26 พ.ย. 2020 เวลา 13:45 • ปรัชญา
# ไทเลอร์ เพอร์รี ผู้ถูกทารุณกรรม
บางครั้งชีวิตก็ยากแสนยาก แต่คุณก็ต้องหัวเราะไปกับมันให้ได้ คุณต้องอยู่เพื่อตัวคุณเอง ดำเนินชีวิตตามความจริง เพราะชีวิตของคุณนั้นมีค่ามากกว่าของขวัญชิ้นใดบนโลก อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
นรกบนดิน
Emmitt Perry Jr. เกิดเมื่อวันที่ 13 กันยายน 1969 ที่เมือง นิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เพอร์รี มีชีวิตในวัยเด็กที่แสนเศร้า
เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการถูกทารุณกรรมทางร่างกายและทางเพศ โดยพ่อแท้ ๆ อยู่นานหลายปี ซึ่งครั้งหนึ่ง เพอร์รี ได้เล่าว่า “พ่อของเขาเป็นผู้ชายที่ช่วยสร้างคำตอบ ให้เขาต้องเอาชนะ และหนีให้พ้นจากความเป็นตัวเองในแบบนี้ให้ได้"
นอกจากนี้ เพอร์รี่ ก็ยังต้องพบเจอกับปัญหานี้ นอกบ้านเช่นกัน เขาออกมายอมรับในภายหลังว่า “เขาเคยถูกผู้ใหญ่สี่คนในระแวกบ้านล่วงละเมิดทางเพศเช่นกัน”
และด้วยเหตุนี้ช่วงหนึ่งของชีวิต เพอร์รี จึงได้พยายามฆ่าตัวตาย เพื่อหลีกหนีสถานการณ์นี้ของเขาไปให้พ้น ๆ
หมดแล้วซึ่งความอดทน
จนกระทั่งเมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ไทเลอร์ เพื่อแยกตัวเองออกจากพ่อของเขา ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนมัธยมปลาย
แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับ GED ในภายหลัง(General Educational Development คือการสอบเทียบเท่าระดับวุฒิมัธยมศึกษาตอนปลาย) และเมื่อ ไทเลอร์ อายุได้ 23 ปี เขาก็ตัดสินใจย้ายไปที่ แอตแลนต้า ซึ่งที่นั้น ไทเลอร์ ก็ได้เริ่มรับงานต่าง ๆ มากมายและพยายามหางานที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่นานหลายปี
จนในปี 1992 เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากที่ได้นั่งดูรายการทอล์คโชว์ ประจำวันของโอปราห์ วินฟรีย์ ซึ่ง ไทเลอร์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากช่วงให้กับคำแนะนำ เกี่ยวกับการเปลี่ยนอาชีพและชีวิต
ประกายฝันครั้งสำคัญ
โดย วินฟรีย์ ได้บอกกับผู้ชมของเธอในช่วงหนึ่งว่า “การเขียนประสบการณ์ชีวิตที่แสนยากลำบากและทุกข์ทรมานของคน ๆ หนึ่งออกมา โดยเล่าเป็นภาพ หรือเป็นข้อความธรรมดา อาจช่วยบำบัดโรคทางใจให้กับตัวเราและคนอื่นได้”
และจากคำพูดของ วินฟรีย์ ครั้งนั้น จึงทำให้หัวใจของ ไทเลอร์ เริ่มกับมามีพลังอีกครั้ง และนั้นทำให้ ไทเลอร์ เริ่มเขียนไดอารี่ และสร้างเป็นบทละครให้แรงบันดาลใจเป็นครั้งแรก โดยเขาคาดหวังเพียงแค่ว่า “เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างหลังจากถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกไป”
และหลังจากเขียนเสร็จ เขาก็ทุ่มเงินออมทั้งหมดที่มี เพื่อจัดแสดงละครขึ้นมา แต่มันก็ล้มเหลวอย่างน่าอนาถใจในเวลาอันสั้น
ความล้มเหลวครั้งที่หนึ่ง
ไทเลอร์ เล่าว่า “ผมรู้ว่าปม จะได้รับการเปลี่ยนแปลงมากมาย จากการบอกเล่าอัตชีวประวัติที่มีผลกระทบซับซ้อนและยาวนานของการทารุณกรรมเด็กในครั้งนี้ เพราะสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในชีวิตนี้ คือเราไม่ควรละอายใจกับที่มาของตัวเราเอง
และถึงแม้ว่าเรื่องที่ผมเขียน มันจะมีความจริงใจซ่อนอยู่ในเนื้อหา แต่การแสดงก็ล้มเหลวในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งวันนั้นยังมีผู้เข้าร่วมชมแค่ 30 คนเท่านั้นเอง”
แม้จะเป็นความพังพินาศและความล้มเหลวที่ยากจะยอมรับได้ นอกจากนี้ก็ยังดูเหมือนว่า ความสำเร็จจะวิ่งหนีเขาไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงตะเวนจัดแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ประสบความสำเร็จ
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เหมือนยิ่งอยู่ไกลออกไปเท่านั้น
ในช่วงนั้น ไทเลอร์ ยากจนมาก เขาต้องอาศัยอยู่นอกรถบ้าน ชั่วครั้งชั่วคราวเนื่องจากไม่เงินพอที่จะจ่ายค่าเช่า ไทเลอร์ เคยให้สัมภาษณ์ใน นิตยสาร Essence
ว่า "คุณนึกภาพชายสูงหกฟุตห้า นอนในรถไฟฟ้าใต้ดินได้ไหม ในช่วงนั้นผมเป็นเช่นนั้นเลย" เขากล่าว
จนกระทั่ง 6 ปีต่อมา เขาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ‘นี้จะเป็นการจัดแสดงรอบสุดท้าย’ ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1998 ที่ House of Blues ในแอตแลนต้า แต่ผลกลับกลายเป็นว่า คราวนี้รอบการแสดงของเขา ขายหมด และเต็มไปถึงแปดรอบการแสดงเลย
จึงทำให้หลังจากนั้นสองสัปดาห์ ไทเลอร์ ก็ได้ย้ายการแสดงไปยังโรงละครฟ็อกซ์ เพื่อจัดแสดงเรื่อง I Know I've Been Changed (ชื่อเรื่องราวชีวิตของ ไทเลอร์ ที่จัดแสดงก่อนหน้านี้) ซึ่งในวันนั้นมีผู้เข้าร่วมรับชมมากถึง 9,000 คนเลย อีกทั้งเขายังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำชื่นชมมากมาย
ความสำเร็จที่สร้างความสำเร็จนับแต่นั้นมา
หลังจากการแสดงครั้งนั้นของ ไทเลอร์ จบลง เขาก็กลายเป็นที่ชื่นชอบ ในฐานะผู้กำกับ นักเขียนและนักแสดง และผู้อำนวยการสร้าง ที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้เขายังสร้าง Tyler Perry Studios ที่แสนอบอุ่นในแอตแลนต้า จอร์เจีย อีกด้วย
ซึ่งในภายหลังได้ขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก จนเขาได้รับขนานนามว่า “ชายนักสร้างสรรค์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
ในปี 2000 ไทเลอร์ ได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง I Can Do Bad All by Myself และได้ทำให้ตัวละคร Madea มีชีวิตขึ้นมา ซึ่งหลังจากการแสดงนี้ถูกเผยแพร่ออกไป หลายสำนักพิมพ์ก็ตีข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งกันอย่างถ้วนทั่ว จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ณ เวลานั้นก็ว่าได้
Perry being interviewed for Boo! A Madea Halloween in 2016
หลังจากนั้น ไทเลอร์ ก็ยังสร้างรายการโทรทัศน์ เพิ่มขึ้นอีกหลายรายการ รวมไปถึงรายการ House of Payne ด้วย นอกจากนี้เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์ต่าง ๆ อีกมากมาย
อาทิเช่น Alex Cross (2012), Gone Girl (2014) และVice (2018)
จึงทำให้ในปี 2011 ไทเลอร์ ได้รับเลือกจาก Forbesให้เป็นชายผิวสีที่มีรายได้สูงสุดในวงการบันเทิงอีกด้วย
ดังที่ Tyler Perry กล่าวไว้ว่า “เพราะชีวิตของเรานั้นมีค่า และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ฉะนั้นจงใส่พลังงานทั้งหมดของคุณลงในที่เดียว และรักษาความฝันของคุณให้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ ไม่ว่าเส้นทางมันจะยากแค่ไหน ไม่ว่าคนจะพูดถึงคุณอย่างไร แต่จงบอกกลับตัวเองเสมอว่า ‘ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว’ แล้วเดินหน้าทำฝันนั้นของคุณต่อไป จนกว่าจะได้มันมา”
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา