14 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • การเมือง
เกิดมาครั้งหนึ่งอยากทำอะไรกับชีวิต?
จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของ หมอเอ้ก คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ ในการตัดสินใจเข้ามาทำงานด้านการเมือง
“ผมถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม คำตอบลึกๆคืออยากรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ผมไม่ได้คิดเรื่องตายไปต้องตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ ผมสนใจช่วงเวลาที่ยังตื่น ว่าคุณค่าคืออะไร”
#จุดเริ่มต้นของการสนใจการเมือง
ที่บ้านผมชอบคุยเรื่องการเมืองอยู่แล้ว แต่จุดที่ผมเริ่มอินการเมืองและรู้สึกคิดว่าอยากจะเข้ามาทำงานการเมืองจริงๆ ครั้งแรกคือช่วงปฏิวัติปี 49 ตั้งแต่สมัยผมเรียนมัธยมปลาย ผมเป็นคนประเภทที่ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ก่อนจะทำอะไรผมจะไม่รีบ ต้องคิดให้รอบคอบมากๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง ต้องวางแผนในระยะยาว มีข้อกำหนดอะไรบ้างที่ต้องเก็บก่อน เรื่องเงิน ความมั่นคงในชีวิต สำหรับผมหนึ่งเลยต้องจบเฉพาะทางให้ได้ สองต้องเป็นสิ่งที่ชอบและทำแล้วมีเวลาเหลือมาทำงานด้านการเมืองด้วย สามต้องมีรายได้มาจุนเจือดูแลครอบครัวได้
1
การเมืองในประเทศไทยหากต้องการการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในระยะยาว ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ อยากจะเริ่ม ก็เริ่มได้ทันที ถ้าหากทำงานการเมืองแล้ว ทำให้ครอบครัวลำบาก ผมก็ไม่อยากที่จะทำ แค่เข้ามาทำงานด้านการเมืองเฉยๆ คนรอบตัวก็ได้รับผลกระทบแล้ว โดนด่า โดนหาว่าเป็นสลิ่มบ้าง ด่าถึงพ่อแม่บ้าง (หัวเราะ) ดังนั้นเราต้องมีการเตรียมความพร้อม แผนบางแผนใช้เวลาเป็นเดือน แผนบางแผนใช้เวลาเป็นปี ผมเลยไม่เคยพูดกับใครว่าผมอยากลงการเมือง เพราะผมรู้ว่าการเมืองในไทยมันเป็นฝักเป็นฝ่ายมาก พูดไปแล้วจะกลายเป็นดาบสองคม หรืออาจจะโดนเตะตัดขาตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไรเลย
สุดท้ายพอผมมาลงการเมืองก็จะถูกถามว่าทำไม? เอ้าตอนนั้นทำธุรกิจนี่ เรียนจบเฉพาะทางนี่ เหตุผลเพราะการจะทำงานด้านการเมือง คุณต้องรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ก่อน ถ้าอยู่ดีๆ คุณทำงานการเมืองแล้วอยากจะเปลี่ยนแปลงสาธารณสุข แต่คุณไม่รู้ว่าเขาทำงานกันยังไง มีผู้เล่นเป็นใครบ้างในบริเวณที่คุณจะลงสนาม สุดท้ายแล้วมันจะไปไม่ถึงไหน สมมติผมอยากจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายสักฉบับ ผมต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าเป็นใครบ้าง ผมวางแผนชีวิตตัวเอง ต้องรู้จักใครบ้างในวงการนี้ ถ้าอยากทำอะไรสักอย่าง
#เคยมีจุดที่ทำให้ไขว้เขวในเส้นทางการเมืองไหม?
มีครับ เพราะมนุษย์เรามีอารมณ์มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ ถ้ามีแต่เหตุผลผมก็แค่ทำตามขั้นตอน 1 2 3 อย่างเช่นช่วงวัยรุ่นเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งปีสอง ก็มีคนชวนไปทำงานวงการบันเทิง ผมก็เข้าไปสัมผัสแต่รู้ตัวว่าไม่ใช่ก็กลับมาเส้นทางเดิมที่เราวางแผนไว้ ผมเองมีคนวางเส้นทางด้านการงานให้เสร็จสรรพ อยากให้เป็นอาจารย์ เป็นนักวิจัย โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของผม อยากให้ผมเป็นอาจารย์แพทย์มาก แต่ผมคิดไว้แล้วว่าอยากทำงานตรงนี้
ผมไม่เคยคุยกับพ่อแม่ผมเรื่องนี้นะ แม้กระทั่งเรื่องการสมัคร ส.ส. เขาก็รู้จากเพื่อนที่ทำงานเขา แบบโดนมาถามว่า “ลูกชายไปสมัคร ส.ส. เหรอ?” (หัวเราะ) เพราะผมรู้ว่าคุณพ่อผมเป็นคนรุ่น 14 ตุลา เขาสนใจการเมืองแต่เขาไม่อยากให้ลูกไปสัมผัสกับการเมือง เขาคงไม่อยากให้ผมที่เป็นลูกชายคนเดียวต้องเปื้อนโคลน ผมเลยไม่เคยบอกใครแม้กระทั่งพ่อแม่ว่าผมอยากจะทำงานด้านนี้จนช่วงสุดท้ายจริงๆ แผนบางอย่างก็ต้องเก็บเป็นความลับระยะยาว ไม่ต้องโปรโมทหรือป่าวประกาศ แค่วางแผนให้ดี ให้ชัดเจนต่อตัวเอง แล้วลงมือเลยไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่น
#มองตัวเองในเส้นทางนี้ยังไง?
ผมยังไม่ไปไหนเลย (หัวเราะ) ผมแพ้เลือกตั้ง คือสุดท้ายผมคิดแค่ว่าผมอยากทำสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตผม ทำอะไรที่ผมคิดว่ามีแรงกระเพื่อมให้สังคมเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในมุมมองของผม ทำในสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมีคุณค่า เอาความรู้ด้านสาธารณสุข ด้านสังคม ที่ผมได้เรียนรู้มา มาใช้และสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้
บอกตรงๆ ว่าการเมืองในปัจจุบันนี้พูดคุยกันลำบาก คือจริงๆ แล้วระหว่างนักการเมืองต่างพรรคมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันตลอดนะครับ แต่แฟนคลับที่อยู่ในสายสุดโต่งของแต่ละฝั่ง บางครั้งก็ทำให้ทุกอย่างเดินยาก ซึ่งนักการเมืองส่วนใหญ่ก็คงไม่อยากจะเสียฐานผู้สนับสนุนในกลุ่มนี้ ยิ่งผู้สนับสนุนแบ่งฝ่ายกันชัดเจน นักการเมืองก็อาจไม่กล้าเสี่ยงเพื่อจับมือ ยอมรับว่าหลายๆ ครั้งมีเรื่องเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง
#จุดเริ่มต้นของการเข้ามาในวงการ?
ผมรู้จักกับคุณพ่อของคุณไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ ท่านเป็นอาจารย์หมอของผมที่จุฬาฯ มีการพูดคุยกันบ้าง แต่ไม่ถึงขนาดลากตัวไปอยู่กับพรรค ในการจะเข้ามาทำการเมืองผมมองว่า ผมไม่ได้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ไม่ได้มีทุนมาก ผมเลยต้องมองหาพรรคที่มีระบบพรรคที่ดี ซึ่งในสายตาผม ณ ตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ตอบโจทย์ในข้อนี้ เช่น แม้จะเป็นหัวหน้าพรรค ก็สามารถที่จะถูกลูกพรรคพูดเสนอแนะได้ตลอดเวลา
ช่วงที่ผมเข้ามาในพรรคคือช่วงที่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหัวหน้าพรรค แต่ละคนมีมุมมองผ่านสื่อมีภาพจำของคุณอภิสิทธิ์คนละแบบ แต่ ณ วันนั้น การพูดคุยกันครั้งแรกกลายเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสาธารณสุขที่ลงลึกไม่ใช่แค่ผิวเผิน ผมซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้เดินเข้ามาในพรรค เสนอความเห็นที่อาจจะถูกบ้างผิดบ้าง แต่หัวหน้าพรรคมาพูดคุยลงรายละเอียด ผมก็รู้สึกว่าพรรคลักษณะนี้ อาจจะตอบโจทย์ความต้องการของผม
หลังจากนั้นผมไม่ได้เข้าพรรคทันทีด้วยนะครับ (หัวเราะ) จนกระทั่งกำลังจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นประกาศที่ปุบปับมาก ทุกคนไม่คิดว่าจะมีการเลือกตั้งเร็วขนาดนี้เลยต้องรีบตัดสินใจ ต้องเลื่อนการคัดเลือกผู้สมัครขั้นต้น และเลือกตัวแทนสมาชิกพรรคในเขต คนที่ให้คำแนะนำในตอนนั้นคือคุณอภิสิทธิ์ เขาบอกว่านักการเมืองไทยส่วนใหญ่ ใช้ชีวิตอยู่ในฐานบนของปีระมิด เราไม่เคยสัมผัสคนในส่วนอื่นๆ ของปีระมิด ประเทศไทยไม่ได้มีแค่อารีย์ สีลม สยาม มันมีมากกว่านั้น ดังนั้นมีสิทธิ์อะไรไปออกนโยบายเพื่อตอบโจทย์ชีวิตของประชาชน เลยเป็นที่มาที่ไปถึงการตัดสินใจลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต นับเป็นความหวังดีจากคุณอภิสิทธิ์ที่ปลูกฝังนักการเมืองรุ่นใหม่ว่า ก่อนที่จะมาทำงานการเมืองในภาพใหญ่ได้คุณต้องผ่านอะไรมาก่อน นี่เป็นเหตุผลโดยย่อครับ ที่ผมเลือกสมัครกับพรรคประชาธิปัตย์
#คิดเห็นอย่างไรกับคำว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน และ #การทำงานการเมืองจำเป็นต้องใช้ทุน ?
ต้องย้อนกลับไปที่คำตอบก่อนหน้าที่ผมพูดว่า การเงินเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อเข้ามาเล่นการเมือง เพราะต้องมีทุน มีทีมงาน สำหรับผมระบบพรรคการเมืองที่เข้มแข็งอย่างในประเทศอังกฤษหรือสหรัฐอเมริกา จะทำให้คนไม่ต้องใช้เงินส่วนตัวในการเล่นการเมือง เพราะพรรคหาเงินสนับสนุนเงินให้ โดยที่พรรคได้เงินจากผู้สนับสนุนอีกที ระบบพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง จะผลักดันให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการมาทำงานด้านการเมือง
การสร้างพรรคให้ใกล้เคียงกับนิยามการมีระบบพรรคที่เข้มแข็งในสายตาของผม พรรคต้องมีแหล่งเงินทุนมาจากหลายๆ กลุ่ม จนเรียกได้ว่าไม่มีเจ้าของพรรค เวลาอยากจะผลักดันให้พรรคไปในทิศทางไหน ก็สามารถทำได้ พูดง่ายๆ คือประสานผลประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม เพื่อให้ได้แนวทางที่ตรงกับอุดมการณ์ของพรรค รวมถึงของผมด้วย จนเกิดแนวทางที่เหมาะสมกับประเทศไทย ต่อให้ในบางครั้งผมอาจจะรู้สึกขัดแย้งกับความเห็นของคนบางกลุ่มในพรรค แต่ผมก็ยังที่จะสามารถชี้ หรือ รวมกลุ่มกับกลุ่มอื่นๆในพรรค เพื่อผลักดันนโยบาย หรือ ผลักดันพรรคได้ ผมคิดว่ารูปแบบนี้คือพรรคการเมืองที่เข้มแข็งและไม่มีใครเป็นเจ้าของ ถ้าหากพรรคการเมืองที่ต้องไปในทิศทางเดียว มีนายทุนกลุ่มเดียว หรือ ต้องทำตามคำสั่งของใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในความคิดเห็นของผมพรรคนั้นก็จะไม่มีกลไกในการเห็นแย้ง หรือ พื้นที่ให้คนตัวเล็กๆ ได้ผลักดันอะไรได้ และระบบพรรคที่เข้มแข็งนี้จะซื้อใจให้คนอยู่กับพรรค เพราะถึงแม้ความเห็น หรือมุมมองบางอย่างอาจจะยังไปไม่ถึงดวงดาว ถึงแม้มีบางเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน คุณก็ยังมีแนวทางที่จะไปสู้ไปปรับ เพื่อให้ได้แนวทางที่ลงตัวและทำงานได้ต่อไป หากคุณไม่ใจร้อนเกินไป
ดังนั้นพรรคการเมืองซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มคนที่คิดอยากจะผลักดันประเทศไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าหากพรรคการเมืองเข้มแข็ง ทุกคนก็จะมีส่วนร่วมกับการเมืองได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ
#careerfact
…………………………
สามารถติดตามเรื่องราวดีๆ ต่อได้ที่ Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว (อย่าลืมกด See First เพื่อไม่ให้พลาดคอนเท้นท์ดีๆ)
โฆษณา