1 พ.ย. 2020 เวลา 12:59 • ปรัชญา
เวลาที่เราทำกิจกรรมใด ๆ แม้จะเลิกจากกิจกรรมนั้นไปแล้ว แต่ความคิดก็ยังวนเวียนถึงกิจกรรมนั้นอยู่เสมอ แม้แต่เวลานอนก็ยังนำไปฝัน แบบนี้ถือว่ามีชีวิตอยู่ในอดีต
ถ้าเป็นอย่างนี้จัดว่าย้ำคิดย้ำทำ บางทีก็ย้ำฝัน เคยไหมที่ฝันไปแล้ว พอตื่นมา หลับต่อ มันฝันต่ออีก ความฝันนี้มันวิจิตรพิสดาร ฝันแล้วแต่งเรื่องให้เสร็จสรรพ และก็แต่งตัวให้คนที่มาร่วม แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันขณะ เมื่อเราทำกิจกรรมนั้นเสร็จ เราก็ควรจะบอกตัวเองว่าเราออกจากกิจกรรมนั้นมาแล้ว เราควรจะเป็นคนที่อยู่นอกห้องนั้น ไม่เกี่ยวกันอีกต่อไป
เวลาผู้เขียนเทศน์ก็ไม่ได้พอใจไปเสียทุกครั้ง สมัยก่อนผู้เขียนแสดงธรรม วันนี้ฉันไม่น่าพูดเรื่องนั้นเลย รู้สึกไม่สบายใจ สลัดไม่หลุด บางทีเป็นอยู่สามสี่วัน ตอนหลังเราทำงานมาเยอะ เราจะมารู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ มันทำร้ายจิตใจ บางครั้งไปออกทีวีสัมภาษณ์สด เราไม่น่าพูดประโยคนั้นเลย
ต่อมาผู้เขียนก็มาเรียนเรื่องการเจริญสติ ก็บอกตัวเองว่า
"พระรูปที่พูดไม่เข้าท่านั้นอยู่บนธรรมาสน์ ตอนนี้เดินลงมาแล้วมันจบไปแล้ว"
ผู้เขียนทิ้งอดีตเลย มาอยู่กับปัจจุบันขณะ พอเป็นอย่างนี้ก็สบาย ทำอะไรก็จบเป็นตอน ๆ เราจะไม่แบกอดีตตามไป ตัวเราจะเบามาก เพราะเราไม่แบกอดีต นี้เป็นทางจิตวิทยาที่ช่วยได้มาก
มนุษย์เรามีชีวิตที่อยู่ในอดีตกันมาก เช่น เมื่อนึกถึงร้านอาหาร ถามว่าร้านอาหารที่ไหนอร่อย เราจะดึงไฟล์เดิมออกมาทันที นี้คือเราอยู่ในอดีต มีผู้ถามว่า
"เกลือนั้นเค็มไหม ?"
เราจะตอบว่า "เค็ม" ตอบตามความรู้สึก เพราะว่าเราเอาอดีตมาตอบ ถ้าเราเอาปัจจุบันมาตอบก็บอกว่า "ไม่เค็ม" เพราะไม่ได้อยู่ในปากเรา ที่เรารู้สึกว่าเค็มนี้คืออดีต ความรู้จากในอดีตมันบอกเรา
นั้นก็คือสิ่งที่สะท้อนว่ามนุษย์ส่วนมากอยู่ในอดีต นั้นเป็นเหตุให้ไม่มีความสดชื่นในชีวิต เราไม่มีความสดชื่นในชีวิตเพราะไปเก็บอดีตมา ผู้เขียนเรียกว่านำอดีตมากรีดปัจจุบัน จริง ๆ แล้วถ้ามันเกิดขึ้นอยู่กับอดีตแล้ว เรารู้สึกตัวอยู่ปัจจุบันขณะ เราจะมีชีวิตที่สดชื่นตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ขอให้ลองฝึกดู อาบน้ำก็อาบน้ำ ปั่นจักรยานก็ปั่นจักรยาน บางทีเรากำลังปั่นจักรยาน แต่ความคิดก็กำลังปั่นหัวเราอยู่เพราะเรากำลังปั่นอดีต
ผู้เขียนเคยเจอโยมคนหนึ่งที่เป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ทุกข์มาก ไปหาหมอ หมอบอกว่า
"คุณลองหลับตาสิ มีเหตุการณ์อะไรบ้างทำให้คุณต้องเป็นอย่างนี้"
หมอใช้วิชาสะกดจิตเพราะใช้วิธีรักษาแบบให้มอร์ฟีนมันเอาไม่อยู่เพราะเจ็บ แล้วเธอก็ไม่ผ่า เธอบอกว่าเพื่อนเธอผ่าแล้วกลายเป็นอัมพาต เธอบอกว่าลองใช้วิธีการฝังเข็มก็ไม่หายก็เลยไปหานักสะกดจิต นักจิตวิทยาก็บอกว่าลองคิดดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชีวิต
ผู้หญิงคนนี้ก็อายุ 43 ปีแล้ว ย้อนคิดไปก็ไปเจอเหตุการณ์ตอนอายุ 7 ขวบ โดนพี่สาวผลักตกบันได เล่าให้หมอฟัง หมอก็วิเคราะห์ว่า การเคลื่อนตัวของกระดูกนั้น เส้นของประสาทต่าง ๆ เป็นอย่างไร และในที่สุดหมอก็บอกว่านั่นแหละเหตุการณ์สำคัญอยู่ตรงนั้น มันก็เลยเป็นปัญหามาถึงทุกวันนี้ เพราะไม่ได้เยียวยารักษาเลย
จากนั้น เมื่อผู้หญิงคนนี้กลับไปบ้านก็ไม่พูดกับพี่สาว เธอบอกว่าตั้งแต่อายุ 7 ขวบถึง 43 ปี เธอบอกว่าหนูเกลียดพี่สาวย้อนหลังเท่าจำนวนปีเลย นี่แหละเธอเกลียดทบต้นทบดอก เธอทุกข์มากเพราะเธอเคยอยู่กับพี่สาว กินข้าวด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน กระหนุงกระหนิง พอรู้ว่าพี่สาวตัวดีผลักตกบันได เธอจึงไม่สามารถรู้สึกปกติกับพี่สาวได้อีก
วันหนึ่ง เธอก็ได้มาคุยกับผู้เขียน ผู้เขียนชี้ให้ดูว่าพี่สาวเธอผลักตกบันไดตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และเธอก็ปล่อยให้พี่ผลักเธอซ้ำอีกเกือบ 30 ปี พี่ผลักเธอเพียงครั้งเดียวแต่เธอผลักตัวเองกี่ครั้งเข้าไปแล้ว
พอผู้เขียนชี้จุดแค่นี้ เธอน้ำตาไหลพราก บอกว่า
"ถ้าหนูไม่มาหาพระอาจารย์ในวันนี้ หนูคงจะเกลียดพี่สาวไปตลอดชีวิตตราบที่โรครักษาไม่หาย"
พอเธอกลับไป เธอก็กินข้าวกับพี่ ขอคืนดีกับพี่
"ขอโทษนะพี่ พี่ผลักตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และพี่ก็ไม่ตั้งใจแค่พี่เล่นกับน้องเท่านั้น"
นี่แหละมนุษย์เรา บางครั้งก็ไปอยู่ในความคิด มีอีกกี่คนที่ทุกข์เพราะความคิดโดยไม่รู้ตัวเองเลย
" อ ย่ า เ อ า อ ดี ต ม า ก รี ด ปั จ จุ บั น "
ว.วชิรเมธี
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
ที่มา : หนังสือ "กลั่นทุกข์ให้เป็นสุข" | Suffering
|ความทุกข์เกิดขึ้นมาไม่ใช่เพื่อทำให้เราท้อ
|แต่เกิดขึ้นมาเพื่อให้เราก้าวต่อไปจนพบความสุข
โฆษณา