องราวของปีศาจที่ชื่อว่าทหารญี่ปุ่น
1
“ผมตัดหัวคน ทำให้อดอาหารตาย เผา ฝังทั้งเป็นกว่า 200 คน ไม่มีคำอธิบายอะไรกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป นอกจากว่าตอนนั้นผมได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วโดยสิ้นเชิง” นากาโทมิ ฮาคูโดะ
ในหน้าประวัติศาสตร์ ต่างมีโศกนาฏกรรมสังหารหมู่หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นไม่น้อย
Holocaust ฆ่าล้างชาวยิวของนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2...
ทุ่งสังหารและตวลสเลงของเขมรแดงในกัมพูชา...
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดาของฮูตูและทุชซี่...
การฆ่าล้างชาวโครแอตของชาวเซิร์บในยูโกสลาเวีย...
1
และที่ผมกำลังจะกล่าวถึง คือ การฆ่าล้างที่เกิดขึ้นในเมืองๆหนึ่ง
1
ความโหดร้าย...
ความรุนแรง...
ความป่าเถื่อน...
ความหดหู่...
ทุกท่านจะได้เห็นเรื่องราวของมนุษย์ที่กลายไปเป็นปีศาจ...
เรื่องราวของปีศาจที่ได้กระทำต่อมนุษย์...
และปีศาจที่สร้างฝันร้ายเหมือนดั่งนรกให้กับเมืองๆนั้น...
เมืองที่ชื่อว่า “นานกิง”
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง
ภาพจาก ภาพยนตร์ The City of the Death
***คำเตือน : เนื้อหาต่อไปนี้มีความรุนแรงและหดหู่ โปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล
ญี่ปุ่นหลังจากที่เข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ ซึ่งเป็นยุคที่เปรียบเสมือนการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น การปฏิรูปนี้ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติเอเชียที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พร้อมๆกับแนวคิดชาตินิยมแบบสูงปรี๊ดและความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และใน ค.ศ.1904 ญี่ปุ่นก็ขัดแย้งกับมหาอำนาจอย่างรัสเซีย จนเกิดเป็นสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และสิ่งที่น่าตกใจและทำให้ท่ัวโลกถึงกับเหวอคือ ญี่ปุ่นสามารถเอาชนะรัสเซียได้!
การชนะรัสเซียยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นเร่ิมฮึกเหิมพร้อมคิดว่า “พวกหัวทองก็ไม่เท่าไหร่นี่หว่า คอยดูเถอะ ซักวันพวกข้านี่แหละจะเป็นผู้ปลดปล่อยเอเชียจากพวกหัวทองทั้งหลาย!”
2
อีกทั้งต่อมา ญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นชาติที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งยิ่งทำให้ญี่ปุ่นฮึกเหิม แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจในที่สุด
และแล้วแผนการปลดปล่อยเอเชียก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง โดยญี่ปุ่นจะทำการบุกยึดเอเชียแล้วปลดปล่อยประเทศเหล่านั้นจากการเป็นอาณานิคม เสร็จแล้วก็รวมชาติเอเชียเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียวภายใต้วงศ์ไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา (ในทางทฤษฎีนั้นสวยหรูมากๆครับ แต่พอปฏิบัติแล้ว กลับกลายเป็นว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายที่ล่าอาณานิคมซะเอง!)
2
ว่าแล้วญี่ปุ่นก็เปิดฉากบุกเกาหลีและแมนจูเรียของจีน แล้วก็ตั้งแมนจูเรียเป็นประเทศที่ชื่อว่าแมนจูกัวใน ค.ศ.1933
และใน ค.ศ.1937 ญี่ปุ่นก็เริ่มทำการใหญ่ นั่นก็คือ บุกจีนแผ่นดินใหญ่ เกิดเป็นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ขึ้น
และนี่ คือจุดเริ่มต้นของการที่มนุษย์กำลังจะกลายเป็นปีศาจ...
ภาพจากChinaManchuria map (พื้นที่ประเทศแมนจูกัว โดยในแผนที่คือสีเขียว)
ญี่ปุ่นรุกและยึดเมืองต่างๆของจีนได้อย่างรวดเร็วมาก! เทียนสิน ปักกิ่ง ถูกตีแตกภายในไม่กี่เดือน แล้วกองทัพญี่ปุ่นก็ได้เคลื่อนเข้าไปบุกเซี่ยงไฮ้ต่อ
แต่ทว่า การบุกเซี่ยงไฮ้นั้นไม่ได้หมูแบบที่เทียนสินหรือปักกิ่ง...
เพราะจีนได้เตรียมทหารยันไว้ที่เซี่ยงไฮ้แบบสุดกำลัง ทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียทหารไปค่อนข้างมากเลยล่ะครับ และกว่าจะยึดแต่ละเขตแต่ละถนนได้ ก็หืดขึ้นคอสุดๆ! จนผ่านไป 3 เดือนญี่ปุ่นจึงยึดเซี่ยงไฮ้ได้ทั้งหมด
เหตุการณ์ที่เซี่ยงไฮ้ทำให้คำประกาศของญี่ปุ่นที่ประกาศไว้ว่า “จะบุกยึดจีนทั้งหมดให้ได้ภายใน 3 เดือน!” ต้องแตกสลายลง ทหารญี่ปุ่นที่ยึดในเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตของตัวเองก็พากันอารมณ์เสียแล้วคิดว่า “พวกเจ๊กที่อ่อนแอ เทคโนโลยีก็ล้าหลัง ทหารก็ไร้ระเบียบวินัย แต่ดันกล้าลองดีต้านทัพของจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่!”
ซึ่งว่ากันว่า ความโกรธและความแค้นของทหารญี่ปุ่นหลังยึดเซี่ยงไฮ้ได้นั้นพร้อมที่จะระเบิดออกมาตลอดเวลา และพวกเขาต่างคิดว่า “เมืองต่อไปนี่แหละ พวกเอ็งเจอดีแน่!”
2
ว่าแล้ว กองทัพญี่ปุ่นก็เริ่มเคลื่อนทัพไปเมืองที่เป็นเป้าหมายต่อไป
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีนที่ชื่อว่า “นานกิง”
และกองทัพญี่ปุ่นก็กำลังเดินทางไปที่นานกิง พร้อมกับความแค้นที่พกมาเต็มกระเป๋า...
ภาพจาก History (การฉลองชัยชนะของญี่ปุ่นที่เซี่ยงไฮ้)
การเสียเซี่ยงไฮ้ ทำให้เจียง ไคเช็คที่เป็นผู้นำตอนนั้นถึงกับต้องกุมขมับ และคิดไม่ตกว่า “จะอยู่ป้องกันนานกิงไว้ หรือว่าจะย้ายไปตั้งฐานในเมืองที่ปลอดภัยกว่า”
แล้วเจียงก็คิดออกครับ “งั้นก็ทำมันทั้งสองอย่างเลยแล้วกัน” ว่าแล้วก็ให้ถัง เซิงจื้อ ซึ่งเป็นมือขวา ให้อยู่บัญชาการป้องกันนานกิงให้ถึงที่สุด ส่วนตัวของเจียง จะทำการย้ายไปตั้งฐานอีกเมืองหนึ่ง
1
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ข้าราชการ ผู้มีฐานะทั้งหลายก็พากันขนข้าวของออกจากนานกิง และต้อนผู้คนที่อยู่ชานเมืองให้เข้ามาอยู่ในนานกิง พร้อมกับเผาทุกอย่างที่อยู่ชานเมืองและชนบท เพื่อไม่เหลืออะไรไว้ให้ทหารญี่ปุ่นได้ใช้ประโยชน์
2
ทหารประมาณ 90,000 คนได้เริ่มเข้ามาประจำการในนานกิง (แสดงให้เห็นว่าจีนพร้อมสู้ยิบตาสุดๆ) มีการขุดหลุมเพลาะ วางสายโทรศัพท์ใต้ดิน ขึงลวดหนาม วางปืนกล เรียกได้ว่าเปลี่ยนทุกที่ในนานกิงให้กลายเป็นสนามพร้อมรบ
แน่นอนครับว่า เมื่อเจอแบบนี้ คนที่มีเงินหรือมีโอกาส ก็จะพากันหนีออกจากนานกิง ซึ่งคนที่เหลืออยู่ในนานกิงนั้น คือ ทหาร เด็ก คนแก่ คนที่ไม่มีเงิน คนที่คิดว่าทหารญี่ปุ่นคงมีเมตตาไม่ทำอะไร และคนที่ไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงจากการหนี สู้อยู่ในเมืองคงปลอดภัยกว่า...
รวมๆแล้วมีคนที่เหลืออยู่ในนานกิงประมาณ 500,000 คน
และพวกเขาหารู้ไม่ว่าฝันร้ายกำลังจะถาโถมเข้ามาในอีกไม่ช้า...
1
ภาพจาก Pinterest (การทิ้งระเบิดทางอากาศในนานกิง ค.ศ.1937)
แล้วการต่อสู้ที่รอบๆเมืองนานกิงก็เริ่มขึ้น แน่นอนว่ากองทัพจีนโดนกองทัพญี่ปุ่นตีจนแตกกระเจิงภายในเวลาอันรวดเร็ว ตัวของถัง เซิงจื้อ ก็เริ่มเห็นถึงความต่างชั้นของกองทัพจีนและกองทัพญี่ปุ่น
1
ทหารจีนเหมือนไม่มีใจจะสู้ หนีตายกันจ้าละหวั่น ส่วนทหารญี่ปุ่นก็ไม่รู้จะฮึกเหิมไปไหน ไล่กวดทหารจีนเหมือนผู้ใหญ่ไล่กวดเด็กยังไงยังงั้น!
และแล้วก็มีคำสั่งมาจากเจียง ไคเช็คว่า ให้ถัง เซิงจื้อ ทิ้งกองทัพแล้วหนีออกมาจากเมืองซะ!
ซึ่งเมื่อทัพแนวหน้าของจีนถูกทำลายลง ถังก็ได้ให้มีการประกาศไปว่า “ถอยทัพซะ! ส่วนประชาชนให้รีบอพยพออกจากเมืองโดยด่วน!”
1
ภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เมืองทั้งเมืองก็ตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายแบบสุดขีด! ทหารบางส่วนวิ่งไปบอกให้ทุกคนถอย ซึ่งผู้ได้ยินคำสั่งก็ได้ถอย แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ได้ยินคำสั่ง เพราะไม่มีใครบอก เนื่องจากมีแต่คนที่ต้องการเอาตัวเองให้รอด แล้วจึงเกิดการเข้าใจผิดเมื่อผู้บังคับบัญชาเห็นทหารคนอื่นๆถอย เลยคิดว่าพวกนั้นหนีทัพ จึงสาดปืนกลเข้าใส่พวกเดียวกัน ตายเป็นร้อยๆคนเลยล่ะครับ!
อีกทั้งประตูทางออกของเมืองต่างแออัดยัดเยียด เพราะมีผู้คนอพยพถาโถมเข้ามาเพื่อต้องการออกจากเมือง จนมีการเหยียบกันตายเกิดขึ้น!
2
ยิ่งตอนที่จะขึ้นเรือเพื่อหนีก็วุ่นวายไม่แพ้กัน เพราะมีคนกว่าหมื่นคนต่างตต่อสู้แย่งชิงกัน ถึงขนาดมีการฆ่ากันตายเพื่อแย่งกันขึ้นเรือ!
เรียกได้ว่า คนจีนในนานกิงก็ได้ฆ่ากันเองไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะเข้ามา...
ภาพจาก Facing History and Ourselves (กองทัพญี่ปุ่นเข้าสู่นานกิง)
แล้วในที่สุด ทหารญี่ปุ่นก็ได้ยกทัพเข้าสู่นานกิง เหล่าคนจีนที่ยังคงติดอยู่ในเมืองก็พากันกระตือรือร้นเปิดบ้านต้อนรับผู้มาเยือน (หวังว่าผู้มาเยือนนี้จะมีเมตตา) มีการส่งเสียงโห่ร้องเชียร์กองทัพที่เดินเข้ามา แต่แล้วเสียงโห่ร้องนั้นก็กลายเป็นเสียงกรีดร้องไปในทันที...
เมื่อทหารญี่ปุ่นทำการกราดยิงคนจีนทุกคนที่ขวางทาง ในเวลาไม่กี่นาทีก็มีศพเกลื่อนกราดอยู่เต็มถนน
หลังจากนั้นก็มีการจับทหารจีนที่เหลือกว่า 70,000 คน แบ่งเป็นกลุ่มๆ ซึ่งทหารจีนก็ยินยอมแต่โดยดี เหล่าทหารญี่ปุ่นต่างตกใจกับท่าทีของทหารจีนสุดๆ พร้อมว่า “พวกนั้นยอมเป็นเชลยสงครามได้ยังไงกัน เพราะกองกำลังที่มีอยู่นั้นมากกว่าสองกองพันซะอีก ถ้าพวกนั้นลุกขึ้นมาสู้ กองทัพของเราคงถูกทำลายจนราบคาบ”
หรือ “ดูไม่เหมือนศัตรูที่เราสู้เมื่อวานนี้เลย นี่มันเรื่องบ้าจริงๆ ที่เราเคยสู้กับพวกทาสโง่ๆนี่จนสุดฤทธิ์มาก่อน!” (บันทึกของอสุมะ ชิโร)
จากนั้นก็นำเชลยทหารจีนที่แบ่งเป็นกลุ่มไปสังหารที่ภูเขามู่ฝู่จนเกลี้ยง!
1
เมื่อจัดการกับทหารเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือเพียงแค่พลเรือนจำนวนเกือบครึ่งล้านเท่านั้น
และปัญหามันอยู่ที่ “กองทัพญี่ปุ่นจะเอาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงคนจำนวนมหาศาลขนาดนี้ ตามชานเมืองและชนบทก็โดนเผา (โดยทหารจีน)ในเมืองก็แทบจะไม่เหลืออะไร ถ้ามัวแต่เลี้ยงคนจีนอยู่แบบนี้ คงใช้เวลา 10 ปีในการยึดจีนได้ทั้งหมด”
1
ในที่สุดจึงมีคำสั่งจากเบื้องบนของญี่ปุ่นส่งมาที่นานกิง โดยใช้รหัสว่า “ความลับ ต้องทำลาย” ซึ่งความหมายที่แท้จริง คือ “ฆ่าทุกคนที่จับได้!”
โดยเบื้องบนนั้นคิดว่าการที่จะแก้ปัญหาเรื่องอาหารได้ ก็แค่ฆ่าพวกเชลยซะ! อีกอย่างคือเป็นการตัดปัญหาเรื่องเชลยจะลุกขึ้นตอบโต้ในภายหลังด้วย เรียกได้ว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะครับ...
และแล้ว นรกบนดินก็ได้เริ่มขึ้น...
1
ภาพจาก ABC (การสังหารเชลยของทหารญี่ปุ่น)
เริ่มต้นคือ ทหารญี่ปุ่นได้ทำการไปเคาะหน้าประตูบ้านให้คนจีนเปิดออกมาเพื่อต้อนรับ ซึ่งพอเจ้าของบ้านเปิดออกมา ทหารญี่ปุ่นก็จะสาดกระสุนเข้าไปทันที
ต่อมาก็มีการใช้ปืนกล ปืนพก ปืนเล็กยาว ยิงชาวจีนตามถนนแบบไม่เลือกหน้าไม่ว่าเด็กหรือคนแก่ โดนยิงเรียบ!
มีการบุกเข้าไปเก็บแต่ละบ้านๆ ประมาณว่าหากทหารญี่ปุ่นเห็นคนจีนที่ไหน ก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง ยิงทิ้งลูกเดียว ซากศพคนจีนก็กองอยู่เต็มพื้นถนน คูคลอง แม่น้ำ ทำให้เมืองทั้งเมืองถูกย้อมไปด้วยเลือด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหล่าทหารญี่ปุ่นต่างคิดว่า “วิธีฆ่าแบบนี้เริ่มไม่เวิร์คแล้วล่ะ เพราะเปลืองกระสุน เราควรเก็บกระสุนไว้ใช้ตอนรบจะดีกว่า”
ดังนั้น จึงเกิดการฆ่าแบบใหม่ที่วิปริตผิดมนุษย์ยิ่งกว่าเดิม!
ไม่ว่าจะเป็นการจับชาวจีนมาเป็นกลุ่มๆให้เป็นเครื่องมือลองดาบ มีการตัดหัว คว้านตับไตไส้พุง กระทั่งสับเป็นชิ้นๆ...
2
หรือการจับชาวจีนมาฝังทั้งเป็น โดยการบังคับให้ชาวจีนกลุ่มแรกขุดหลุม แล้วให้ลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดนั่นแหละ จากนั้นชาวจีนกลุ่มที่สองจะเป็นคนขุดหลุมฝังชาวจีนกลุ่มแรกไปเรื่อยๆ...
2
หรือการจับชาวจีนจำนวนมากตอกไว้กับไม้แล้วนอนแผ่ จากนั้นก็ให้รถถังแล่นทับ...
2
หรือการเผาทั้งเป็น โดยการผลักคนจีนจำนวนมากลงไปในหลุม เทน้ำมันราดแล้วจุดไฟ...
และอีกมากมายสารพันวิธีที่ทหารญี่ปุ่นต่างสรรหามา ทั้งการจับชาวจีนแช่ในน้ำกรด เสียบร่างทารกด้วยดาบปลายปืน หรือแม้กระทั่งให้สุนัขรุมกัด...
3
เรียกได้ว่า ทหารญี่ปุ่นได้กลายเป็นปีศาจไปเรียบร้อยแล้วล่ะครับ เพราะการฆ่าให้ตายเฉยๆยังไม่สาแก่ใจ แต่ยังมีการเล่นสนุกอย่างการทรมานเข้ามาด้วย หรือแม้กระทั่งมีการแข่งขันกันฆ่าเกิดขึ้นอีกด้วย!
การแข่งขันกันฆ่านั้นได้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ “เจแปน เวอร์ไทเซอร์ ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม” ซึ่งมีเนื้อหาว่า “เรือตรีมูคาอิ โทชิอาขิ และเรือตรีโนดะ ทาเคชิ ได้เข้าร่วมแข่งขันกระชับมิตร เพื่อจะดูว่าใครสามารถใช้ดาบประจำตัวฆ่าเจ๊กได้ถึง 100 คนก่อนกัน!”
เรียกได้ว่ามีการเขียนสนุกสนานหยั่งกับเป็นข่าวกีฬาเลยล่ะครับ...
ผู้ชายต่างโดนฆ่าแบบทรมานต่างๆนานา แต่ผมบอกได้เลยว่า สิ่งที่ผู้ชายเจอเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ผู้หญิงในนานกิงต้องเจอ...
ภาพจาก Reddit (รอยยิ้มทหารญี่ปุ่นท่ามกลางซากศพชาวจีนในนานกิง)
การข่มขืนในนานกิง ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เลื่องลือเป็นอย่างมากในความโหดและหดหู่ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สาว หรือคนแก่ ก็ต่างไม่พ้นเงื้อมมือทหารญี่ปุ่นเหล่านี้ โดยผู้หญิงคนหนึ่งจะตกไปอยู่ในมือทหารกว่า 10-20 คน!
จริงๆแล้วกองทัพมีการประกาศอย่างเคร่งครัดว่า “ห้ามข่มขืนผู้หญิงฝ่ายตรงข้าม” แต่ทหารญี่ปุ่นส่วนมากดันมีความเชื่อว่า การได้ข่มขืนหญิงที่บริสุทธิ์นั้นช่วยเพิ่มพลังในการรบ! ซึ่งความเชื่อนี้มาจากไหนก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
1
ดังนั้น กฎที่ว่า “ห้ามข่มขืน” ยิ่งส่งผลที่โหดร้ายยิ่งกว่านั้น นั่นคือ หลังจากทหารญี่ปุ่นข่มขืนผู้หญิงเหล่านั้นเสร็จแล้ว ก็มักจะฆ่าเหยื่อทิ้งซะ! พร้อมบอกว่า “ตอนข่มขืนเราก็เห็นเป็นผู้หญิงอยู่หรอก แต่พอถึงตอนฆ่า เราก็เห็นเป็นแค่หมูตัวนึง” (บันทึกของอสุมะ ชิโร)
ทหารญี่ปุ่นข่มขืนผู้หญิงแบบไม่เลือกหน้า ไล่ตั้งแต่ชาวนา นักเรียน ครู คนงาน อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งคนท้องและแม่ชี! ซึ่งพบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ถูกเรียงคิวจนตาย (คนท้องบางคนโดนขว้านท้องแล้วเอาลูกน้อยออกมา)
1
ไม่ใช่แค่ไม่เลือกหน้าเท่านั้น แต่ไม่เลือกเวลาอีกด้วย คนที่รอดมาได้เล่าว่า “พวกทหารจับผู้หญิงได้ก็ข่มขืนเธอกลางแจ้ง กลางถนนนั่นแหละ”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกวัน...
วันละ 24 ชั่วโมง...
1
เรียกได้ว่า ไม่มีชั่วโมงไหนเลยที่ผู้หญิงชาวจีนจะไม่โดนทหารญี่ปุ่นข่มขืน...
แน่นอนครับว่าเหตุการณ์การข่มขืนในนานกิงก็หลุดออกไปสู่โลกภายนอก ประเทศตะวันตกต่างก็ตะลึงและประณามญี่ปุ่น ผู้บังคับบัญชาจึงแก้ปัญหาเพื่อหยุดเสียงประณามเหล่านั้น โดยการสร้างซ่องขนาดใหญ่ขึ้นมาในนานกิง!
โดยซ่องที่สร้างขึ้นมา เรียกว่า “บ้านผ่อนคลาย” ซึ่งได้มีการหลอกล่อ ซื้อขาย และลักพาตัวผู้หญิงจากทั่วเอเชียทั้งจีน เกาหลี ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียมาที่ซ่องแห่งนี้ เพื่อปกปิดตัวเลขผู้หญิงที่ถูกทหารญี่ปุ่นข่มขืนในนานกิง
มีการประมาณการกันไว้ว่าจำนวนผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในนานกิงอาจมีตั้งแต่ 20,000-80,000 คนเลยทีเดียวครับ!
และนี่คือนรกที่แท้จริง...
ไม่มีที่ไหนในนานกิงที่ปลอดจากการฆ่าและการข่มขืนเลย...
ภาพจาก ResearchGate (ชะตากรรมของผู้หญิงและเด็กในนานกิง)
จากเหตุการณ์วิปริตที่เกิดขึ้นในนานกิง ก็มีหลายคนที่ตั้งข้อสงสัยครับว่า “อะไรที่ทำให้ทหารญี่ปุ่นเปลี่ยนตัวเองจากมนุษย์ไปเป็นปีศาจ?”
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนงงไปตามๆกันว่า ด้วยคาแรกเตอร์ของคนญี่ปุ่นที่ทั้งสุภาพและมีมารยาท มันไม่น่าจะเกิดการฆ่าและทรมานอย่างวิปริตขนาดนี้ อีกทั้งคนจีนก็ไม่ได้ไปทำอะไรให้คนญี่ปุ่นเกลียดขนาดนั้น...
แล้วก็มีคนที่ตั้งสมมติฐานครับว่า “ที่เป็นแบบนี้เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อในความชาตินิยมสุดโต่ง และเชื่อว่าเผ่าพันธุ์ของตัวเองคือเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่และดีเลิศที่สุด เพราะเป็นเผ่าพันธุ์ของเทพเจ้า และคนญี่ปุ่นก็มีเทพเจ้าอยู่กับตัวเองนั่นคือ จักรพรรดิญี่ปุ่น ดังนั้น คนญี่ปุ่นจึงมองเผ่าพันธุ์อื่นโดยเฉพาะคนจีนว่าต้อยต้ำเหมือนมดปลวก” (คล้ายกับกรณีของนาซีที่มองอารยันคือเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนยิวและสลาฟ คือเผ่าที่ต้อยต่ำเหมือนมดปลวก)
ซึ่งสมมติฐานนี้มันหลอมรวมกับนิสัยของคนญี่ปุ่นที่หากเชื่ออะไรแล้ว ก็จะเชื่อแบบหัวลิ่มทิ่มประตู!
เหตุนี้จึงเกิดเป็นอาชญากรรมที่นานกิงขึ้นมาในที่สุด
1
อาชญากรรมที่ได้คร่าชีวิตผู้คนกว่า 300,000 คน
ภาพจาก supChina
หลังสงครามจบลง แล้วญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้นั้น อาชญากรสงครามต่างก็ถูกพิพากษาโทษไปตามๆกัน แต่รอยแผลที่พวกเขาได้ฝากไว้กับนานกิงก็ยากที่จะฟื้นขึ้นมาดังเดิม
ไม่ต้องแปลกใจเลยครับว่า ทำไมคนจีนถึงเกลียดหรือเคืองญี่ปุ่นมาจนถึงปัจจุบัน
5
ที่ผมเล่าเรื่องราวที่นานกิงนี้ ไม่ได้ต้องการสร้างความแตกแยกหรือให้ทุกท่านเกลียดญี่ปุ่น
4
เพราะการกระทำของคนญี่ปุ่นรุ่นทวดหรือรุ่นปู่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนญี่ปุ่นในรุ่นนี้
คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในนานกิงก็แทบล้มหายตายจากไปเกือบหมดแล้ว...
ความแค้นมีแต่จะสร้างกลไกที่ทำให้เกิดนานกิงภาค 2 ขึ้นมาเท่านั้น...
ผมเพียงต้องการให้มีการสร้างความเข้าใจ พร้อมเรียนรู้ในกลไกว่ามันได้สร้างโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร...
และได้เปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปีศาจได้อย่างไร...
เพื่อที่เราจะหยุดไม่ให้กลไกนั้นได้ทำงานอีกครั้ง...
และเพื่อไม่ให้เรื่องราวแบบนานกิงเกิดขึ้นอีกในอนาคต...
1
การรำลึกถึงโศกนาฏกรรมนานกิงของจีนใน ค.ศ.2017
อ้างอิง
Chang, Iris. The Rape of Nanking : The Forgotten Holocaust of World War II, Basic Books, 2014.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา