20 มิ.ย. 2020 เวลา 11:25 • ข่าว
ECONOMY : Goldman Sachs ปรับเพิ่มระดับคาดการณ์ราคาทองคำหลังจากตลาดเริ่มมีความกังวลในเรื่องการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ขณะที่การออกพันธบัตรระดับ Junk Bonds เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์
แม้จะโดนเทขายอย่างหนักหน่วงไปบ้างนับตั้งแต่เกิดการระบาดขึ้นมา แต่ราคาทองคำก็พุ่งกลับมาสู่ระดับเดิมได้อย่างรวดเร็ว
ล่าสุดนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ได้ออกมาให้การสนับสนุนว่าราคาทองคำสามารถไปต่อได้อีกมาก เนื่องจากความกังวลเรื่องการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์เริ่มปรากฎขึ้นในตลาดแล้ว
(ปัจจุบันราคา Gold Spot ปิดตลาดในวันศุกร์ที่ระดับ 1743 $/Oz)
ในบันทึกของ Goldman Sachs ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระบุว่าบริษัทได้ทำการปรับเพิ่มระดับคาดการณ์ราคาทองคำในอีก 3, 6 และ 12 เดือนข้างหน้าเป็น 1800, 1900 และ 2000 $/Oz ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1600, 1650 และ 1800 $/Oz
นักวิเคราะห์ของบริษัทกล่าวว่าการตัดสินใจครั้งล่าสุดนั้นเกิดจากสาเหตุความขัดแย้งระหว่างปัญหาความมั่งคั่งที่ลดลงในประเทศตลาดเกิดใหม่ และความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว
แม้ว่าในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา การนำเข้าทองจากอินเดียจะลดลงถึง 99% และธนาคารกลางรัสเซียก็ได้ประกาศที่จะหยุดซื้อทองคำเข้าคลังชั่วคราว หลังจากเกิดวิกฤตน้ำมันในช่วงแรก ๆ
แต่สำหรับภาพรวมทั่วโลกนั้น Demand ทองคำเหรียญในปัจจุบันเทียบกับช่วงต้นปีเพิ่มขึ้นถึง 30% ขณะที่สัดส่วนการถือครองทองคำในกองทุน ETF ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019
1
นอกจากนี้ Jeff Currie หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์ของ Goldman Sachs ยังได้กล่าวว่าทองคำนั้นมีปริมาณ Demand แอบแฝงที่ไม่ปรากฎในตลาดอีกมาก
Comment : โดยส่วนใหญ่แล้ว Demand แอบแฝงพวกนี้มักจะมี Volumes มหาศาลเสียด้วย เพราะมาจากเสี่ยกระเป๋าตุงที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนให้โลกรู้ หรือไม่ต้องการให้มีบันทึกซื้อขายของตัวเองอยู่ในระบบ ด้วยเหตุผลซับซ้อนต่าง ๆ นา ๆ มากมายครับ
"ขณะที่เรากำลังถกเถียงกันในเรื่องแนวโน้มของ Demand ทองคำนั้น มันก็ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่ามันสามารถเติบโตได้ดี โดยได้รับแรงหนุนจากความกังวลเรื่องการเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดิน"
"Long-term tailwinds, short term headwinds"
(แนวโน้มระยะยาวคือขาขึ้น ส่วนแนวโน้มระยะสั้นคือขาลง)
ทางฝั่ง James Steele หัวหน้านักวิเคราะห์โลหะมีค่าของ HSBC กล่าวว่า
"ทองคำไม่สามารถจะถูกฉุดลงไปได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ในการตอบโต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงของมัน"
"ไม่ว่าจะเป็นการก้าวไปในทิศทางใด การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้างจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ปัจจัยพื้นฐานซึ่งขับเคลื่อนราคาทองคำนั้นก็คือสภาพแวดล้อมที่ให้ผลตอบแทนต่ำ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง สุดท้ายคือผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อต่อราคาทรัพย์สินในอนาคต"
ขณะที่ราคาทองคำอาจร่วงลงได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ HSBC ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นสำคัญซึ่งจะช่วยสนับสนุนราคาทองคำในอนาคตต่อไป โดยเฉพาะการฟื้นตัวทั่วโลก ท่ามกลางสภาวะความเสี่ยงสูง
"หากตัวเลขการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น หรือแม้แต่ในอนาคตที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ จากรัฐบาลกลางหมดอายุลง มันอาจทำให้ทองคำขยับตัวครั้งใหญ่"
อนึ่งแล้ว นโยบายกระตุ้นครั้งประวัติการณ์จาก ECB และ BOE ก็ถือเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนราคาทองคำในอนาคต ซึ่งล่าสุดนี้ ECB และ BOE ก็เพิ่งประกาศมาตรการอัดฉีดเงิน (Q.E.) เพิ่มเติมอีก 8.41 และ 1.25 แสนล้านดอลลาร์ โดยสำหรับ BOE นั้นอัดฉีดมาเพื่อซื้อพันธบัตรล้วน ๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยความไม่สงบระหว่างอินเดียและจีน รวมถึงเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้เพิ่มเข้ามาเสริมทัพให้แก่ Demand ทองคำอีกด้วย
"ทั้ง 2 ประเทศนี้คือประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในเอเชีย และยังเป็นผู้นำเข้าทองคำรายใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเมื่อมีความเสี่ยงทางด้านการเมืองเพิ่มขึ้น ก็อาจทำให้เกิดการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเช่นกัน"
"ทองคำอาจทรุดตัวลงในระยะสั้น แต่ควรจะคงระดับไว้ใกล้ ๆ 1700 $/Oz เนื่องจากเรามองว่ามีความเสี่ยงเพียงพอสำหรับทองคำในปี 2020 นอกจากนี้เรายังมองว่า Silver จะมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทองคำอีกทีหนึ่ง"
ขณะเดียวกันนี้ บริษัทหลายแห่งในสหรัฐฯ ต่างก็กำลังเร่งหากระแสเงินสดเพิ่มเติมในช่วงที่เกิดการระบาด ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดความวุ่นวายมากเป็นประวัติการณ์ในตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐฯ
หลังจากที่ FED ประกาศว่าจะเข้าซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนโดยตรง CEO ของบริษัทต่าง ๆ ก็ไม่รอช้า รีบปรับใช้มาตรการออกพันธบัตร (หุ้นกู้) จำนวนมหาศาลทันที (เพราะรู้ว่า FED จะเข้ามาซื้ออยู่แล้ว) จึงทำให้มูลค่าการออกตราสารหนี้ทั้งหมดเพิ่มขึ้น 4.55 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนนี้
บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาเงินในตอนนี้เนื่องจากพวกเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าโอกาสนี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคลื่นลูกที่ 2 ของการระบาดเกิดขึ้น ขณะที่ Wall Street ได้เตือนให้บริษัทต่าง ๆ ในอเมริการีบหาเงินสดให้ได้มากที่สุด ในระหว่างที่ยังทำได้
"เป็นระยะเวลาเพียง 3 เดือนที่ตลาดความเสี่ยงสูงในสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาจากสภาพที่แตกหัก หลังจากรัฐบาลกลางอนุญาตให้บริษัทเหล่านั้นค้ำประกันหนี้ของตัวเองด้วยมาตรการที่ผ่อนคลายในอัตราที่สูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน"
มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลและ FED ได้ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทเหล่านี้ลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นการเปิดทางให้บริษัทสามารถเพิ่มเงินสดใน Balance Sheets และสามารถค้ำประกันหนี้ระยะสั้นเพื่อขยายระยะเวลาครบกำหนดออกไปได้อีก
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา