12 ต.ค. 2020 เวลา 13:34 • ปรัชญา
# เจ้าชายและตุ๊กตาสามตัว
ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเราจะต้องพบเจอกับสิ่งใด และปัญญาที่หนักมากขนาดไหนในวันข้างหน้า ความพร้อม และความเข้าใจในจังหวะจึงเป็นเรื่องสำคัญ อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
*****
ในคืนที่จันทร์ส่องแสงสดใสบนท้องฟ้า เจ้าชาย ในวัยยี่สิบเจ็ด เขากำลังรอการมาถึงของนักปราชญ์ผู้ค่อยให้คำปรึกษาภายในราชวงศ์มาอย่างยาวยาน ซึ่งเจ้าชายได้รับแจ้งว่า
“ในตอนนี้นักปราชญ์อยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองมากนัก และจะมาถึงในเช้าตรู่วันเดียวกันนี้” ด้วยเหตุที่นักปราชญ์ผู้นี้ออกเดินทางมาแล้วเกือบครึ่งศตวรรษ ซึ่งการเดินทางมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความเข้าใจและประสบการณ์ชีวิต
จึงทำให้ปราชญ์ท่านนี้เป็นปราชญ์ที่ฉลาดที่สุดคนหนึ่ง เจ้าชายที่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ จึงเป็นกังวลและหวาดกลัวต่อคำแนะนำที่จะได้รับจากนักปราชญ์เป็นอย่างมาก ยิ่งในตอนนี้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย เพราะเขาต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อ
ทำให้วันเวลาแห่งความสนุกสนานของเขาลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา อำนาจทุกอย่างที่ได้รับจากการสืบทอด ก็เคร่งเครียดมากขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องความสัมพันธ์พี่น้อง ที่น่ากังวล เป็นที่สุด เพราะพี่น้องต่างคิดกันว่า เจ้าชายนั้น ทะเยอทะยานที่จะยึดครองบัลลังก์มาโดยตลอด
เพราะจริง ๆ แล้วควรเป็นพี่ชายคนโตที่ได้รับสิทธิ์การสืบทอดในครั้งนี้ ไม่ใช่น้องคนเล็กอย่างเจ้าชายที่ได้รับสิทธิ์
แต่ด้วยเหตุที่พี่ชายคนโตนั้น เป็นคนขี้เมา และไร้ซึ่งความรับผิดชอบ จึงทำให้พระราชาเห็นว่าไม่คู่ควรกับการขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าชายจึงต้องแบกรับความเชื่อมั่นของชายผู้เป็นพ่อไว้
และนับแต่นั้นมา ความรับผิดชอบของเจ้าชายก็เพิ่มมากขึ้น และในทุกวันก็มีอะไรให้ทำมากมาย มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากมาย และมีสถานการณ์ที่ที่ผิดปกติมากมายให้จัดการ
เจ้าชายที่เหนื่อยอ่อนจากภาระหน้าที่และการครุ่นคิดถึงเรื่องต่าง ๆ มากมาย ระหว่างที่เฝ้ารอ การมาถึงของนักปราชญ์ เขาจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง และเผลอเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างง่ายดาย
ซึ่งในคืนนั้น หลังจากที่หลับไปได้ไม่นาน เจ้าชายก็ถูกปลุกโดยคนรับใช้คนหนึ่ง โดยเขากระซิบบอกเจ้าชายว่า “ท่านนักปราชญ์มาถึงแล้ว และในตอนนี้เขาก็กำลังรอเจ้าชายอยู่ในห้องอาหารขอรับ”
และในทันทีที่เจ้าชายไปถึง เสียงชายชราลึกลับก็พูดขึ้นมาว่า “กระหม่อมขอประทานอภัย ที่ต้องปลุกพระองค์เช่นนี้” เขาพูดพร้อมทั้งโค้งทำความเคารพอย่างปราณีต
และกล่าวต่อไปว่า “กระหม่อม ใช้เวลาไปกับการสำรวจเมืองต่าง ๆ นานกว่าที่คาดไว้ กระหม่อมจึงไม่สามารถพูดหรือให้ความรู้อะไรแก่เจ้าชายได้มากนัก อีกทั้งเรือของกระหม่อมก็จะออกเดินทางในตอนสาย ฉะนั้นโปรดให้อภัยในความรู้ที่น้อยนิดของกระหม่อมด้วย”
หลังจากนั้น เจ้าชายและนักปราชญ์ก็ได้นั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง แม้ว่าเวลาอันสั้นนี้จะไม่เพียงพอที่จะพูด ทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการแบ่งปันได้
แต่ก่อนที่นักปราชญ์จะจากไปเขาก็ยืนยันกับเจ้าชายไว้ว่า “ราชอาณาจักรจะดำเนินไปอย่างดีภายใต้การปกครองของพระองค์ และแม้ในครั้งแรกที่กระหม่อมได้เห็นพระองค์ กระหม่อมจะไม่แน่ใจ ว่าควรจะให้ของขวัญชิ้นไหนดี ที่จะเหมาะสมกับการขึ้นครองบัลลังก์ในครั้งนี้
แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกัน กระหม่อมก็ตัดสินใจได้แล้วว่า ควรจะมอบอะไรให้แก่พระองค์” นักปราชญ์พูดพร้อมทั้งหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ส่งให้กับเจ้าชายไป
เจ้าชายรับของขวัญมาด้วยความขอบคุณ หลังจากแกะกล่องแล้ว เขาก็ได้เห็นตุ๊กตาหนึ่งตัว ที่ภายในถูกบรรจุไว้ด้วยตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ อีกสองตัว ตุ๊กตาเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นตุ๊กตาโบราณ สำหรับเด็กวัยหัดเดินที่ใช้เล่นกัน อีกทั้งใบหน้าของตุ๊กตาก็แตกและผมของพวกเขาก็ไม่มี
“เจ้าชายไม่ต้องเป็นกังวลไป นี้ไม่ใช่ตุ๊กตาสำหรับเด็กหรือผู้หญิง” ปราชญ์กล่าว หลังจากเห็นความสับสนบนใบหน้าของเจ้าชาย “คุณค่าของตุ๊กตาเหล่านี้นั้นมีมากกว่าความสวยงาม
พวกมันมีไว้สำหรับเจ้าชายเพียงผู้เดียวเท่านั้น กระหม่อมอยากให้เจ้าชายนำตุ๊กตานี้วางไว้ในห้องของพระองค์ ในจุดที่จะทำให้เจ้าชายมองเห็นพวกมันได้ชัดเจนและเห็นมันได้ตลอดเวลา”
“และถ้าเจ้าชายสังเกตพวกมันอย่างละเอียด เจ้าชายจะเห็นรูเล็ก ๆ สำหรับให้ร้อยด้ายเข้าไปในหูตุ๊กตาแต่ละตัว” ปราชญ์กล่าวพร้อมกับยื่นเชือกให้
หลังจากที่ได้ฟังเช่นนั้น เจ้าชายจึงหยิบตุ๊กตาตัวแรกขึ้นมาและลองสังเกตดูที่รูหูตามที่นักปราชญ์บอก ซึ่งทันทีที่เห็น เจ้าชายก็นำด้ายร้อยเข้าไปในรูของหูข้างหนึ่งและปลายด้ายก็โผล่ออกมาอีกข้างหนึ่ง
“นี่คือคนประเภทแรก ไม่ว่าท่านจะบอกอะไรกับเขา สิ่งนั้นก็จะออกจากหูข้างหนึ่งและทะลุผ่านไปอีกข้างหนึ่งเสมอ เขาเป็นคนที่ไม่เก็บอะไรไว้กับตัวเองเลย” ปราชญ์อธิบาย
สำหรับตัวที่สอง เจ้าชายก็ได้สอดเชือกเข้าไปในรูหูของตุ๊กตาด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ในครั้งนี้ด้ายนั้นกลับออกมาทางปาก “นี่คือบุคคลประเภทที่สอง” ปราชญ์กล่าว "อะไรก็ตามที่ท่านบอกเขา เขาก็จะบอกคนอื่นทุกอย่างและทุกคนที่เขาได้พบเห็น"
หลังจากที่ได้ฟังเช่นนั้น เจ้าชายจึงหยิบตุ๊กตาตัวที่สามขึ้นมา จากนั้นก็ร้อยด้ายเข้าไป แต่ในครั้งนี้ด้ายนั้นกลับหายไป อีกทั้งยังไม่มีรูให้ด้ายโผล่ออกมาได้เลย
“และนี่คือคนประเภทที่สาม” ปราชญ์กล่าว “ ไม่ว่าเจ้าชายจะบอกอะไรกับพวกเขา สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกขังอยู่ภายใน และมันจะไม่ปรากฏออกมาให้ได้ยินอีก”
เจ้าชายมองไปที่นักปราชญ์ด้วยความสงสัย “แล้วทั้งหมดนี้มีไว้เพื่ออะไร?” เจ้าชายถาม
“ ในความเป็นจริงแล้วคุณลักษณะของตุ๊กตาทั้งสามตัวนั้นไม่ได้แยกจากกัน แต่รวมอยู่ในตัวเดียวกัน”
ปราชญ์อธิบาย “คนเราต้องรู้ว่าเมื่อใดควรฟัง เมื่อใดควรนิ่งเงียบ และเมื่อใดควรพูด หากเจ้าชายพัฒนาทักษะทั้งสามนี้ได้
เจ้าชายก็จะเป็นผู้ปกครองที่ยอดเยี่ยม และชาญฉลาด อีกทั้งเจ้าชายจะสามารถเข้าใจ และรับรู้ได้ว่าใครคือศัตรู ใครคือมิตรสหาย ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และหากเจ้าชายเชี่ยวชาญทักษะเหล่านี้ดีแล้ว การปกครองอาณาจักรแห่งนี้ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนน้อยลง” หลังจากที่นักปราชญ์กล่าวจบ เขาก็ทูลลาและออกเดินทางต่อไปในทันที
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “ชีวิตก็เหมือนการเต้นรำไปตามเสียงเพลง ที่ต้องจับจังหวะให้ได้ว่า เมื่อใดควรก้าว เมื่อใดควรถอย และเมื่อใดควรหยุด”
แปลและเรียบเรียงโดยเรื่องเล่าจากดาวนี้
ที่มา:
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา