27 ก.ย. 2020 เวลา 00:39 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น ความต้องการ
เรื่องสั้นเรื่องที่ 2 ในชีวิตครับ
Lesson 1 - ความต้องการ
ซองขาว
เช้านี้ดูเธอจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ รู้สึกแปลกกว่าที่เคย เมื่อเห็นเธอทำผมไป ฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข...
 
"กานต์ กานต์... วันนี้วันอะไรน๊าาา?" เธอที่อยู่ตรงหน้าตั้งคำถามเสียงใส
 
ผมยิ้มให้แทนคำตอบ
วันเกิดของเธอไง ทำไมผมจะจำวันสำคัญขนาดนี้ไม่ได้...
"หวังว่าเธอคงยังไม่ลืมสัญญานะกานต์..." เสียงใสๆ ที่ได้ยินนั้นช่างออดอ้อน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงได้ร่าเริงขนาดนี้ เรื่องมีอยู่ว่าในแต่ละปีผมจะเปิดโอกาสให้เธอเลือกของขวัญที่ต้องการด้วยตัวเองได้หนึ่งอย่าง มันเป็นวิธีที่ลงตัวมากที่เราช่วยกันคิดขึ้นมา เพราะแน่ใจได้เลยว่าสิ่งที่จะได้รับในแต่ละปีนั้น ตรงใจเจ้าของวันเกิดอย่างแน่นอน ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดีมากๆ ตามที่คาด เพราะดูเธอจะโปรดปรานกับของขวัญทุกชิ้นที่ผมมอบให้ มากที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นโต๊ะเขียนหนังสือที่ได้รับเมื่อสามปีก่อน เธอชอบมันมากชนิดที่ว่าขลุกอยู่ได้แทบทุกคืนเพื่อทำงานที่เธอรัก จะมีเว้นบ้างก็ตอนป่วยหนักๆ ซึ่งก็แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง
"นะกานต์ นะ..." เสียงรบเร้าจากเธอยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง
เช้าสุดพิเศษกับหน้าใสเปื้อนยิ้ม นี่คือการรวมตัวที่ทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาเจอไม้นี้ทีไรผมก็มักจะจอดป้าย ไปไม่เป็นมันทุกที ซึ่งคิดว่าครั้งนี้ผลก็คงจะไม่แตกต่างไปจากเดิมสักเท่าไหร่
"นะๆ เธอเตรียมเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอกานต์?" เธอชี้นิ้วไปยังเป้าหมายทันทีที่พูดจบ
ใช่แล้ว เธอหมายถึงสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น...
ผมเดินไปหยิบซองขาวใบนั้นขึ้นมามอง ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น บางทีทุกอย่างจะง่ายดายกว่านี้มาก ถ้าของขวัญวันเกิดที่เธอต้องการในปีนี้จะไม่ใช่การลาออกจากงานของผม!!!
***********************************************
ได้ไหม
***********************************************
Lesson 2 - โอกาส
ความก้าวหน้า
วันนี้ก็เป็นอีกเช้าที่ผมมาถึงบริษัทก่อนเวลาทำงาน เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา และยังคงขยันขันแข็ง มุ่งมั่น ตั้งใจทำงานเหมือนเคย มองจากภายนอกทุกอย่างยังคงปกติ แต่จะมีใครรู้บ้างว่าข้างในใจของผมตอนนี้มันช่างสับสนเหลือเกิน...

"คุณกานต์คะ คุณกานต์..." เสียงหวานๆ ของใครบางคนเบี่ยงเบนความสนใจของผมจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

คุณเลขาฯ นั่นเอง คนสวยของใครต่อใคร ที่แสดงออกอย่างนอกหน้าว่าชอบผม เกี่ยวกับเรื่อง ถ้าเป็นหลายคนคงดีใจจนเนื้อเต้น และคงลงเอยกันไปนานแล้ว แต่สำหรับผมแล้ว บอกตามตรงว่าไม่มีอารมณ์จริงๆ

"ผ.อ. เชิญเข้าพบค่ะคุณกานต์" พูดจบเธอก็โปรยยิ้มแถมเสน่ห์ฟรีตามสไตล์

รอดตัวไปที่คราวนี้เธอมาเรื่องงาน เพราะผมเองก็เริ่มเบื่อแล้วเหมือนกันที่ต้องคอยหาข้ออ้างต่างๆ เพื่อที่หลบเลี่ยงคำชักชวนต่างๆ เธอ

เช่นนั้นเองพอพยักหน้ารับคำเสร็จ ผมจึงรีบลุกขึ้นเดินไปยังห้องผู้อำนวยการในทันที

"เอ้า นั่งลงก่อนกานต์" ชายวัยกลางคนเจ้าของห้องพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเดินผ่านประตูเข้ามา

ผมโค้งให้เขาก่อนจะขยับเก้าอี้นั่งลงตามคำเชิญนั้น

"เธอทำได้เยี่ยมมากเลยรู้ไหมกานต์ แผนการตลาดนั่นกระตุ้นยอดขายของเราได้มาก กำไรเป็นประวัติการณ์เลยนะรู้ไหม ต้องอย่างนี้สิ ฝีมือจริงๆ" เขาเริ่มฝอยเสียงดัง

ผมยิ้มรับคำชมนั้นไว้ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยถึงผู้เกี่ยวข้องท่านอื่นด้วยเช่นกัน

"หึๆ ถล่มตัวไม่เปลี่ยนเลยนะกานต์... เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันเลยละกันนะ..."
"คือทางเราได้รับคำสั่งจากบริษัทแม่ที่อเมริกาให้เลือกคนไปประจำการที่นั่นน่ะนะ แน่นอนว่าในตำแหน่งที่ดีขึ้น ซึ่งเค้าก็ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องการคนที่มีความสามารถสูง หลายฝ่ายพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็เห็นตรงกันว่า นาทีนี้มีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ดูโดดเด่นที่สุด..." เขาเว้นจังหวะด้วยการขยับแว่นตา มองหน้าผมอย่างจริงจัง แล้วพูดต่อ...
"ว่าไงกานต์ โอกาสก้าวหน้าไปอีกขั้นมาถึงแล้วนะ"
"..."
แต่เมื่อคำตอบที่ได้รับคือใบหน้าครุ่นคิดบวกกับความเงียบงัน เขาก็เริ่มเปิดปากอีกครั้ง
"ไม่เป็นไรๆ เอากลับไปคิดดูก่อนก็ได้ ...แต่ยังไงก็ขอคำตอบเร็วหน่อยละกันนะกานต์ เธอก็รู้นี่ว่าท่านประธานไม่ชอบรออะไรนานๆ น่ะ"
ประตูถูกปิดอย่างแผ่วเบาเมื่อการสนทนาเมื่อครู่ยุติลงไปได้สักพัก และแม้จะก้าวพ้นห้องนั้นออกไปไกลมากแค่ไหน ปัญหาใหม่ที่ว่าก็ยังคงตามมาหลอกหลอนผมอยู่ดี...
ปวดหัว...
น้ำเย็นๆ สักแก้ว...
กับยา...
ตอนนี้ผมต้องการแค่นี้...
แค่นี้จริงๆ
***********************************************
War
***********************************************
Lesson 3 - อดีต
หนังสือเก่า
เมื่อคืนผมฝันแบบเดิมอีกแล้ว เหมือนๆ หลายคืนที่ผ่านมา เรื่องราวก็จะประมาณ เห็นตัวเองตอนเป็นเด็ก หัวเกรียน น่าจะเป็นช่วงประถม กำลังเดินตรงไปยังอาคารสีขาวหลังใหญ่ ที่ข้างในมีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ผมหยิบนู่นดูนี่อย่างเพลิดเพลิน ไม่นานสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับหนังสือหน้าปกสีสดใสเล่มหนึ่ง ผมรีบดึงมันออกมาจากชั้นวางทันที แต่จังหวะที่กำลังเปิดอ่านอยู่นั้นจู่ๆ พ่อก็โผล่พรวดเข้ามา ตวาดเสียงดังลั่น แล้วดึงหนังสือเล่มที่ว่าไปจากมือ!!!
เรื่องราวดำเนินมาถึงตรงนี้ เสียงนาฬิกาปลุกก็ดังรัวๆ กระชากผมให้ตื่นขึ้นมาพบกับโลกแห่งความจริง...
ตอนนี้หกโมงเย็น ตะวันคล้อยลงไปมากแล้ว รู้ตัวอีกทีผมก็พาตัวเองห่างออกจากบริษัทมาไกลโข นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านหรอก ออกจะคนละทิศด้วยซ้ำ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นผมก็ยังมุ่งมั่นที่จะขับไปต่ออยู่ดี 

เพียงไม่นานผมก็มาถึงจุดหมาย และพอรถยนต์คันหรูสีแดงเพลิงจอดนิ่งสนิท ผมก็ไม่รอช้าที่จะมุ่งตรงไปยังอาคารหลังเดียวกันกับที่เห็นในความฝันทันที!!!
ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมพ่อพาผมมาที่นี่บ่อยมาก เรียกได้ว่าแทบจะทุกอาทิตย์ ในสมัยนั้นร้านหนังสือนี้นับว่าใหญ่โต และทันสมัยที่สุดในย่านนี้เลยก็ว่าได้ ใครๆ ก็อยากมาใช้บริการทั้งนั้น เรียกว่าแน่นขนัดได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่เวลานี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป นั่นก็เพราะมีร้านที่ดีกว่าเกิดขึ้นมากมาย ผู้คนก็เลยแห่ไปซื้อหนังสือร้านที่ว่ากันหมด เพื่อความอยู่รอด ทางร้านเลยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายมาลงตัวที่การเปิดเป็นร้านขายหนังสือเก่าอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้
และถึงแม้ผมจะกลับมาอยู่เมืองไทยกว่าสามปีแล้ว แต่จะว่าไปแล้วก็เพิ่งจะมีโอกาสแวะมาเยี่ยมร้านนี้เมื่อสองสามเดือนก่อนนี่เอง เฉลี่ยแล้วก็ประมาณสัปดาห์ละสองสามครั้งหลังเลิกงานน่ะ คือพอฝันถึงหนังสือเล่มนั้นบ่อยๆ เข้า ความคิดที่อยากหาให้เจอเลยแล่นเข้ามาในสมองอีกครั้ง ก็แค่นั้น...
ผมพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นสูงกะว่าจะลงมือค้นหาให้เต็มที่สักหน่อย แต่กลับต้องชะงักเพราะเสียงทุ้มๆ ของใครคนหนึ่ง...
"คุณครับ คุณ... ลองดูสิครับว่าในนี้มีหนังสือเล่มที่คุณกำลังตามหาอยู่หรือปล่าว?"
ที่พูดกับผมคือพนักงานประจำร้านหน้าตาคมเข้มคนนั้นนั่นเอง คนที่คอยเล่าความเป็นไปต่างๆ ของร้านให้ผมฟัง และตั้งแต่ผมเริ่มค้นหาหนังสือเล่มนั้น ก็เห็นจะมีแต่เขานี่แหละที่คอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่เรี่อยมา จะด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบได้ แต่ก็ขอภาวนาให้มันเป็นไปตามหน้าที่ละกัน เพราะถ้ามากกว่านั้นเกรงว่าจะทำให้ผิดหวัง เพราะมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน...
"เพิ่งจะเข้ามาเมื่อวานครับ ดูๆ ไปแล้วมันคล้ายกับที่คุณเคยบอก ผมก็เลยเก็บไว้ให้อะครับ..." เขายิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นหนังสือตั้งหนึ่งให้
ผมรับมา ลองพลิกดูทีละเล่ม ละเล่ม และพอได้เห็นเล่มที่อยู่ล่างสุด รอยยิ้มแห่งความยินดีก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
หน้าปกอาจจะดูซีดจาง กระดาษเนื้อในเหลืองอ๋อย มีฝุ่นจับอยู่ทั่วเล่ม ทุกอย่างแสดงความจริงให้เห็นว่าหนังสือเล่มนี้เก่ามากเหลือเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่กาลเวลามิอาจพรากไปได้เลยก็คือ ความสนใจอย่างเต็มเปี่ยมที่ผมมีต่อหนังสือการ์ตูนเล่มนี้ จำได้แม่นยำว่าผมอ่านสิ่งที่เรียกว่าหนังสือการ์ตูนเป็นครั้งแรกที่ร้านนี้ และมันก็ตรงกับวันเกิดครบรอบสิบขวบของผมพอดี
และเพียงเปิดหน้าแรกความทรงจำเก่าๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง...
***********************************************
Difference Part 1
***********************************************
Lesson 4 - ความขัดแย้ง
ถกเถียง
"นี่แกกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่น่ะกานต์? ไหนเอามาให้พ่อดูซิ
" พูดจบพ่อก็แย่งการ์ตูนเล่มนั้นไปจากมือผม เขาพลิกดูได้สองสามหน้า จากนั้นก็ทำหน้าไม่ต่างจากยักษ์ ตวาดผมเสียงดังลั่น!!!
"นี่มันการ์ตูนไม่ใช่เหรอกานต์? ไร้สาระ ของแบบนี้มีแต่จะทำให้ผลการเรียนของแกตกต่ำลง อยากเป็นคนไม่เอาไหนเหมือนอาของแกหรือไง? ฉันล่ะเกลียดนัก... เอามันเก็บไว้ที่เดิมเดี๋ยวนี้นะกานต์!"
ผมรับหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นคืน แล้วทำตามคำสั่งของพ่ออย่างว่าง่าย ซึ่งพอเสร็จพ่อก็ดึงแขนผมให้ห่างออกมาจากตรงนั้นอย่างสิ้นเชิง
ผมอยากได้หนังสือการ์ตูนเล่มนั้นมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ของขวัญวันเกิดที่ได้รับกลับเป็นหนังสือเรียนภาษาอังกฤษชุดใหญ่
พ่อบอกว่าผมต้องเรียนภาษาให้หนักกว่าเดิม เพราะอีกไม่นานครอบครัวของเราต้องย้ายไปอยู่อเมริกากันแล้ว
1
คืนนั้นที่ในห้องนอน พอได้เจอเธอ คำพูดมากมายก็หลั่งไหลออกมาราวกับทำนบพัง มันอาจเป็นการปรับทุกข์แบบเด็กๆ แต่เธอก็รับฟังผมอย่างตั้งใจ และมันทำให้ผมได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะร้ายหรือดี เธอที่อยู่ตรงหน้าผมคนนี้ก็พร้อมที่จะรับฟังเสมอ...
พ่อชอบอ่านหนังสือ ดังนั้นไม่แปลกที่พ่อจะเน้นย้ำเป็นอย่างมากว่ามันเป็นเคล็ดลับในการประสบความสำเร็จ การเป็นผู้รู้ที่ดีนั้นได้เปรียบ อ่านมากก็ย่อมที่จะรู้มาก เราไม่ควรหยุดขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว พ่อพร่ำบอกอย่างนั้นเสมอ แน่นอนว่าพ่ออยากให้ผมเจริญรอยตามท่าน ที่ถูกที่ควรจึงหนีไม่พ้นการรับแต่สิ่งที่พ่อคอยมอบให้ หนังสือดีๆ เล่มแล้วเล่มเล่าของพ่อจึงแวะเวียนกันเข้ามาในชีวิตของผมมิได้ขาด ไม่แปลกเลยถ้านิสัยรักการอ่านจะฝังรากลึกแน่นในจิตใจ สร้างผมให้เติบโตเป็นลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้นสมดังใจท่าน
ใช่... พ่อควบคุมผมได้ แต่ย้ำว่าแค่ผมเท่านั้นนะ เพราะสำหรับเธอแล้วพ่อไม่มีทางทำได้หรอก ผมรู้ดี ว่าเรานั้นแตกต่างกันแค่ไหน...
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งปิดเหมือนเชื้อเชิญให้เปิด เพราะดูเหมือนสิ่งต้องห้ามของพ่อที่เรียกว่า "หนังสือการ์ตูน" สำหรับเธอนั้นมันช่างหอมหวานต่อการแหกกฎเหลือเกิน จากที่ไม่เคยสนใจเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น จนกระทั่งวันหนึ่งก็เรียกได้ว่าคลั่งไคล้!!!
เธอพูดเสมอว่าการอ่านหนังสือการ์ตูนเปรียบได้กับการเข้าไปในดินแดนไร้ขอบเขต โลกแห่งจินตนาการที่บรรจุเรื่องราวหลากหลาย ทั้งหัวเราะ หรือบางครั้งซาบซึ้งจนเรียกน้ำตา แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างสุขใจทุกครั้งที่ได้สัมผัสมัน
รู้ไหมว่าเธอดีใจขนาดไหนที่ได้ย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อสามปีก่อน เพราะที่พ่อฝากลุงให้ดูแลแทนนั้น เขาทำได้ไม่ทั่วถึงอย่างที่พ่อหวังเลย หละหลวมมาก ไม่ได้เศษเสี้ยวของพ่อเลยด้วยซ้ำ
และจังหวะนี้เองที่เธอได้สร้างอาณาจักรส่วนตัวอันยิ่งใหญ่ขึ้นที่บ้าน อ่าน และสะสมหนังสือการ์ตูนมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งฝึกฝนการวาดการ์ตูนอย่างจริงจัง จนปัจจุบันฝีมือนั้นได้รุดหน้าไปอย่างมาก และหลังจากตระเวนส่งต้นฉบับในการแข่งขันต่างๆ จนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย วันหนึ่งผลงานของเธอก็ไปเข้าตาสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่เข้าจนได้ ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ติดต่อให้เธอเข้าทำงานเป็นนักเขียนประจำแล้ว
นี่คือข่าวที่ดีมากๆ สำหรับเธอ แต่กับผมแล้วมันเหมือนกับการเพิ่มภาระในการตัดสินใจดีๆ นี่เอง
"คุณครับคุณ..." เสียงทักของพนักงานหนุ่มหล่อคนนั้นดึงผมให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองเขา
"คุณลืมหนังสือกับเงินทอนน่ะ..."
บางทีคงต้องเริ่มจากการตัดสินใจที่เด็ดขาด ผมเลยจงใจลืมหนังสือการ์ตูนที่อยากได้แทบตายเล่มนั้นไว้ที่เคาท์เตอร์
"แล้ว... เอ่อ... เราพอที่จะรู้จักกันได้ไหมครับ?" ชายหน้าตาคมสันคนนั้นพูดต่อ
แม้จะรู้สึกวูบวาบกับประโยคข้างต้นมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมทำได้ก็คือ ยิ้มให้เขาแล้วเดินจากมามันซะอย่างงั้น!!!
เพราะผมคิดว่ามันสมควรที่สุดแล้วในตอนนี้...
***********************************************
ต่าง
***********************************************
Lesson 5 - ทางเลือก
ในห้อง
นาฬิกาข้อมือบอกว่าตอนนี้สามทุ่มกว่า ซึ่งเลยเวลาวาดการ์ตูนของเธอไปมากโข...
ครู่หนึ่งแล้วที่ผมกลับมาถึงบ้าน และเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูห้องเพียงเพื่อจะประวิงเวลา ทั้งที่ในระหว่างเดินทางมานี่ผมได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมาแล้วแท้ๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมกลับปอดแหกไปซะได้
รอจนรวบรวมความกล้าได้มากพอเท่านั้นประตูห้องจึงถูกเปิดเข้าไป

"ฉันจะกลับไปอเมริกา" คือประโยคแรกที่ผมพูดเมื่อก้าวเข้าไปประจัญหน้ากับเธอภายในห้อง
"อเมริกา!!! หมายความว่าไง? เธอลืมสัญญาที่ให้ไว้กับฉันแล้วเหรอกานต์" เธอที่อยู่ยืนอยู่ตรงข้ามทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"ฉันไม่ลืมหรอก..." ผมบอก
"ฉันก็ทำได้แล้วไง เธอก็รู้นี่กานต์ว่ามันยึดเป็นอาชีพได้ และอีกไม่กี่วันเขาก็จะให้ฉันเริ่มงานแล้วด้วย" เธอแจง
"...มันก็ใช่ แต่เรื่องรายได้ล่ะ? มันน้อยนะ... มั่นคงจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลองเทียบไอ้รายได้ที่เธอพอใจนักหนากับเงินเดือนของฉันดูซิ มันต่างกันขนาดไหนเธอก็รู้..." ผมอธิบาย
"ที่ชักแม่น้ำทั้งห้ามานี่ก็เพื่อที่จะกลืนน้ำลายตัวเองใช่ไหมกานต์?" เธอเริ่มแสดงสีหน้า และน้ำเสียงที่ไม่พอใจออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
"...ก็เพื่ออนาคตไง..." ผมพยายามเค้นคำพูด
"ไม่ใช่หรอก ฉันรู้ทันเธอน่ากานต์ พ่ออีกล่ะสิ?"
"..."
"เสื้อต้องโน่น กางเกงต้องนั่น ทรงผมต้องนี่ บ้าบอคอแตกขนาดไหนที่ต้องทำตัวตามแบบที่พ่อเมล์มาให้น่ะ" เธอต่อว่า
"บอกความจริงมานะกานต์ คราวนี้ก็พ่ออีกใช่ไหม?" เธอซัก
"...เธอก็รู้นี่ ว่าถ้ามันเป็นความต้องการของท่านแล้วล่ะก็ ฉันขัดไม่ได้..." ผมครวญ
"พ่อ พ่อ พ่อ รู้ตัวไหมว่าเธอน่ะมันกลัวพ่อจนขี้ขึ้นสมองแล้ว ขัดไม่ได้... แล้วความต้องการของฉันล่ะมันไม่มีความหมายเลยหรือไง?" เธอถาม
ผมก้มหน้านิ่งแทนคำตอบ
ความต้องการของเธอคือการได้เป็นนักเขียนการ์ตูน เธอเลือกในสิ่งที่ชอบ และทำในสิ่งที่ฝัน ส่วนความต้องการของพ่อคือการได้เห็นผมทำงานด้านบริหาร และประสบความสำเร็จเหมือนกันกับท่าน แต่พ่อไม่เคยถามเลยสักคำว่าผมต้องการอย่างนั้นด้วยหรือไม่...
ผมเติบโตท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่พ่อสร้าง จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงจากอเมริกา เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทุกสิ่งในชีวิตของผมพ่อได้กำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว บางทีอาจจะตั้งแต่ลืมตาดูโลกวินาทีแรกเลยด้วยซ้ำ มาถึงตรงนี้บางที่ไม่ต้องบอกก็พอที่จะเดาได้ว่า ผมไม่มีทางเลือกใดๆ เหลืออยู่เลย
"ฉันไม่อยากทำให้พ่อผิดหวัง... ทำใจเถอะ เลิกล้มซะ ความต้องการของเธอมันเป็นได้แค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น แค่เรื่องไร้สาระน่ะ เข้าใจไหม!!!" ผมเค้นคำพูดโดยเลี่ยงที่จะมองหน้าเธอตรงๆ ก่อนจะดึงซองขาวออกจากกระเป๋าเอกสาร ฉีกเป็นชิ้นๆ ทิ้งแล้วยัดลงถังขยะ จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์เพื่อต่อสายไปหาผู้อำนวยการทันที
"...ตกลงครับลุง ผมจะไปอเมริกา" ในที่สุดผมก็ได้ตอบคำถามที่เขาให้ไว้เมื่อตอนเช้าเสียที
"อืม... ดีมากเลยกานต์ นึกอยู่แล้วว่าสุดท้ายคำตอบมันต้องออกมาประมาณนี้ ยังไงก็ขอบใจมากนะ ที่มาช่วยกู้สถานการณ์ให้ลุง สามปีแล้วสินะ เร็วชะมัด ท่านประธานคงจะดีใจมากแน่ๆ ที่กำลังจะได้ร่วมงานกับลูกตัวเองอีกครั้ง" พูดจบชายปลายสายก็หัวเราะร่วน
"เอ้อ... สุขสันต์วันเกิดด้วยนะกานต์ ขอโทษทีละกันลุงเองก็เพิ่งจะนึกได้เมื่อกี้นี้น่ะ... เอาล่ะๆ งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวลุงจะรีบโทรไปรายงานพ่อแก..."
สิ้นสุดบทสนทนาโทรศัพท์ก็พุ่งไปกระแทกข้างฝาอย่างจัง พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ระเบิดออกมา จากนั้นหนังสือการ์ตูนมากมายบนชั้นก็ถูกกวาดทิ้งลงมาข้างล่าง พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงต้นฉบับการ์ตูนสุดหวงเหล่านั้นให้กลายเป็นแค่เพียงเศษกระดาษที่ไร้ค่า...
กินเวลาพอสมควรกว่าทุกอย่างจะสงบลง ซึ่งหลังการอาละวาดจบลงผมเองก็ไร้สิ้นเรี่ยวแรง!!!
ตอนนี้สภาพของห้องเละเทะไม่ต่างอะไรกับสมรภูมิที่กรำศึกมานาน มันช่างสะเทือนใจเหลือเกินที่เห็นของรักมากมายถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง!!!
อยากรู้ มีใครเป็นเหมือนผมบ้าง...
ในความทรงจำของผมไม่มีภาพของแม่อยู่เลย เคยเห็นแน่ๆ แต่ด้วยความที่ยังเด็กเกินไปก็เลยไม่อาจจดจำรายละเอียดได้ ประกอบกับที่บ้านของเราไม่มีรูปของแม่หลงเหลืออยู่เลยสักใบ และพ่อก็ไม่อนุญาตให้พูดถึงเรื่องนี้ด้วย ในวันที่ใครต่อใครพากันทักว่าผมหน้าตาเหมือนแม่แบบถอดกันมา ผมก็จนปัญญาที่จะรู้ได้ถึงความจริงข้อนั้น
เคยสงสัยถึงความแตกต่างของตัวเองเมื่อต้องเทียบกับเพื่อนๆ อยู่เหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แค่คิด แต่ยังไงซะความลับก็ไม่มีในโลก เพราะวันหนึ่งเลือดที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงของวัยก็ได้ไหลออกมาจากตัวผม นำไปสู่ความจริงที่น่าตกใจของตัวเอง!!! เมื่อจนแต้มพ่อก็ตัดสินใจเล่าเรื่องที่ปิดบังมาตลอดให้ผมฟัง พร้อมทั้งยืนยันในความต้องการของตนเอง โดยที่ไม่ได้ฟังคำอุทรณ์ใดๆ ของผมเลย...
หลายคนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเป็นผู้ชายหน้าหวานของผม บ้างก็ถามทีเล่นทีจริงเรื่องเพศ แต่จะมีใครรู้ความจริงบ้าง
อยากบอกเหลือเกิน...

ว่าถ้าถอดวิก และปลดกิ๊ฟออก ผมที่เกล้าไว้ก็จะทิ้งตัวลงมายาวสยายถึงกลางหลัง และพอถอดเสื้อผ้าพร้อมทั้งผ้ารัดหน้าอกออก ผิวขาวนวลเนียนพร้อมทั้งส่วนเว้าส่วนโค้งของเพศหญิงก็จะเผยออกมาให้เห็น!!!
พ่อครับ... ถึงจะไม่ชอบที่อาเขียนการ์ตูน โกรธที่แม่หนีตามอาไป เกลียดผู้หญิงทั้งโลก และอยากให้ผมเป็นผู้ชายมากแค่ไหน แต่ความจริงยังไงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ
เพราะเมื่ออยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยกระจกเงาอย่างนี้ ภาพที่สะท้อนให้เห็น ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน หรืออย่างไร ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าผมเป็นผู้หญิง!!!
ไม่สิ... พูดผิด ถูกบังคับให้แทนตัวเองว่า "ผม" ซะจนชิน เอาใหม่ๆ ที่ถูกต้องควรจะพูดว่า "ก็เห็นกันชัดๆ ว่าหนูเป็นผู้หญิง!!!"
ทำไมพ่อต้องบังคับกันด้วย...
ทำไม!!!
"ใช่ไหม... เราเป็นผู้หญิงใช่ไหม?"
"..."
"ทำไมเธอไม่ตอบล่ะ โกรธฉันเหรอ?"
"..."
"...เอาล่ะ ๆ ตกลง เราจะไว้ผมยาวกันต่อไป แต่ยังไงก็คงต้องใส่วิกผมสั้นทับเอาน่ะนะ ถ้าอยู่กันตามลำพังในห้องค่อยปล่อยผม แต่งหน้ากับใส่ชุดสวยๆ ให้เต็มที่ละกัน อ้อ... แล้วหาซื้อกระจกบานใหม่ด้วย คราวนี้เอาให้ใหญ่ๆ เลย จะได้เห็นเธอชัดๆ ไง..."
"..."
"อ๋อ... เป็นห่วงหนังสือที่พังไปละสิ ฉันจะซื้อให้ใหม่เองน่า แล้วเรื่องเขียนการ์ตูน เราแอบเอาก็ได้นี่ แต่กลับไปอยู่กับพ่ออาจจะลำบากหน่อย คงต้องรัดกุมกว่าเดิมให้มากๆ"
"..."
"รู้แล้ว เราต้องสร้างห้องลับ เขาวงกต ค่ายกล หรืออะไรก็ได้ พ่อจะได้ค้นหาไม่เจอ แล้วฉีกทิ้งอีกเหมือนเมื่อก่อนไง"
"..."
"หรือถ้าพลาดโดนจับได้ขึ้นมาจริงๆ ละก็ ฉันจะรับผิดชอบเอง จะฟาด เฆี่ยน ตี โบย จับขัง ล่ามโซ่ กดน้ำ หรืออะไรก็ช่าง ฉันก็จะทน..."
"..."
"เพื่อเธอไง..."
"..."
"แต่ตอนนี้ขอร้องล่ะ พูดกับฉันก่อนเถอะ เหมือนเดิมไง พูดกับฉันที ขอร้องล่ะ... ขอร้อง..."
"..."
"..."
"งั้นก็สุขสันต์วันเกิดละกันนะ ฉันขอโทษ..."
"..."
แย่เลย....
น้ำตาไหลไม่ยอมหยุดสักทีแฮะ...
ปวดหัว...
สงสัยคงต้องกินยาเพิ่มอีกสักหน่อย
ปวดหัว...
ปวดหัวเหลือเกิน...

 
 THE END
**********************************************
รักที่ไม่มีใครต้องการ
**********************************************
เรื่องสั้นเรื่องนี้แต่งไว้ราวๆ 15 ปีก่อน ก็จะมีกลิ่นอายของยุคสมัยนั้นอยู่พอสมควร ซึ่งจะผมไม่ขอเปลี่ยนแปลงอะไรให้เสียอรรถรส ถ้าจำไม่ผิดนี่คือเรื่องสั้นเรื่องที่ 2 ในชีวิตของผม
และเมื่อ 25-29 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ผมได้ทยอยลงเรื่องสั้นเรื่องนี้ไว้เป็นจำนวนรวม 5 EP.
เผื่อบางคนยังไม่ได้อ่าน วันนี้ผมเลยขออำนวยความสะดวกโดยการนำมารวมกันเพื่อให้อ่านง่ายในโพสต์เดียวครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ
โฆษณา