30 ก.ค. 2020 เวลา 12:51 • ประวัติศาสตร์
“มองโกล” มัจจุราชแห่งทุ่งหญ้าเอเชีย
ดวงอาทิตย์สาดส่องกระทบกองทัพดำทะมึน...
สะท้อนทั้งผืนหญ้า หมวกเหล็กกล้าและเกราะอ่อนอันแข็งแกร่ง...
เสียงกีบเท้าม้านับหมื่นกระทบราวกับเสียงสายฟ้ากัมปนาท...
ดาบ หอก และทวนโค้งเหมือนจันทร์เสี้ยวตวัดลงอย่างว่องไว...
1
ลูกศรจากหลังม้าพุ่งไปมาผ่านอากาศแล้วเข้าเป้าอย่างแม่นยำ...
นักรบและม้าศึกบดขยี้ศัตรูอย่างรวดเร็วไร้ปรานี...
“มองโกล” คือ ชื่อที่คนในศตวรรษที่ 13 ได้ยินแล้วล้วนพากันขนหัวลุก...
1
ชื่อที่สามารถควบคุมแผ่นดินครึ่งโลกให้สยบอยู่แทบเท้า...
ชื่อของอาณาจักรและกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุดในยุคสมัยนั้น...
เจงกีสข่าน...
1
โอไกโดข่าน...
มองเคข่าน...
กุบไลข่าน...
1
ทัพม้าอันโหดเหี้ยม...
1
การบุกยุโรปและจีน...
1
กลยุทธ์สยบแผ่นดินกว่าครึ่งโลก...
2
และนี่ คือเรื่องราว “มองโกล” มัจจุราชแห่งทุ่งหญ้าเอเชีย
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
มองโกล เป็นชื่อของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่แถบทุ่งหญ้าทางเหนือของจีนและทางใต้ของไซบีเรีย ซึ่งคนมองโกลที่ว่านี้มีสายเลือดที่ผสมกันระหว่างยุโรปและเอเชีย (เพราะหน้าตาต่างจากคนเอเชียทั่วไปและมีผมสีน้ำตาลอ่อน)
ในช่วงศตวรรษที่ 11 มองโกลเป็นเพียงเผ่าเล็กๆจืดๆ ที่โดดเด่นแค่การเลี้ยงสัตว์กับขี่ม้า แต่ประชากรยังน้อย อาณาจักรก็ไม่มี อีกทั้งในบริเวณที่ตัวเองอยู่ยังมีเผ่าอื่นๆอีกหลายเผ่าแย่งชิงอำนาจความเป็นใหญ่กัน
1
มองโกลเริ่มห้าวขึ้นมาในสมัยผู้นำที่ชื่อกาบุลข่าน โดยเริ่มมีการไปตีกับเผ่าอื่นเพื่อแย่งพื้นที่เลี้ยงสัตว์ แต่สุดท้ายกาบุลข่านก็โดนเผ่าตาตาร์จับส่งไปจีนแล้วโดนประหาร
ผู้นำคนต่อมาคือ เยซูไก ซึ่งได้รวบรวมกลุ่มคนเร่ร่อนให้อยู่ภายใต้มองโกล ทำให้มองโกลเริ่มมีประชากรมากขึ้น และเมื่อถึงวัยแตกหนุ่ม เยซูไกก็ได้ออกตามล่าหาภรรยา แล้วก็ดันไปถูกใจฮูหลั่นที่เป็นภรรยาของผู้นำเผ่าเบี้ยฉีเข้า เยซูไกก็เลยฉุดแย่งฮูหลั่นมาเป็นของตัวเองซะเลย!
1
หัวหน้าเผ่าเบี้ยฉีอุทานอย่างเจ็บแค้น “เอ็งกล้ามาก!” เลยไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าตาตาร์ แล้วเข้าถล่มมองโกล...
2
แต่การถล่มมองโกลก็ไม่ใช่กล้วยๆเหมือนในอดีตแล้ว เพราะตอนนี้เผ่ามองโกลเริ่มใหญ่ขึ้น ซึ่งสุดท้ายเยซูไกก็ถล่มเผ่าเบี้ยฉีและตาตาร์คืน แล้วจับผู้นำเผ่ามาประหารจนเกลี้ยง!
คราวนี้แหละครับ มองโกลจึงเริ่มกลายเป็นมหาอำนาจของดินแดนแถบนี้ขึ้นมาเรื่อยๆ
และต่อมาเยซูไกกับฮูหลั่นก็ได้มีลูกชายด้วยกัน แล้วได้ตั้งชื่อให้ลูกชายคนนี้ว่า “เตมูจิน”
ภาพจาก Panoramic Journey (คนมองโกล)
แต่แล้วเยซูไกก็โดนลอบฆ่าโดยเผ่าตาตาร์ที่กลับมาแก้แค้น! และเมื่อเยซูไกตาย ก็เกิดการแย่งอำนาจกันขึ้นในเผ่ามองโกล ซึ่งในที่ตระกูลไฮซูอู้ก็ยึดอำนาจได้ทั้งหมด เสร็จแล้วก็ถีบครอบครัวของเยซูไกออกจากเผ่า!
1
ครอบครัวของเยซูไกที่ถูกถีบออกมาต่างใช้ชีวิตอย่างลำบากพอสมควร โดยมีเตมูจินเป็นเสาหลักของครอบครัวคอยดูแลแม่และน้องๆ
3
เวลาผ่านไปเตมูจินก็เติบโตขึ้น ตระกูลไฮซูอู้รู้ข่าวก็กลัวว่าเตมูจินจะกลับมาแก้แค้น จึงส่งคนออกไปตามล่า ทำให้ครบครัวของเตมูจินยิ่งใช้ชีวิตลำบากขึ้นไปอีก เพราะต้องคอยหลบๆซ่อนๆ
จากการโดนตามล่าตลอดเวลา เตมูจินจึงตัดสินใจรวบรวมกลุ่มคนที่เร่ร่อนหรือนักโทษที่โดนเผ่าอื่นจับไป มาสร้างเผ่ามองโกลของตัวเองขึ้นมาใหม่จนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
และเมื่อถึงวัยแตกหนุ่มเตมูจินก็ได้แต่งงานกับบอร์เต้ แต่แล้วเหมือนเป็นกรรมที่เยซูไกทำไว้แล้วดันตกมาอยู่ที่ลูกแทน นั่นคือเผ่าเบี้ยฉีได้กลับมาแก้แค้นโดยฉุดบอร์เต้ไปจากเตมูจิน!
เตมูจินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จึงนำกองทัพไปถล่มเผ่าเบี้ยฉี แต่สุดท้ายกลับโดนเผ่าเบี้ยฉีถล่มกลับมาซะเอง!
1
แต่เตมูจินก็ไม่ยอมครับ “ตูต้องเอาเมียของตูกลับคืนมาให้ได้!” ว่าแล้วก็ไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าเคอเรอิตและเผ่าจาลาซึ่งหัวหน้าเผ่าทั้งสองนั้นสนิทสนมกับเตมูจิน ทั้งสามก็จับมือพากันไปรุมสหบาทาเผ่าเบี้ยฉีจนเละตุ้มเป๊ะ และเตมูจินก็ชิงตัวบอร์เต้กลับคืนมาได้ในที่สุด...
2
แต่ทว่า บอร์เต้ไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียวครับ แต่ดันมีลูกที่อยู่ในท้องกลับมาด้วย และต่อมาก็ได้คลอดออกมาเป็นเด็กชายที่ชื่อว่าโจชิ
ทั้งเตมูจินรวมถึงคนอื่นๆในเผ่าก็ต่างฉงนสงสัยไปตามๆกันครับว่า “โจชิเป็นลูกของเตมูจินหรือลูกของหัวหน้าเผ่าเบี้ยฉี?”
1
แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เตมูจินก็ยังยืดอกรับด้วยความภาคภูมิใจว่า “โจชิคือลูกชายคนแรกของข้า!” (ถึงแม้จะตะหงิดๆใจอยู่ก็เถอะ)
4
จากการชนะเผ่าเบี้ยฉีทำให้ชื่อเสียงของเตมูจินเริ่มโด่งดัง กลุ่มคนเร่ร่อนหรือเผ่าต่างๆเริ่มพากันมาสวามิภักดิ์
แต่แล้ว หัวหน้าเผ่าจาลาที่ชื่อว่าจาบูฮาก็อิจฉาตาร้อนว่า “ตูเป็นคนช่วยเตมูจินถล่มพวกเบี้ยฉีนะ เพราะฉะนั้นตูควรได้รับเครดิตสิโว้ย!”
แล้วทั้งคู่ก็เริ่มแตกหักกัน จนต้องรบกันเองในที่สุด ซึ่งเตมูจินก็แพ้ให้กับจาบูฮาจนต้องหนีไปอยู่กับหัวหน้าเผ่าเคอเรอิต
1
จาบูฮาเมื่อเห็นเตมูจินหนีไปก็หัวร้อนเต็มที่ จึงเอาเชลยมองโกลที่จับมาได้โยนลงหม้อแล้วต้มทั้งเป็นกว่า 70 คน!
ความเถื่อนของจาบูฮา ดันทำให้ทหารเผ่าจาลาเริ่มกลัวผู้นำตัวเองซะงั้น! เลยพากันหนีไปหาเตมูจิน ทำให้ฐานอำนาจของเตมูจินเริ่มกลับมาอีกครั้ง
1
จนในที่สุดในดินแดนทุ่งหญ้านี้ก็เหลือเพียงขั้วอำนาจ 2 จั้ที่หลงเหลืออยู่
คือ ขั้วอำนาจของเตมูจินกับหัวหน้าเผ่าเคอเรอิต และขั้วอำนาจของจาบูฮา
2
แล้ว 2 ขั้วอำนาจก็ทำการรบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว และแล้วจาบูฮาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้หนีหัวซุกหัวซุนไปในที่สุด
ทำให้ขั้วอำนาจในดินแดนอยู่ที่เผ่ามองโกลและเผ่าเคอเรอิต...
แต่ภายหลังจาบูฮาก็ได้กลับมาสี้ยมให้ทั้งสองเผ่านี้ตีกัน ซึ่งทำให้เผ่ามองโกลถูกเผ่าเคอเรอิตถล่มจนราบคาบ ทำให้เตมูจินต้องหนีหัวซุกหัวซุน (อีกแล้ว)
แม้จะแทบไม่เหลืออะไรแล้ว แต่เตมูจินก็ไม่ยอมถอดใจครับ ทำการรวบรวมมองโกลที่แตกกระจัดกระจายไป สร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่แล้วทำการแก้แค้นถล่มเผ่าเคอเรอิตจนราบคาบเช่นเดียวกัน
จากนั้น เตมูจินก็ตีรวบรวมเผ่าอื่นๆที่เหลืออยู่ให้มาอยู่ภายใต้มองโกลได้สำเร็จ แล้วคิดว่า “ควรจะสร้างอาณาจักรขึ้นมาเป็นของตัวเองซักที เพื่อความเป็นระเบียบมากกว่านี้”
ว่าแล้วเตมูจินก็ยกเลิกกฎของเผ่าต่างๆทั้งหมด แล้วทำการตรากฎหมายขึ้นมาเพียงหนึ่งเดียว แล้วบอกว่า “ต่อไปนี้ทุกชนเผ่าต้องใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้เท่านั้น!”
4
แล้วเตมูจินก็ทำการสร้างอาณาจักรมองโกลขึ้นมา พร้อมสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำที่ชื่อว่า
“เจงกิสข่าน”
ภาพจาก Quora (เจงกิสข่าน)
หลังจากที่สร้างอาณาจักรมองโกลขึ้นมาได้แล้ว เตมูจินที่ในตอนนี้เป็นเจงกีสข่าน ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีก นั่นคือ การขยายอาณาจักรของตัวเองออกไปให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม!
และเป้าหมายที่ว่า คือ จีน ดินแดนที่อยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรมองโกลนั่นเองครับ
แล้วก็ไม่พูดพล่ำทำเพลง เจงกีสข่านก็ได้ส่งทัพมองโกลเข้าถล่มจีนทางตอนเหนือ และด้วยความต่างชั้นของกองทัพ ทำให้มองโกลสามารถยึดจีนทางตอนเหนือได้อย่างรวดเร็ว!
เรียกได้ว่า ทัพมองโกลเริ่มเข้าสู่ช่วงพีค ทหารมองโกลมีการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้มีระเบียบวินัยสูงมาก อีกทั้งอย่างที่เคยเล่าไปว่ามองโกลเก่งเรื่องเลี้ยงสัตว์และขี่ม้า ทำให้กำลังรบหลักของมองโกลคือทหารม้าที่มีการจู่โจมแบบรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
1
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเทคโนโลยีในการสร้างอาวุธและเกราะที่ล้ำหน้า ผนวกกับประสบการณ์การรบที่โชกโชน(เพราะก่อนหน้านี้ต้องรบกันเองอยู่ตลอดเวลา) โดยเฉพาะการยิงธนูบนหลังม้าที่เป็นความสามารถพิเศษอันล้ำเลิศที่มองโกลใช้พิชิตดินแดนอื่นๆมานักต่อนัก (ธนูของมองโกลมีคันศรที่ขนาดใหญ่กว่าปกติ วิสัยการยิงมากกว่า 600 ฟุต แถมเป็นธนูเจาะเกราะ)
4
และสิ่งที่โดดเด่นมากยิ่งกว่าอาวุธ คือมันสมองในการรบของทัพมองโกลที่เชี่ยวชาญและชอบสรรหากลยุทธ์ใหม่ๆมาบดขยี้ศัตรู
1
เช่น หากมองโกลจะเข้ายึดเมืองใดจะมีการประกาศ “หากยอมแพ้พวกเรามองโกลจะไว้ชีวิตชาวเมืองทั้งหมด แต่หากลุกขึ้นสู้มองโกลจะฆ่าพวกที่อยู่ในกำแพงเมืองทั้งหมดไม่เว้นผู้หญิง เด็กและคนแก่!” ซึ่งเป็นการข่มขวัญและเล่นกับจิตวิทยาจนทำให้เมืองนั้นๆยอมแพ้ไปเอง
1
และแน่นอนว่าถึงแม้จะยอมแพ้ แต่มองโกลก็ทำการปล้นฆ่าคนในเมืองอย่างโหดเหี้ยมไร้ปรานี
1
จีนทางตอนเหนือก็แทบลุกเป็นไฟและสยบอยู่แทบเท้าของเจงกีสข่าน
โดยจีนในขณะนั้นได้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งศูนย์กลางอำนาจจะอยู่ทางตอนใต้ซะมากกว่า ฮ่องเต้ได้ยินข่าวมองโกลก็เริ่มขนหัวลุกและเตรียมกองกำลังไว้เต็มที่
1
แต่ก่อนที่ทัพมองโกลจะบุกเข้าไปในจีนตอนใต้ ก็ดันเกิดโรคระบาดขึ้นในกองทัพซะก่อน ทำให้เจงกีสข่านต้องเรียกกองทัพให้กลับมาปักหลักใหม่ เพราะกลัวว่าหากรบต่อไปต้องแพ้แน่นอน ทำให้มองโกลยังไม่สามารถยึดจีนได้ทั้งหมด...
1
ภาพจาก FellowPrimo (ทหารมองโกล)
หลังการรบในจีน เจงกีสข่านก็หันกลับมาสนใจสร้างอาณาจักรตัวเองให้เจริญทันสมัย โดยมีการสร้างเมืองหลวงคือคาราโคลัม และถึงแม้ว่ามองโกลจะเป็นนักรบที่โหดเหี้ยม แต่เจงกีสข่านคิดว่าในเรื่องของวัฒนธรรมและวิทยาการ “มองโกลยังอ่อนหัดนัก!”
จึงมีการนำเข้าความรู้ ประเพณี วิทยาการ ปรัชญาและศาสนาจากดินแดนอื่นเข้ามาผสมแล้วยำรวมๆกัน สร้างวัฒนธรรมแบบผสมผสานขึ้นมา
และจากการพิชิตจีนตอนเหนือยิ่งทำให้มองโกลเริ่มมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น จนมีการขนานนามเลยล่ะครับว่า “คาราโครัมของอาณาจักรมองโกลเป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก”
1
เมื่อมั่งคั่งมากยิ่งขึ้น เจงกิสข่านก็เริ่มเบื่อที่จะขยายอาณาจักรด้วยการรบ จึงเปลี่ยนไปขยายด้วยการค้าแทน โดยเล็งไปที่จักรวรรดิคอเรสม์ที่อยู่ในเอเชียกลาง ซึ่งถือว่าเป็นจักรวรรดิมุสลิมที่ทรงอำนาจที่สุดในสมัยนั้น
1
ว่าแล้วก็ส่งทูตมองโกล 500 คน ไปหาผู้นำคอเรสม์ คือ สุลต่านโมฮัมหมัด ชาร์
แต่พอเดินทางไปถึงเมืองโอตราร์ เจ้าเมืองเห็นสมบัติที่ทูตมองโกลขนมาเลยเกิดความโลภ จึงทำการฆ่าทูตมองโกลทั้ง 500 คน แล้วฮุบสมบัติไว้เองจนเกลี้ยง!
2
เมื่อเจงกิสข่านรู้เข้าก็โกรธจนหน้าแดง แต่ยังคงใจเย็นแล้วส่งทูตไปเจรจากับสุลต่านอีกครั้งว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น...
แต่สิ่งที่เจงกิสข่านได้กลับมาคือ หัวของทูตที่ส่งไป! เจงกิสข่านจึงระเบิดออกมาเลยล่ะครับ “เจรจาดีๆไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง พวกเอ็งไม่ตายดีแน่!” ว่าแล้วก็ประกาศสงครามกับคอเรสม์ แล้วส่งกองทัพกว่า 200,000 คน เคลื่อนตัดผ่านเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งทัพม้าของมองโกลเดินทางได้รวดเร็วมาก โดยใช้เวลาไม่ถึงปีก็เดินทางถึงชายแดนของคอเรสม์!
2
และอย่างที่คิดครับ ทัพมองโกลได้บดขยี้ทัพของคอเรสม์อย่างไร้ปรานี โมฮัมหมัด ชาร์ ก็เริ่มกลัวขึ้นมาในทันที (ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆนะครับ) จึงทิ้งอาณาจักรแล้วหนีหัวซุกหัวซุนไปในที่สุด
ไม่จบเพียงแค่นั้นครับ เจงกิสข่านสั่ง “ทัพมองโกล อย่าปล่อยให้ไอ้คนที่ลองดีมันลอยนวล ถึงมันจะหนีไปสุดขอบโลกก็ตามล่ามันมาให้ได้!”
ทัพมองโกลจึงทำการตามล่าโมฮัมหมัด ชาร์อย่างเอาเป็นเอาตาย และระหว่างทางที่ตามล่าก็ทำการถล่มเมืองที่อยู่ตามทางจนเกลี้ยง ซึ่งการรบในครั้งนี้มองโกลได้นำเอาเครื่องยิงหินและดินปืนที่ได้จากจีนมาใช้ในการรบด้วย ทำให้สามารถถล่มกำแพงเมืองต่างๆได้อย่างง่ายดาย
1
และชะตากรรมของเมืองที่ถูกถล่มก็ไม่ต่างกันมาก ทั้งตึกรามบ้านช่อง ห้องสมุด มัสยิดถูกเผาจนเกลี้ยง คนมุสลิมก็ถูกจับมาฆ่าและทรมานแบบโหดเหี้ยมเพื่อล้างแค้นให้กับทูตของมองโกลที่ถูกฆ่า! ตัวของเจ้าเมืองโอตราร์ (คนที่ปล้นสมบัติและฆ่าทูต 500 คน) ก็ถูกจับไปให้เจงกิสข่าน ซึ่งไม่ตายดีจริงๆครับ เพราะโดนเจงกิสข่านเอาแท่งเงินมาหลอมเป็นน้ำแล้วกรอกใส่เบ้าตาทั้งเป็น!
2
ส่วนโมฮัมหมัด ชาร์ที่ถูกตามล่าล้างสุดขอบฟ้า ก็หนีตายไปเรื่อยๆจนสุดท้ายกลายเป็นคนตกอับและตายอยู่กลางทะเลทรายอย่างทรมาน...
การตามล่าโมฮัมหมัด ชาร์ของทัพมองโกลนั้นเหมือนเป็นการขยายดินแดนของมองโกลไปในตัว และในตอนนี้อาณาจักรมองโกลก็ได้ทั้งจีนตอนเหนือ เอเชียกลางและรัสเซียบางส่วนไปเรียบร้อย เรียกได้ว่า จากอาณาจักรได้กลายเป็นจักรวรรดิที่แทบคลอบคลุมได้ครึ่งโลกแล้วล่ะครับ...
1
ภาพจาก Chinasage (จักรวรรดิมองโกลในยุคเจงกิสข่าน)
หลังจากบุกแถบเอเชียกลางตามล่าล้างโมฮัมหมัด ชาร์ได้ประมาณ 5 ปี เจงกิสข่านก็เริ่มป่วยและตายลง ซึ่งถือเป็นการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของมองโกล อีกทั้งยังเป็นการสั่นสะเทือนไปทั่วจักรวรรดิเพราะหลังการจากไปของเจงกิสข่าน รุ่นลูกๆก็มีการโต้แย้งกันเรื่อง “ใครจะเป็นข่านคนต่อไป”
1
โต้แย้งกันไปกันมา ในที่สุดก็จบลงได้สวยครับ โดยผู้ที่ได้เป็นข่านคนต่อไปคือ โอไกโด ซึ่งเป็นลูกชายคนที่ 3 ของเจงกิสข่าน (คนที่เหลือยอมถอยเพื่อไม่ให้มีการเสียเลือดเนื้อ)
โอไกโดข่านเมื่อขึ้นมาปกครองแล้วจึงมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สุดๆ คือ การขยายจักรวรรดิให้กว้างใหญ่กว่าในสมัยพ่อของตัวเอง! และเป้าหมายของโอไกโดข่าน คือ รัสเซียและยุโรป...
และแล้วมหากาพย์การล่าดินแดนของมองโกลก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ทัพม้ามองโกลเคลื่อนกำลังเข้ากระหน่ำทางใต้ของรัสเซียอย่างรวดเร็ว และเป็นไปตามสเตป ไม่มีเมืองใดต้านทานมองโกลไว้ได้เลย ผืนดินทุกผืนที่มองโกลเหยียบย่ำล้วนกลายเป็นเถ้าธุลีและศพเกลื่อนกลาดตามรายทาง เมืองที่เคยรุ่งเรือง ปราสาทที่เคยตั้งตระหง่านก็ต่างถูกทำลายย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
3
เมืองเคียฟ ที่เป็นศูนย์กลางของรัสเซียก็พังพินาศลงอย่างรวดเร็วและง่ายดาย...
1
หลังจากนั้น ทัพมัจจุราชก็ย่ำเท้าเข้าสู่ยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ
คนยุโรปที่แทบไม่เคยรู้จักมองโกลมาก่อนต่างได้รับข่าวลือว่ามองโกลคือผีจากนรกที่ดุร้ายป่าเถื่อน! และมันเป็นไปตามข่าวลือจริงๆซะด้วยสิครับ ทัพมองโกลเข้าทำลายเมืองทุกเมือง ฆ่าคนทุกคนที่ขวางหน้า
2
คนยุโรปต่างไม่เคยพบเจอกองทัพที่แข็งแกร่ง โหดเหี้ยม มีอาวุธที่แปลกประหลาดมากมายอย่างธนูเจาะเกราะหรือปืนใหญ่
และถึงแม้จะเกิดโรคระบาดขึ้นอีกครั้งในกองทัพมองโกลเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในสมัยเจงกิสข่านบุกจีน แต่การบุกยุโรปครั้งนี้เหล่าแม่ทัพก็เกิดไอเดียแบบหฤโหดขึ้นมาว่า “เราก็ใช้โรคระบาดให้เป็นประโยชน์สิ!”
ว่าแล้วก็เอาศพคนที่ตายด้วยโรคระบาดใส่เครื่องยิงหินแล้วยิงเข้าไปในเมืองที่ล้อมไว้ กลายเป็นอาวุธชีวภาพไปซะอย่างงั้น! (บรรเจิดสุดๆ)
แล้วยุโรปตะวันออกก็สยบอยู่แทบเท้าของมองโกล
ทัพมองโกลจึงเตรียมพร้อมบุกเข้าสู่ยุโรปตะวันตก
1
แต่ทว่า ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทัพมองโกลต้องถอนตัวออกไปจากยุโรปซะก่อน นั่นคือ การตายอย่สงกะทันหันของโอไกโดข่าน
2
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้คนยุโรปที่เหลือ รอดตายจากเงื้อมมือกองทัพมัจจุราชไปได้ในที่สุดครับ...
ภาพจาก ringma (มองโกลบุกยุโรป)
หลังการตายโอไกโดข่าน ก็มีการตีกันแย่งอำนาจในรุ่นหลานของเจงกิสข่านถึงขั้นมีการนองเลือดเลยล่ะครับทีนี้
ซึ่งก็สูญเสียและสั่นคลอนจักรวรรดิพอสมควร แต่ในที่สุดหลานคนหนึ่งของเจงกิสข่านก็เป็นฝ่ายได้บัลลังก์ไปครองแล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็น “มองเคข่าน”
1
มองเคข่านนั้นมีนโยบายเหมือนกับข่านคนก่อนๆเลยครับ นั่นคือขยายจักรวรรดิ แต่ทีนี้มองเคข่านไม่ได้สนใจยุโรปแล้ว แต่กลับสนใจดินแดนแถบตะวันออกกลางและจีน
3
มองเคข่านจึงส่งกองทัพไป 2 สายคือ สายตะวันออกกลาง นำโดย ฮุเลกู และสายจีน นำโดย กุบไล ซึ่งทั้งสองคนเป็นน้องของมองเคข่าน
2
สายตะวันออกกลางนั้น ฮุเลกูนำทัพเข้าถล่มและยึดดินแดนแถบนั้นได้จนเกลี้ยง ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ตรงกันข้ามกับสายจีนที่นำโดยกุบไล ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า...
กุบไลซึ่งไร้ประสบการณ์ ทั้งยังเชื่องช้าอุ้ยอ้าย ชอบอยู่ในงานเลี้ยงมากกว่าที่จะอยู่ในสนามรบ ดังนั้น งานบุกยึดจีนจึงแทบไม่เดินหน้า
มองเคข่านจึงเรียกตัวกุบไลกลับมาด่าแบบไม่ไว้หน้า ซึ่งกุบไลก็ยอมรับผิดโดยไม่แก้ตัวและขอโทษขอโพยอย่างจริงใจ จนมองเคข่านใจอ่อนให้อภัยไม่ลงโทษกุบไล
3
เมื่อใช้น้องแล้วไม่ได้เรื่อง มองเคข่านจึงนำทัพบุกจีนด้วยตัวเอง แต่แล้วระหว่างที่บุกจีน มองเคข่านก็เกิดป่วยหนักแล้วตายกะทันหันเอาดื้อๆ! (อ้าว)
บัลลังก์มองโกลที่พึ่งจะมั่นคงก็เกิดรอยร้าวขึ้นอีกครั้ง มีการนองเลือดแย่งอำนาจกันเหมือนเดิม...
แต่แล้วในที่สุด กุบไลที่เป็นน้องไม่ได้เรื่องของมองเคข่านก็เป็นผู้ชนะในเกมชิงบัลลังก์นี้ แล้วสถาปนาตัวเองเป็น กุบไลข่าน...
ภาพจาก ZbrushCentral (ภาพจำลองกุบไลข่าน)
เมื่อกุบไลข่านขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้ตัดสินใจทำงานที่ตัวเองเคยทำล้มเหลวในอดีตอีกครั้ง นั่นคือ การบุกจีน
และในเวลา 2 ปี ทัพมองโกลของกุบไลข่านก็สามารถโค่นราชวงศ์ซ่งของจีนลงได้ในที่สุด...
1
ซึ่งเมื่อยึดจีนได้แล้ว กุบไลข่านก็เกิดอยากปกครองจีนด้วยตัวเองขึ้นมา จึงตั้งราชวงศ์หยวน แล้วตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ซะเลย!
และไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น กุบไลข่านยังส่งทัพไปถล่มและยึดเกาหลี อีกทั้งยังเลยไปที่ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่สามารถสยบญี่ปุ่นลงได้ เพราะ ทัพมองโกลดันโชคร้ายเจอไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ทำลายกองทัพจนเสียหายหนัก (ต่อมาคนญี่ปุ่นจึงเรียกลมนี้ว่า “คามิคาเซ่”) ทำให้กุบไลข่านต้องหยุดแพลนในการยึดญี่ปุ่นไว้แค่นั้นก่อน แล้วกางโปรเจคใหม่ขึ้นมานั่นคือ การสยบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1
กุบไลข่านจึงแผ่อิทธิพลของตัวเองเข้าไปในดินแดนแถบนี้ ทั้งการรบและการทูต ซึ่งในที่สุดด้วยพลานุภาพอำนาจของกุบไลข่านที่เป็นทั้งข่านและฮ่องเต้ ก็ทำให้ดินแดนเหล่านั้นยอมสวามิภักดิ์
อาณาจักรพุกาม...
อาณาจักรอันนัม...
อาณาจักรจามปา...
อาณาจักรสุโขทัย...
ฯลฯ
เรียกได้ว่า มองโกลในสมัยกุบไลข่านนั้นเป็นช่วงที่รุ่งเรืองและมีดินแดนมากที่สุดเลยล่ะครับ...
แต่ต่อมา ตั้งแต่สมัยของกุบไลข่าน ศูนย์กลางการปกครองของมองโกลเริ่มย้ายมาอยู่ที่จีนแทนคาราโครัม ทำให้จักรวรรดิมองโกลที่แท้จริงก็เริ่มเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ เพราะเหมือนข่านจะกลายไปเป็นฮ่องเต้มากกว่าจะเป็นข่าน
แน่นอนว่า เวลาผ่านไป เมื่อจักรวรรดิมองโกลเริ่มเสื่อม ดินแดนที่ใหญ่โตมโหฬารก็เริ่มแตกออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยไปปกครองตัวเองแทนที่จะอยู่ภายใต้มองโกล จนกลายเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก...
2
ภาพจาก Youngzine (จักรวรรดิมองโกล)
มองโกลที่ในอดีตเป็นเพียงชนเผ่าเร่ร่อน อ่อนแอ ทำได้แค่ขี่ม้าเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้าเอเชีย...
3
จนมีชายคนหนึ่งได้สร้างมองโกล แล้วทำการรวบรวมเผ่าต่างๆให้อยู่ภายใต้มองโกล...
ชายคนนั้นได้เปลี่ยนชนเผ่าเร่ร่อนให้กลายเป็นประชากรที่มีความศิวิไล...
ชายคนนั้นได้ขยายอาณาจักรจนกลายเป็นจักรวรรดิที่สยบดินแดนกว่าครึ่งโลกให้อยู่แทบเท้า...
3
จนรุ่นลูกและรุ่นหลานของเขาก็ยิ่งสร้างจักรวรรดิมองโกลให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม...
และพวกเขาได้ถูกจารึกเอาไว้ว่า
“เป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น”
“เป็นกองทัพที่โหดร้ายที่สุดในยุคนั้น”
หรือ
“เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น”
1
ทุกคำล้วนสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความรุ่งเรืองของมองโกลที่ในยุคสมัยหนึ่งเคยเป็นตัวละครและมหาอำนาจหลักที่ควบคุมโลกเอาไว้...
1
และนี่ คือเรื่องราว “มองโกล” มัจจุราชแห่งทุ่งหญ้าเอเชีย
ภาพจาก Amusing Planet
อ้างอิง
Bai Shouyi. An Outline History of China. China : Forein Languarges Press, 1982.
Briton, Crane. A History of Civilization. New Jersey : Printon-Hall Inc,1967.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา