12 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • ปรัชญา
# เรื่องราวเบื้องหลังชีวิตจริงของ “ American Sniper”
เพราะทุกวิ่งที่คุณต้องการ มักอยู่ตรงก้ามกับคำว่าความกลัวทั้งสิ้น มาเรียนรู้ไปด้วยกันกับชายที่ถูกขนานนามว่าปีศาจ คนนี้ แล้วคุณจะเข้าใจ
เกียรติภูมิ
Chris Kyle ไม่เหมือนชาวอเมริกันทั่วไป เขาทำงานที่ต้องใช่ความแม่นยำสูงมาก เนื่องจากเขาเป็นมือปืนที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา เขาได้รับการยืนยันจากแพนตากอน ด้วยสถิติการสังหารอย่างน้อย 160 ครั้ง
แต่บัญชีของเพื่อนร่วมทีมในหน่วย Navy SEAL นั้นนับได้จำนวนมากกว่า ถึงสองเท่า Kyleเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในอินักถึงสี่ครั้ง
นอกจากนี้ Kyle ยังได้รับรางวัล Silver Stars 2 ดวงและ Bronze Stars 5 ดวงจาก Valor เขารอดชีวิตจากการโจมตีของ IED หกครั้ง และได้รับบาดแผลจากกระสุนปืนสามนัด ,รอดจากเฮลิคอปเตอร์ตกสองครั้งและผ่านการผ่าตัดมามากกว่าที่จะนับได้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายจึงมักจะเรียกเขาว่า “ ปีศาจ”
มืออาชีพ
Kyle เป็นชาวอเมริกาโดยแท้ ซึ่งพ่อของเขาเป็นมัคนายกในโบสถ์ และแม่ของเขาเป็นคุณครู Kyle เติบโตใน เท็กซัส กับพ่อและพี่ชายของเขา หลังจากสองปีในวิทยาลัย และทำงานในฟาร์มปศุสัตว์
Kyle วัย 24 ปีก็ลาออกจากโรงเรียนและเข้าร่วมหน่วย Navy SEALs ทันที แม้ว่าเขาจะเกลียดน้ำมากก็ตาม “ถ้าผมเห็นแอ่งน้ำ” Kyle บอกกับนิตยสารไทม์ “ ผมมักจะเลือกเดินอ้อมไปเสมอ”
หลังจากรับทำภารกิจลับมามากมายหลายอย่าง Kyle ก็ได้ถูกบรรจุอยู่ในทีมของหมวด "ชาร์ลี" แห่งหน่วยซีลที่ 3 เพื่อต่อสู้ในสงครามอิรัก หลังจากขึ้นฝั่งที่คาบสมุทรอัล - ฟอว์ ในช่วงต้นของสงคราม เดือน มีนาคม 2003
สงครามที่ไม่จบสิ้น
หน่วยซีลของเขาจึงได้เข้าร่วมกับนาวิกโยธิน ทางเหนือที่ไปยังเมืองหลวงของแบกแดด โดยที่ Kyle และเพื่อน ๆ หน่วยซีลประจำการอยู่บนหลังคา เพื่อปกป้องหน่วยนาวิกโยธิน จากการซุ่มโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย
หลังจากเข้าสู่เมือง นาซิริยา ในช่วงแรก ๆ ของสงคราม Kyle ก็ได้บุกเข้ายึดอาคารแห่งหนึ่ง และประจำการที่นั้นเพื่อซุ่มยิง ด้วย 300 Winchester Magnum
Kyle เฝ้าดูระหว่างที่ขบวนเรือเดินเข้ามาใกล้ ซึ่งระหว่างนั้นเขา ก็เห็นประตูบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าสิบหลาเปิดออก โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง ซึ่งขณะที่เธอเดินเข้ามาใกล้ หน่วยนาวิกโยธินทุกที
นกต่อ
Kyle ที่มองผ่านเลนส์กล้องของปืน ก็ได้สังเกตเห็นว่า ผู้หญิงคนนั้นกำลังเอื้อมมือไปใต้เสื้อคลุมของเธอ พร้อมทั้งดึงระเบิดสีเหลืองออกมา
“ลงมือยิง” หัวหน้าหน่วยของ Kyle สั่ง แต่ ในขณะเดียวกัน Kyle ก็แอบลังเล เพราะขณะนั้น นาวิกโยธินคนหนึ่งก็กำลังเดินเข้ามาใกล้หญิงคนนั้นพอดี
"ยิง!" หัวหน้าของเขาย้ำอีกครั้ง
Kyle จึงลั่นไกสองครั้ง ผู้หญิงคนนั้นจึงล้มลงกับพื้นพร้อมกับระเบิดในมือ ที่ตอนนี้ไม่เป็นอันตรายต่อนาวิกโยธินแล้ว แต่ครั้งนั้น มันเป็นการสังหารครั้งแรกของ Kyle ด้วยปืนไรเฟิล แม้ว่าหลังจากนั้นจะมีเหตุให้ยิงในเรื่องที่ร้ายแรงอีกหลายนัด แต่ความลังเลของเขาก็ไม่กลับมาอีกเลย
ผ่านความลังเล
“ มันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้อง และผมก็ไม่เสียใจเลย เพราะผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้ว ผมทำเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ทำร้ายนาวิกโยธินคนใดของเราไป” Kyle เขียนไว้ในบันทึกการต่อสู้ ปี 2012 ของเขา ใน American Sniper :อัตชีวประวัติของ Sniper ที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ทหารของสหรัฐฯ
ซึ่งภารกิจเดียวของ Kyle ในอิรักคือการช่วยชีวิตเพื่อนร่วมทีม และเขาก็พิสูจน์จนกลายเป็นมือปืนฝีมือดี ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้ก่อการร้ายในอิรัก จึงวางเงินรางวัล 20,000 ดอลลาร์ ไว้สำหรับใครก็ตามที่สามารถจัดการกับ Kyle ได้
โดยพวกเรียก Kyle ว่า "Al-Shaitan Ramad" หรือ "Devil of Ramadi ” แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเพื่อนทหารของ Kyle เขาเป็นที่รู้จักในนาม “The Legend”
ผู้เป็นตำนาน
การสังหาร 160 ครั้งที่ให้เครดิตกับ Kyle ไว้นั้นมากกว่ามือปืนในประวัติศาสตร์อเมริกาที่เคยทำมา แต่ Kyle ก็ได้บอกกับนิตยสาร D ว่า “ผมหวังว่าพวกเขาจะคำนวณจำนวนคนที่ผมได้ช่วยชีวิตไว้ด้วย เพราะนั่นคือจำนวนที่พวกเราสนใจ และผมก็มักจะใส่จำนวนคนเหล่านนั้นเพิ่มลงไปในบันทึกของผมเสมอ” เขากล่าว
1
หลังจากที่ Kyle ไปประจำการที่ อิรัก ในปี 2003 จากนั้นเขาก็กลับมาประจำการที่ ฟอลลูจาห์ ในปี 2004 ,เข้าประจำการที่ รามาดี ในปี 2006 และ แบกแดด ในปี 2008
โดยในการปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้ง Kyle ต้องพบกับการต่อสู้ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ภาระงานของเขาหนักมากขึ้นไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้ก่อความไม่สงบนั้น หลายครั้งมีปืน ระเบิดที่ขับเคลื่อนด้วยจรวด แต่ Kyle ก็ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาเป็นนักแม่นปืนที่มีทักษะแม้กระทั่งสังหารเครื่องบินรบของศัตรูในระยะ 1.2 ไมล์หรือประมาณ 21 สนามฟุตบอลได้ในนัดเดียว
ความสามาร
ซึ่งหลังจากนั้น Taya ภรรยาของ Kyle ก็ได้ยื่นคำขาดว่า “การแต่งงานของพวกเขาอาจจบลงได้หาก Kyle ยังทำงานนี้อยู่”
Kyle จึงต้องออกจากกองทัพเรืออย่างไม่เต็มใจมากนัก ด้วยการปลดประจำการอย่างมีเกียรติในปี 2009 หลังจากรับราชการมานานกว่าหนึ่งทศวรรษ Kyle จึงได้รับ
รางวัล Silver Stars 2 ดวงและ Bronze Stars 5 ดวงจาก Valor
“ผมรักในสิ่งที่ผมทำมากก็จริง แต่นั้นมันก็อยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป หากครอบครัวของผมไม่ต้องการมัน ผมก็ยินดีที่จะลาจากมันให้พวกเขาได้เสมอ" Kyle เขียนในอัตชีวประวัติของเขา
Kyle’s autobiography, “American Sniper,” was published in 2012. (Credit: Paul Moseley/Fort Worth Star-Telegram/MCT via Getty Images)
“เพราะผมมีช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตของผมที่ได้ทำงานในหน่วยซีล ที่ผมรักและใฝ่ฝันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่คิดเสียใจที่จะก้าวออกมาเพื่อทำตามสิ่งที่ครอบครัวของผมฝันไว้บ้าง”
แม้ว่าหลังจากนั้น Kyle ต้องดิ้นรนอย่างมากกับการทำตัวให้คุ้นชินกับชีวิตแบบพลเรือน ในบทบาทสามีและพ่อ ให้กับลูกทั้งสองของเขา
จึงเป็นเหตุให้ช่วงนั้น Kyle ได้พบว่า แม้ว่าเขาจะออกจากสงครามแล้วก็จริง แต่สงครามในความทรงจำก็ไม่เคยทิ้งเขาไปเลย Kyle จึงดื่มหนักมาก จนมีอาการซึมเศร้า และหยุดออกกำลังกาย เขารู้สึกไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว หลังจากไม่มีภารกิจ และความสนิทสนมจากเพื่อนในหน่วยซีล
สงครามใจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง แล้วเขาก็ได้รับคำร้องให้กับไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่ ในหน่วยช่วยเหลือทหารผ่านศึกที่เจ็บป่วยจากบาดแผลทางร่างกายและจิตใจหลังสงคราม
นับแต่นั้นมา เขาก็ได้เห็นประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ด้วยการออกกำลังกาย Kyle จึงได้น่วมก่อตั้งมูลนิธิ FITCO Cares ขึ้นในปี 2011 เพื่อจัดหาอุปกรณ์ออกกำลังกายและให้คำปรึกษาแก่ทหารผ่านศึกที่อยู่ในจุดเดียวกันกับเขา
ซึ่งในปีต่อมา Kyle ก็ได้เขียนหนังสือ และได้ตีพิมพ์ โดยใช้ชื่อว่า “ American Sniper” ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีของ New York Times และเป็นพื้นฐานของภาพยนตร์เรื่องดังอีกด้วย
เปลี่ยนเป้าหมาย
Kyle บริจาคกำไรจากการขายหนังสือให้กับครอบครัวของเพื่อนทหารที่เสียชีวิตในสนามรบและให้การกุศลเพื่อช่วยเหลือทหารผ่านศึกที่ได้รับบาดเจ็บ
ภารกิจสุดท้ายของ Kyle ในการช่วยเหลือเพื่อนทหารผ่านศึก จึงเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิต ของอดีต Navy SEAL Kyle มักจะชี้นำให้ทหารผ่านศึกสร้างเป้าหมายชีวิตใหม่ เพื่อให้พวกเขาเชื่อมต่อกับจุดที่พวกเขาต้องการได้ดีขึ้น
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2013 เขาเชิญ Eddie Ray Routh ทหารผ่านศึกนาวิกโยธินวัย 25 ปีที่รับใช้ในอิรักและเฮติไปที่สนามยิงปืน ใน Glen Rose รัฐเท็กซัส เพื่อยิงปืนด้วยกัน
โดย Routh มีรายงานว่าได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคเครียดหลังผ่านสงคราม ซึ่งในวันนั้น Routh
ก็ถูกกล่าวหาว่ายิงและฆ่า Kyle วัย 38 ปี และ Chad Littlefield เพื่อนของ Kyle อีกหนึ่งคนที่ไปด้วยกันในระยะเผาขน
หลังจากนั้น อดีตนาวิกโยธิน Eddie Ray Routh ก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน ฆาตกรรม และถูกตัดสินให้ติดคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา
Taya Kyle and her two children follow the casket of her husband Chris Kyle after the funeral at Cowboys Stadium, February 11, 2013 (Credit: Max Faulkner/Fort Worth Star-Telegram/MCT via Getty Images)
และเพื่อรองรับผู้มาร่วมไว้อาลัย งานศพของ Kyle จึงถูกจัดขึ้นภายในสนามฟุตบอล Dallas Cowboys ซึ่งโลงศพก็ถูกประดับไปด้วยธงของทหารผ่านศึกตั้งอยู่ตามแนวยาวกว่า 50 หลา เป็นระยะทางหลายไมล์
โดยภายในงานยังมีฝูงชนเข้าแถวตามเส้นทางของขบวนศพ เพื่อบอกลา Kyle ทหารอเมริกันที่รอดชีวิตจากสงครามมากได้หลายครั้ง อีกทั้งยังช่วยเหลือประเทศจากการสู้รบมาหลายปี
จนสุดท้ายจบชีวิตลงด้วยการถูกยิงเสียชีวิต ภายในประเทศ ด้วยน้ำมือของชายที่เขาช่วยเหลือไว้
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “แม้ว่าเวลาจะไม่มีโอกาสให้เราได้ย้อนกับไปแก้ไขสิ่งใด แต่เวลา ก็ให้โอกาสเราในการเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา