16 ก.ค. 2020 เวลา 11:42 • ประวัติศาสตร์
“อัฟกานิสถาน” วันวานที่เคยสวยงาม
เทือกเขาสูงสวยงามที่ตั้งตระหง่านลับขอบฟ้า...
2
ผู้คนเดินขวักไขว่ใช้ชีวิตอย่างสงบริมแม่น้ำ...
กรุงคาบูลที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีศิวิไล...
2
พระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุดในโลกมองดูน่าศรัทธาและเกรงขามท่ามกลางหุบเขาบามิยัน...
3
แสงอาทิตย์สาดส่องอย่างอบอุ่นลงบนแผ่นดินแห่งสันติภาพ...
4
แต่แล้ว ทุกสิ่งก็พลันหายไป...
1
เทือกเขาสูงกลับเต็มไปด้วยเสียงปืนและระเบิด...
4
ผู้คนวิ่งหนีตายด้วยความโกลาหล...
3
กรุงคาบูลที่ห้อมล้อมไปด้วยฝุ่นควันและซากปรักหักพัง...
1
พระพุทธรูปยืนพังทลายลงมาสู่พื้นดิน...
3
และแสงอาทิตย์สาดส่องอย่างแรงกล้าบนแผ่นดินแห่งความวิปโยค...
1
แผ่นดินที่ฟุ้งกระจายไปด้วยความขัดแย้ง...
การเข้ามาของโซเวียต...
สงครามกลางเมือง...
สหรัฐอเมริกาและ CIA...
นักรบมุจาฮิดีน...
ความโหดร้ายของตาลีบัน...
และนี่ คือเรื่องราว “อัฟกานิสถาน” วันวานที่เคยสวยงาม
1
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ภาพจาก The New York Times
อัฟกานิสถาน เป็นดินแดนที่ประกอบไปด้วยภูเขาและทะเลทรายกระจัดกระจายไปทั่ว และที่สำคัญเป็นประเทศ Landlock คือไม่มีทางออกทะเล ซึ่งในสมัยโบราณดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่รุ่งเรืองและคึกคักมากครับ เพราะเป็นเส้นทางการค้าทางบกที่สำคัญมาก ที่เรียกว่า เส้นทางสายไหม
3
ดังนั้น อัฟกานิสถานจึงเปรียบเสมือนดินแดนที่เชื่อมอารยธรรมตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกันนั่นเอง...
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว อัฟกานิสถานจึงถูกหมายปองจากคนอื่นๆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซีย กรีก จีน อินเดีย มองโกล และเติร์ก ทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็นดินแดนที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมค่อนข้างสูง จึงทำให้เกิดการตีกันแย่งขึ้นเป็นใหญ่ในดินแดนแห่งนี้อยู่ตลอด
1
โดยชาติพันธุ์ในอัฟกานิสถานแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่...
พัชตุน เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถานซึ่งมีจำนวนกว่า 40% และเป็นกลุ่มที่เป็นใหญ่ในอัฟกานิสถาน มีสถานภาพสูงสุด และนับถืออิสลาม นิกายซุนหนี่
2
ทาจิก มีจำนวนรองลงมาจากพัชตุน ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับพัชตุนเลยล่ะครับ และทาจิกนับถืออิสลาม นิกายซุนหนี่เช่นเดียวกัน
2
ฮาซารา เป็นกลุ่มคนที่โดนเหยียดและดูถูกที่สุด เพราะต่ำต้อยและยากจน อีกทั้งยังนับถืออิสลาม นิกายชีอะห์
2
อุซเบก เป็นกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากเติร์ก
1
ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ก็ตีกันแย่งชิงดินแดนนอัฟกานิสถานตั้งแต่โบราณ
2
จนในที่สุด ค.ศ.1747 ก็มีผู้ที่สามารถรวบรวมอัฟกานิสถานให้เป็นหนึ่งเดียวได้ นั่นคือ อาห์หมัด ชาฮ์ ดูรานี (ซึ่งเป็นพัชตุน)
1
แต่เป็นปึกแผ่นได้ไม่ทันไร อัฟกานิสถานก็ตกเป็นรัฐอารักขาของอังกฤษ (ไม่ใช่อาณานิคมนะครับ) เพราะอังกฤษต้องการใช้อัฟกานิสถานเป็นรัฐกันชนระหว่างตัวเองกับรัสเซีย ซึ่งกว่าอังกฤษจะออกไปจากอัฟกานิสถานก็ใน ค.ศ.1919
3
หลังอังกฤษออกไป อัฟกานิสถานก็มีการสถาปนาระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีกษัตริย์คือ ซาฮีร์ ชาร์
2
ซึ่งซาฮีร์ ชาร์ เรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศให้มีความศิวิไลแบบตะวันตก ทำให้อัฟกานิสถานเมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1960 นั้นเจริญสุดๆเลยล่ะครับ
3
อุตสาหกรรมรุ่งเรือง...
บ้านเมืองทันสมัย...
ธุรกิจร้านค้าเฟื่องฟู...
ชายหญิงมีสิทธิเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการศึกษาเท่าเทียมกัน...
2
แต่ทว่า การเดินตามแนวทางของตะวันตกแบบซาฮีร์ ชาร์ ได้ทำให้คนบางกลุ่มเริ่มไม่พอใจเพราะคิดว่า “แนวทางแบบตะวันตกมันไม่เหมาะกับประเทศอย่างอัฟกานิสถานหรอก!”
1
ภาพจาก Demilked (อัฟกานิสถานยุค 1960s)
ภาพจาก Daily Mail (อัฟกานิสถานยุค 1960s)
ภาพจาก NK Time (กรุงคาบูลยุค 1960s)
ดังนั้น จึงมีการโจมตีการปกครองของซาฮีร์ ชาร์ อยู่เรื่อยๆ จนในที่สุด ค.ศ.1973 ดาวูด ข่าน ก็ได้ทำการยึดอำนาจโค่นล้มบัลลังก์ซาฮีร์ ชาร์ แล้วเปลี่ยนอัฟกานิสถานเป็นสาธารณรัฐ ส่วนซาฮีร์ ชาร์ ก็ได้หนีหัวซุกหัวซุนลี้ภัยไปอิตาลี
1
ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้น สงครามเย็นกำลังดุเดือดเลยล่ะครับ โซเวียตก็พยายามแผ่อิทธิพลของตัวเองเข้ามาในอัฟกานิสถาน ซึ่งดาวูด ข่าน ก็กลัวคอมมิวนิสต์จะล้มล้างตัวเอง จึงพยายามหาพันธมิตรอย่างปากีสถานและอิหร่าน เพื่อมาคานอำนาจโซเวียต
1
ฝ่ายโซเวียตเมื่อเห็นท่าทีของดาวูด ข่าน ก็เลยสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในอัฟกานิสถานที่นำโดย นูรโมฮัมหมัด ตารากี
จนใน ค.ศ.1978 พรรคคอมมิวนิสต์ก็ได้โค่นล้มรัฐบาล แล้วดาวูด ข่าน พร้อมครอบครัวก็โดนเก็บเรียบ!
2
คราวนี้แหละครับ อัฟกานิสถานก็ได้เข้าสู่ยุคความวุ่นวายอย่างแท้จริง
พอตารากีเข้ามาเป็นรัฐบาล พื้นฐานคนอัฟกันที่เป็นมุสลิมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คอมมิวนิสต์กับอิสลามมันไปด้วยกันไม่ได้หรอกโว้ย!”
ชาวอัฟกันส่วนใหญ่จึงพากันต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ถึงขนาดมีการรบกันจนเลือดตกยางออก จนในที่สุดกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่นำโดยอามิน ก็โค่นล้มรัฐบาลของตารากี แล้วตารากีพร้อมครอบครัวก็โดนเก็บจนเรียบเช่นเดียวกัน! (โค่นกันไปโค่นกันมา...)
3
ทางโซเวียตเมื่อเห็นแบบนั้นก็หัวร้อนสิครับ “อัฟกานิสถานจะเป็นคอมมิวนิสต์อยู่แล้ว แต่พวกเอ็งดันมาขัดแข้งขัดขากัน ช่วยไม่ได้ งั้นตูจะออกโรงเองแล้วกัน!”
ว่าแล้วก็ส่งทัพอากาศไปถล่มฐานของรัฐบาลอามินจนราบคาบ พร้อมกับให้กองทัพแดงกรีธาทัพเข้าสู่อัฟกานิสถานเพื่อถล่มพวกต่อต้านคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ.1979 แล้วตั้งให้บับรัก คามัล เป็นรัฐบาลหุ่นเชิด
2
กลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ก็พากันโวยวายสิครับว่า “โซเวียต เอ็งมีสิทธิ์อะไรมาปกครองประเทศนี้!” แล้วพากันจัดตั้งกองกำลังเพื่อรบกับโซเวียต
และแล้วอัฟกานิสถานก็ได้ถลำลึกเข้าสู่วังวนแห่งสงครามที่ยากจะถอนตัวออกมาซะแล้ว...
ภาพจาก Wall Street Journal (กองทัพแดงบุกอัฟกานสถานใน ค.ศ.1979)
เมื่อโซเวียตเข้ามา เหล่าผู้คนที่แบ่งเป็นก๊กๆและเคยตีกันในอดีต ต่างพร้อมใจแล้วบอกว่า “พวกเราเลิกตีกันแล้วมาจับมือกันเพื่อไล่ไอ้พวกคอมมิวนิสต์โซเวียตออกไปจากดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กันเถอะ!”
1
ซึ่งความวุ่นวายยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะมหาอำนาจอีกขั้วอย่างสหรัฐอเมริกาที่แต่ก่อนไม่ได้สนใจใยดีอะไรอัฟกานิสถาน แต่พอเห็นโซเวียตเข้าไปมีอิทธิพล อเมริกาจึงทำการปลุกปั่นมุสลิมทั่วโลกให้เข้ามาทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อขับไล่คอมมิวนิสต์ออกไปจากแผ่นดินอัฟกานิสถาน
2
กองกำลังต่อต้านโซเวียตจึงมีการจัดตั้งเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “มุจาฮิดีน” ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมนักรบมุสลิมทั้งในอัฟกานิสถานและมุสลิมจากทั่วทุกมุมโลก (ที่ต่างทนไม่ได้เมื่อเห็นพี่น้องมุสลิมในอัฟกานิสถานต้องถูกคอมมิวนิสต์ยึดครอง)
1
ซึ่งมุจาฮิดีนนั้นได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาในเรื่องอาวุธ อีกทั้งอเมริกายังให้ CIA มาฝึกนักรบเหล่านี้เพื่อไปรบกับโซเวียต
3
และแล้วอัฟกานิสถานก็เข้าสู่สงครามกลางเมืองที่ทั้งวุ่นวายและโกลาหล เศรษฐกิจของประเทศเริ่มพังพินาศ กองทัพแดงก็เข้าถล่มพวกต่อต้านแบบไม่ปรานี (ซึ่งหลายครั้งก็ถล่มแบบไม่เลือกหน้าว่าเป็นพลเรือนหรือกลุ่มต่อต้าน)
5
เหล่ามุจาฮิดีนที่ฝึกกับ CIA มาแล้ว ก็ตอบโต้ ทั้งลอบสังหาร ก่อวินาศกรรม และทำสงครามกองโจร
1
ชาวอัฟกันส่วนมากก็อยู่ไม่ได้ จึงพากันอพยพออกนอกประเทศกันมหาศาลเลย โดยเฉพาะตรงพรมแดนปากีสถาน...
2
ส่วนในอัฟกานิสถาน รัฐบาลบับรัก คามัล ที่โซเวียตตั้งขึ้นมาเป็นรัฐบาลหุ่นเชิด ก็อ่อนแอเกินไป ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย เมื่อไร้ประโยชน์โซเวียตก็เลยปลดออก แล้วตั้งโมฮัมหมัด นาญีบุลเลาะห์ เป็นรัฐบาลแทน ซึ่งก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้เหมือนเดิม...
สงครามครั้งนี้ทำให้โซเวียตสูญเสียทั้งเงินและกำลังคนไปมหาศาลมาก จนใน ค.ศ.1985 มิคาอิล กอร์บาชอฟ ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำโซเวียต โดยมิคาอิลนั้นคิดว่า “สงครามในอัฟกานิสถานไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้โซเวียตเลย สู้เอาเงินที่เสียไปในสงครามมาพยุงเศรษฐกิจของโซเวียตจะดีกว่า!” ว่าแล้วก็มีการประกาศแผนปฏิรูปที่เรียกว่า กลาสนอสต์และเปเรสทรอยก้า
6
แต่ทว่า การปฏิรูปของมิคาอิลดูหมือนจะสายเกินไปซะแล้วล่ะครับ เมื่อเปเรสทรอยก้าไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจของโซเวียตให้ฟื้นขึ้นมาได้ เหล่าประเทศที่อยู่ภายใต้โซเวียตก็พากันประท้วงแล้วแยกตัว
1
โซเวียตที่กำลังแย่จึงตัดสินใจถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานจนหมดใน ค.ศ.1989 (หลังจากนั้น 2 ปี โซเวียตก็ได้ล่มสลายลง)
1
พอโซเวียตออกไปใช่ว่าเรื่องจะจบครับ เพราะรัฐบาลของนาญีบุลเลาะห์ยังอยู่ เหล่ามุจาฮิดีนก็ผนวกกำลังกันโค่นล้ม จนใน ค.ศ.1992 มุจาฮิดีนที่นำโดยเบอร์นา ฮุดดิน ร็อบบานี ก็โค่นรัฐบาลลงได้ แล้วเข้ายึดกรุงคาบูล จากนั้นร็อบบานีก็ตั้งตัวเองขึ้นเป็นผู้นำประเทศ
3
เรื่องคงจบได้สวยครับ ถ้ากลุ่มของร็อบบานี เป็นชาวพัชตุน ซึ่งปัญหามันเกิดที่กลุ่มนี้ดันเป็นกลุ่มของชาวทาจิก...
4
มุจาฮิดีนพัชตุน ที่คิดว่าตัวเองมีสถานภาพสูงสุดก็ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของพวกทาจิกสิครับ ดังนั้นจึงผนวกกำลังกันโค่นล้มรัฐบาลของร็อบบานี! (โค่นกันไปมากี่รอบแล้วเนี่ย!)
6
สงครามกลางเมืองก็เริ่มขึ้นอีกครั้งแบบไม่จบไม่สิ้นซักที มุจาฮิดีนแต่ละกลุ่มที่ในอดีตสามัคคีกันเหมือนพี่น้องร่วมสู้กับกองทัพแดง แต่ในตอนนี้กลับแตกเป็นก๊กเป็นเหล่า ฆ่ากันเองเป็นว่าเล่นเพื่อแย่งชิงอำนาจ
4
ท่ามกลางความวุ่นวายของสงครามกลางเมือง ก็ได้มีมุจาฮิดีนกลุ่มหนึ่งผงาดขึ้นมา
3
โดยพวกเขาจะเป็นผู้ที่สยบสงครามกลางเมือง...
1
พวกเขาจะสร้างยุคที่น่าสะพรึงที่สุดในอัฟกานิสถาน...
1
และพวกเขาจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนอัฟกานิสถานไปตลอดกาล...
1
โดยชื่อของพวกเขา คือ ตาลีบัน
1
ภาพจาก Wikipedia (กรุงคาบูล ค.ศ.1992)
ตาลีบันมีผู้นำ คือ มุลลาห์ โมฮัมหมัด โอมา และสมาชิกของกลุ่ม คือ นักศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนา มีอายุเพียง 14-24 ปีเท่านั้น! โดยสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เคยต่อสู้มาก่อน แต่รู้จักวิธีใช้ปืนเป็นอย่างดี
2
สมาชิกตาลีบันได้ดื่มด่ำคำสอนของอัลกุรอาน จนมีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะสยบสงครามกลางเมือง แล้วปกครองประเทศอย่างสงบด้วยกฎหมายชารีอะห์ (กฎหมายอิสลาม)
2
ตาลีบันได้กลายเป็นฮีโร่ขึ้นมาจากการช่วยผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปโดยมุจาฮิดีนกลุ่มหนึ่ง โดยตาลีบันได้ถล่มฐานของกลุ่มนั้นอย่างราบคาบพร้อมปลดปล่อยผู้หญิงเหล่านั้นให้เป็นอิสระ
3
หลังจากนั้นตาลีบันก็กลายเป็นขวัญใจมหาชนเลยล่ะครับ ตัวของโอมาเห็นโอกาสก็ทำการโฆษณาอุดมการณ์ของตัวเองว่าต้องการสร้างรัฐอิสลามที่มีแต่ความสงบสุขปราศจากสงครามขึ้นมา
1
เหล่าผู้ที่ศรัทธาในตาลีบันก็พากันเข้าร่วมและสนับสนุนสร้างความฝันในการสถาปนารัฐอิสลามอันสงบสุข จนทำให้กองกำลังของตาลีบันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นลำดับต้นๆใน ค.ศ.1994 แล้วตาลีบันก็ทำการสยบมุจาฮิดีนกลุ่มอื่นๆให้อยู่แทบเท้า
3
และใน ค.ศ.1996 ตาลีบันก็เข้ายึดกรุงคาบูลได้ โค่นล้มรัฐบาลร็อบบานี พร้อมกับจับนาญิบุลเลาะห์ (คนที่เคยเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของโซเวียต) แขวนคอประจานกลางกรุงคาบูล
1
ในที่สุดตาลีบันก็สามารถหยุดสงครามกลางเมืองของอัฟกานิสถานได้...
แล้วตาลีบันก็จัดตั้งรัฐบาลของตัวเองขึ้น พร้อมนำกฎหมายชารีอะห์เข้ามาใช้ในการสร้างรัฐอิสลาม
แต่ทว่า มันกลับไม่ใช่รัฐอิสลามอันสงบสุขแบบที่ตาลีบันเคยขายฝันไว้ในตอนแรกเลยน่ะสิครับ...
ภาพจาก The Indian Express (มุลลาห์ โมฮัมหมัด โอมา ผู้นำตาลีบัน)
การตีความกฎหมายชารีอะห์ของตาลีบัน ดูเหมือนจะสุดโต่งและห่างไกลจากแนวทางที่แท้จริงของอิสลามไปมากเลยล่ะครับ
หลังจากที่จัดตั้งรัฐบาลแล้ว ตาลีบันก็ได้ทำการออกประกาศกฎของตัวเองตามท้องถนน
“ห้ามมีงานกีฬา มหกรรม หรืองานรื่นเริงใดๆทั้งสิ้น หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
1
“ห้ามผู้หญิงทุกคนทำงานใดๆ หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
“โรงเรียนที่สอนผู้หญิงต้องปิดทั้งหมด และนักเรียนนักศึกษาผู้หญิงที่กำลังเรียนอยู่ให้ลาออก หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
“ห้ามแพทย์และพยาบาลที่เป็นผู้หญิงทำงานในโรงพยาบาล หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
2
“ห้ามผู้หญิงได้รับการรักษาใดๆจากแพทย์ที่เป็นผู้ชาย หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
“ผู้ชายทุกคนต้องไว้หนวดและเครา ห้ามโกนเด็ดขาด หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
“ผู้หญิงต้องสวมเสื้อผ้าที่เรียกว่า เบอร์กา เพราะสามารถคลุมร่างได้ทั้งหมดตั้งแต่ศีรษะถึงข้อเท้า เหลือไว้เฉพาะตาข่ายตรงตาให้มองเห็นเท่านั้น หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
“ห้ามผู้หญิงออกจากบ้านตามลำพัง จะออกไปได้ต้องมีญาติผู้ชายไปด้วยเท่านั้น หากฝ่าฝืนพวกคุณจะโดนเฆี่ยนตี”
ฯลฯ
2
ซึ่งกฎหมายชารีอะห์ของตาลีบัน เรียกได้ว่ากดขี่สุดๆไปเลยล่ะครับ โดยเฉพาะผู้หญิงที่โดนกดซะจมดิน! ไม่ว่าจะเป็นการต้องสวมเบอร์กาที่มิดชิด หากเห็นข้อเท้าโผล่มาเพียงแวบเดียว จะถูกเฆี่ยนตีทันที!
2
หรือหากผู้หญิงป่วยก็ต้องนอนรอความตายเพียงอย่างเดียว เพราะห้ามแพทย์ที่เป็นผู้ชายรักษา ส่วนแพทย์ผู้หญิงก็ห้ามทำงาน (แล้วจะไปรักษาไหน?)
2
และโทษที่ถือว่าเลวร้ายที่สุดของพวกตาลีบัน คือ การปาหินจนตาย! (จะมีการเอานักโทษลงไปในหลุมกลางสนามโผล่มาแค่ช่วงอกหรือหัว แล้วให้คนรุมปาหิน) ซึ่งการตัดสินนี้จะเป็นข้อหาจำพวกคบชู้ ฆ่าคน (แต่หากตาลีบันไม่พอใจใครก็ยัดข้อหาได้เสมอ)
3
อีกทั้งผลงานที่โดดเด่นและโด่งดังไปทั่วโลกของตาลีบัน คือ การบอมบ์พระพุทธรูปสูงที่สุดในโลกที่อยู่ในหุบเขามาบิยัน ซึ่งพระพุทธรูปนี้ถือว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สูงมาก และได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก ซึ่งจากการบอมบ์พระพุทธรูปทิ้งของตาลีบัน ทำให้นานาชาติต่างประณามและสนใจอัฟกานิสถานมากยิ่งขึ้น
4
แต่รัฐบาลตาลีบันก็ถือว่ามีอำนาจที่มั่นคงมาก จนกระทั่งการมาของชายคนหนึ่ง
1
ชายที่ชื่อว่า โอซามา บิน ลาเดน
2
ภาพจาก Foreign Policy (ผู้หญิงอัฟกันในยุคตาลีบัน)
ภาพจาก Imgur (ภาพเปรียบเทียบอัฟกานิสถานยุค 1960s และ 2014)
โอซามา บิน ลาเดน นั้นเป็นหนึ่งในนักรบมุจาฮิดีนที่รบในช่วงโซเวียตปกครองอัฟกานิสถาน พอโซเวียตออกไปจึงเดินทางกลับประเทศตัวเองคือ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งภายหลังก็ได้โดนอเมริกาตามล่าและหมายหัว เพราะไปก่อวินาศกรรมกับทหารอเมริกัน ตัวของโอซามาจึงหนีมาพึ่งเพื่อนเก่าที่เคยร่วมรบกันมาที่อัฟกานิสถาน นั่นคือ กลุ่มตาลีบัน
2
ตาลีบันก็ให้โอซามา มากบดานที่อัฟกานิสถาน พร้อมสนับสนุนกองกำลังที่โอซามาจัดตั้งขึ้น คือ อัลเคดา ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่สร้างเครือข่ายโยงใยไปทั่วโลก
และแล้วในวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.2001 ที่สหรัฐอเมริกา ผู้ก่อการร้ายได้นำเครื่องบินพาณิชย์ 4 ลำพุ่งเข้าชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์จนถล่มลงมา และตึกเพนตากอนเสียหายส่วนหนึ่ง ส่วนอีกเครื่องบินอีกลำนั้นตกกลางทาง ซึ่งเป็นวินาสกรรมที่สร้างความตกใจและตะลึงให้กับทั่วทั้งโลกเลยล่ะครับ
จากความตกใจก็กลายเป็นความโกรธแค้น ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้เล็งไปที่อัลเคดา ซึ่งในตอนแรกนั้นอัลเคดาออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นฝีมือตัวเอง แต่ภายหลังก็ออกมายอมรับว่าเป็นฝีมือของตัวเอง...
8
บุช จึงขู่ตาลีบันว่า “ส่งเพื่อนของพวกเอ็งมาซะ ไม่งั้นตูจะส่งกองทัพเข้าถล่มทั้งเอ็งทั้งเพื่อนให้ราบพนาสูญไปเลย!”
1
ซึ่งตาลีบันก็ไม่แคร์ต่อคำขู่ของอเมริกา ยังคงนิ่งเฉยต่อไป
2
อเมริกาจึงทำการประกาศ “สงครามต่อต้านก่อการร้าย” แล้ววันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.2001 ก็ทำการส่งกองทัพเข้าไปถล่มทั้งตาลีบันและอัลเคดาในอัฟกานิสถาน
1
จากแสนยานุภาพสุดโหดของอเมริกา ทำให้ในเวลาเพียง 2 เดือน ก็สามารถโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันลงได้ ซึ่งถือเป็นจุดจบของยุคตาลีบันอันน่าสะพรึงไปในที่สุด
1
ทั้งตาลีบันและอัลเคดาก็พากันหนีกระจัดกระจายไปหลบซ่อนตามภูเขา ซึ่งอเมริกาก็ไม่จบเพียงแค่นั้นเพราะยังไม่ได้ตัวโอซามา บิน ลาเดน จึงทำการปูพรมค้นหาต่อไป
4
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สหรัฐอเมริกานั้นเข้ามามีอิทธิพลและจัดระเบียบในอัฟกานิสถาน พร้อมกับเจอความวุ่นวายที่ไม่จบไม่สิ้น...
2
ภาพจาก The Conversation (วินาศกรรม 911)
ถึงแม้รัฐบาลตาลีบันจะโดนโค่นล้มไปแล้ว แต่อัฟกานิสถานใช่ว่าจะสงบสุขครับ เพราะตาลีบันนั้นยังปราถนาที่จะกลับมาฟื้นอำนาจตัวเองและสร้างรัฐบาลขึ้นมาใหม่
จึงมีการก่อวินาศกรรมโดยตาลีบันที่อัฟกานิสถานอยู่เป็นประจำ อีกทั้งรัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาใหม่ก็อ่อนแอ เจอภัยก่อการร้าย บวกกับไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พังไปแล้วของประเทศขึ้นมาได้ใหม่ จึงทำให้อัฟกานิสถานเป็นแหล่งกบดานขององค์กรก่อการร้ายข้ามชาติ และเป็นหนึ่งในประเทศที่อันตรายที่สุดในโลก
1
ถึงแม้สหรัฐอเมริกาและ UN จะพยายามเข้ามาฟื้นฟู แต่ก็โดนภัยการก่อการร้ายขัดขวางต่างๆนานา (อีกทั้งก็ไม่ได้มีการฟื้นฟูที่จริงจัง เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการตามล่าอัลเคดา)
อเมริกาก็ไม่ยอมให้ผู้ก่อการร้ายฟื้นอำนาจ...
2
รัฐบาลอัฟกานิสถานก็อ่อนแอเกินไปที่จะปกครองและฟื้นฟูเศรษฐกิจ...
ตาลีบันก็ยังคงพยายามก่อวินาศกรรมและเตรียมกำลังเข้าโค่นล้มรัฐบาลอยู่ตลอด...
กลุ่มก่อการร้ายต่างเติบโตอยู่ในอัฟกานิสถาน...
2
สงครามยังคงดำเนินต่อไป...
อัฟกานิสถานจนปัจจุบันก็ยังไม่พบความสงบที่แท้จริง...
1
ดินแดนที่ในอดีตเคยสงบและสวยงาม...
1
กลับโดนความแตกต่างและความไม่เข้าใจทำลายความสงบและความสวยงามนั้น...
อีกทั้งการเข้ามาของมหาอำนาจยิ่งทำให้ดินแดนนี้หลุดเข้าไปในวังวนแห่งความขัดแย้ง...
สร้างสงครามในการแย่งชิงอำนาจกันไม่รู้จักหมดสิ้น...
แต่พอสงครามจบก็ดันเข้าสู่ห้วงแห่งความกดขี่และน่าสะพรึงกลัว...
และถึงแม้ห้วงแห่งความกดขี่จะผ่านไป กลับต้องวนลูปมาที่สงครามแย่งชิงอำนาจเช่นเดิม...
สุดท้ายแล้วเราคงต้องเฝ้ารอดูเพียงว่า...
ภาพความสงบและความสวยงามของอัฟกานิสถานจะกลับคืนมาอีกครั้ง...
หรือภาพเหล่านั้นจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตที่ไม่มีทางหวนกลับมาอีกเลย...
1
และนี่ คือเรื่องราว “อัฟกานิสถาน” วันวานที่เคยสวยงาม
1
ภาพจาก Gov.uk
อ้างอิง
Gohari, M.J. The Taliban : Ascent to Power. New York : Oxford University Press, 2001.
Peabody, Nancy and Newell, Richard S. The Struggle for Afghanistan. United Kingdom : Cornell University Press, 1981.
Rashid, Ahmed. Taliban : The Story of the Afghan Warlords. London : Pan books. 2001.
Watkins, Mary Bradley. Afghanistan : Land in Transition, 1963.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา